ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย #รับกรรม

กระทู้สนทนา
หายไปนานเลย พอดีติดเรื่องย้ายที่ทำงานใหม่...................................................................................................................
หลังจากคลอดลูกมา เราใช้สิทธิ์ลาคลอดเต็มที่เลย 90 วัน แล้วก็ได้รับข่าวร้ายจากที่ทำงานว่า เขาจะต่อสัญญาเราแค่ 6 เดือน ด้วยเหตุผลที่เราเดาเอาเองว่า ช่วงที่เราลาคลอด บริษัทต้องจ้างพนง.ใหม่มาถึง 2 คน มาทำงานแทนเรา ทั้งๆที่ตอนที่เราอยู่ เราทำคนเดียวได้ และเราได้ฟีดแบคมาจากหัวหน้างานคนใหม่ว่า เงินเดือนเราสูงมาก (43,000) เขาก็คงคิดว่าเอาเงินเดือนเราไปจ้างเภสัชใหม่ได้ 2 คน เชียวนะ และข้อด้อยของเราคือเราไม่มีวุฒิเภสัช ทำตำแหน่งนี้ได้จากการเรียนรู้และประสบการณ์ล้วนๆ 
เราก็เครียดๆเรื่องนี้แหละ ไอ้ที่เครียดไม่ใช่กลัวตกงานนะ กลัวว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่อาจจะมีภาพที่เราแอบถ่าย ชายหนุ่มที่แอบไปปิ๊งเขา ช่วงก่อนท้อง หลงเหลืออยู่ แบบลบไม่หมด ประมาณนั้น กลัวสามีจะอาสาช่วยดูดข้อมูลออกแล้วไปเจอเข้า......
ก็เครียด และบวกกับนอนไม่ค่อยพอต้องตื้นมาให้นมลูกกลางดึกเรื่อยๆ และเรื่องยาที่โดนฉีดเข้าไปเยอะเลยช่วงนอนอยู่ร.พ.เลยทำให้ประสาทหลอนๆๆ จนความซสยบังเกิดเข้าคืนหนึ่ง สามคนพ่อลูก เขาก็ดูหนังกันอยู่อีกห้องนึง ส่วนเราก็อยู่กับลูกคนเล็ก นอนอยู่ๆก็ตกใจตื้น แล้วก็มานั่งละเมอพูดอะไรไม่รู้ สามีเลยเดินเข้ามาดู เราก็ยังพูดต่อ พูดประมาณชั้นทำทุกอย่าง ชั้นผิดเอง.........จนสามีงง และตกใจแล้วเขาก็โวยวายขึ้นมาว่า “เด็กคนนี่ไม่ใช่ลูกชั้นใช่ไหม เธอพูดอะไร” แล้วเขาก็เปิดไฟ ระเบิดลงเลยค่ะที่นี่ สามีถามว่าเราพูดจาอะไร เรื่องเมื่อกี้พูดถึงอะไร แล้วก็เปิดฉากซักถาม ถามมากมาย จำไม่ค่อยได้ว่าคุยอะไรกันบ้าง แต่ที่จำได้คือคุยกันถึงตีสาม วันรุ่งขึ้นก็ยังทะเลาะกันต่อ  เขาใช้วิธีทำให้เราอดนอน แล้วก็มาไล่ซักถามเรื่องเดิมวนไปวนมา เพื่อจะจำโกหกเรา เราพยายามปกปิดมาตลอดว่า การที่เราเลือกที่จะแต่งงานกับเขานั้นเป็นเพราะ พ่อแม่ต้องการ ไม่ใช่เพราะเรารักเขาจริงจัง สุดท้ายเพราะโดนเค้นถามด้วยวิธีนี้ เราก็หลุดจนได้ มิหนำซ้ำยังบอกเขาเรื่อง ไอ้เด็กช่างที่พันทิพย์ ที่ไปปิ๊งกันอยู่ตอนทำงานแรกๆ เขาเลยเข้าไปสืบหาแชทต่างๆในเฟสบุ๊คเราและก็เจอด้วย ที่เราส่งไปว่า.....คิดถึง.......และที่ส่งโพส Love Letter ไปและมีส่งเพลงไป โอ๊ยบ้านแตกเลยที่นี่เขา โกรธมาก ว่าเรานอกใจเขา เก็บเสื้อผ้าแล้วบอกว่าจะกลับบ้านแล้ว ทำท่าจะไป ออกจากบ้านไปละ สามคนแม่ลูกกำลังกอดคอกันร้องไห้เลย อยู่เขาเดินกลับมา เขาบอกไปไม่ไหวแดดร้อน ถ้าเดินไปถึงปากซอยไม่ไหวแน่ๆเลยกลับมาก่อนเดี๋ยวค่อยไปตอนกลางคืน Thank God…..ตกกลางคืน เขาเข้าไปนั่งในห้องทำงานเขาแล้วก็เปิดเพลงสวดอะไรไม่รู้ แบบอาหรับอะ น่ากลัวมาก ลูกชายกลัวมากบอกว่า แม่เขาไม่ไป เราก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวเขาขาดสติขึ้นมาแล้วฆ่าเราทุกคน แล้วเผาบ้าน (เขาพูดแบบนั้น) จะทำยังไง เราก็ลังเล สงสารเขาด้วย ก็เลยเขาไปกอดเขาและขอโทษ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เขายิ่งฟุ้งซ่านและโวยวาย ที่นี่ไอ้เราก็ของขึ้นเหมือนกัน เถียงกันไปมา ถ้าเรามันเลวนักก็ตายซะดีกว่า เลยคว้ามีดมาจะแทงตัวเอง ป้าดดดมีดมันทื่อแทงไม่เข้า ลูกชายก็แย่งมีดแต่ก็ยื้อกันไปมา จนเราชูมีดขึ้นสุดมือ ลูกชายก็ยื้อสุดฤทธิ์จนเราหมดแรงปล่อยมีดหลุด แล้วมีดเกือบหล่นใส่หน้าลูก แต่เขาหลบทันและปล่อยมือเรา จังหวะนั้นเราก็เลยร่วงหัวกระแทกเครื่องซักผ้า.............สลบไป..............ซักพักก็เริ่มรู้สึกตัวและได้ยินเสียง มีรถพยาบาลมา และเขาก็กำลังจะพาเราไปร.พ.   ตอนนั้นอาการครึ่งหลับครึ่งตื้นเลย ได้ยินแต่เสียงสามีบอก จนท.ว่าเราพยายามฆ่าตัวตาย นอนไม่หลับ ประสาทหลอน เราก็มาหลับอยู่ที่ ร.พ.ตื้นมาก็เห็นลูกชายหลับอยู้ข้างเตียง ซักพักก็พากันกลับบ้าน   
เรื่องทะเลาะกันก็มีเกิดขึ้นเรื่อยๆ และทุกครั้งเราก็จะฆ่าตัวตายทุกครั้ง ละอายใจ อาย เครียด ตัวสามีพูดว่าจะทิ้งเราและลูกกลับบ้านก็ไม่กลับซักที มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ทะเลาะกัน ทำร้ายตัวเอง เป็นปีๆ จนกระทั่ง วันนึงตัดสินใจแล้ว ไปสถานฑุตกันทำเรื่องจะกลับบ้าน อยู่ๆพรุ่งนี้สถานฑูตนัด สามีดันลื่นล้มข้อเท้าหักหมุนได้รอบเลย เข้าเฝือก 3 เดือน แผนทุกอย่างเลื่อนหมด ***มันเป็นพรหมลิขิตนะ พระเจ้ายังไม่ให้เราแยกจากกันอีก 
1 ปี ผ่านไป ขาหายเดินได้ โควิดเข้าอีก ก็ไม่กลับบ้านอีก ก็ยังอยู่ด้วยกัน ก็นานๆที ที่จะประสาทหลอน ก็จะเอาเรื่องที่เรานอกใจเขามาด่าอีก แต่ก็ไม่มีทะเลาะกันรุนแรง ข้อตกลงหลังจากเรื่องทะเลาะกันครั้งนี้คือเราต้องหยุดพฤติกรรมการที่เข้าข่ายนอกใจสามี 
1.เลิกแต่งหน้า 
2.เลิกแต่งตัวสวยๆออกจากบ้านโดยเฉพาะเวลาออกไปคนเดียว 
3.เฟสบุ๊คให้เปลี่ยนชื่อจาก รักแมว ให้เป็น เหน่งรัก........(ชื่อสามี) และเขารู้พาสเวิลดและเข้าใช้งานได้
4.ห้ามใช้น้ำหอม ถ้าไปด้วยกันใช้ได้
ช่วงนี้ก็ตกงานทั้งคู่ สามีก็ไม่มีงานสอน เราก็ไปได้งานโรงงานทำ เงินเดือนได้ 350/วัน ลูกทั้งสองคนก็ต้องมาช่วยหางานเพื่อหาเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน แป๊ปเดียวเวลาก็ผ่านไป 2 ปี ช่วงต้นๆปี 2565 สามีก็ไปเจอโพสประกาศหางานในเฟสที่นึงและให้เราดูเผื่อสนใจสมัคร ดูๆแล้วก็ใช่ได้ ก็ลองสมัครดู สัมภาษณ์ผ่าน แล้วก็ได้เริ่มงาน เป็นร้านให้เช่ามอเตอร์ไซต์ เจ้าของเป็นคนต่างชาติ   2 คน บริษัทมี 2 ร้าน ร้านนึงอยู่เอกมัย อีกร้านนึงอยู่สาทร เราจะไปอยู่ร้านละ 3 วัน และก็หยุด 1 วัน ที่นี่เขามีเปิดสอนขับมอไซต์ด้วย เราก็ขับมอไซต์ไม่เป็น เจ้าของร้านที่สาทรเลยจะสอนให้เราขับ จะได้สะดวกเวลาอาจจะต้องไปซื้อของหรืออื่นๆ 
แล้วสันดานแรดก็เริ่มต้นอีก สบตาเจ้าของร้านที่สาทรเข้าแล้วเกิดปิ๊งกัน ดูออกว่าเขาก็ชอบเรา พนง.เก่าบอกว่าปกติเขาจะไม่รับคนที่ขับมอไซต์ไม่เป็นมาทำงานนะ มีเราคนแรก แล้วยังสอนให้ด้วย และแล้วก็แหกกฎสามี
ข้อที่ 1. แอบแต่งหน้า โดยเฉพาะเวลาไปสาขาสาทรจะไปแอบแต่งหน้าก่อนเข้าไปที่ร้านทุครั้ง ........................................................................................
พระเจ้าก็อดทนดูพฤติกรรมของเราต่อไปไม่ไหว จึงต้องทำอะไรซักอย่าง ทั้งๆที่สาบานกับพระเจ้าและรับปากกับสามีแล้วจะไม่ทำบาปอีก ก็ยังทำผิดอีก รอบนี้พระองค์จัดหนัก ชนิดที่ว่าถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว มาดูกันว่าพระองค์ทำอะไร zaxzaxzax
กลับบ้าน สามีถามว่าจำ Sale Promotor คนนี้ได้ไหม เอารูปให้ดู 
เราตอบ  “จำได้” แล้วก็เอารูปไล่เรียงเหตุการณ์ให้ดู ตั้งแต่ในงานคอมมาร์ทที่ไปออกบูธด้วยกันจนถึงกลับมาที่ร้าน 
สามี “ทำไมต้องถ่ายรูปผู้ชายคนนี้ ตั้งหลายรูป”
เรา “ชั้นไม่ได้เป็นคนถ่าย น่าจะเป็นโต (พนง.ที่ร้าน)”
แล้วมีรูปนึงที่เป็นไม้ตายเขาเลย มันเป็นรูปที่ไอ้ Sale Promotor คนนี้ มันนอนถอดเสื้อ ครึ่งตัวและนอนหนุนตุ๊กตาด้วย สามีสรุปเนื้อเรื่องเอาเองหมดเลย หลังจากดูรูปจาก Hard disk (มันเป็นรูปที่ทำงานเก่า ตั้งเกือบ 20 ปีแล้ว) สรุปว่าเราปิ๊ง Sale Promotor คนนี้ และไล่ถ่ายรูปมันเยอะแยะจากในงานคอมมาร์ท และกลับมาปี้กันในสต๊อคที่ร้าน OMG!! ปี้กันในสต๊อคเนี่ยนะ สามีบอกว่าจำตุ๊กตาที่มันนอนได้ มันเป็นของแถมที่ร้านเคยมีให้ลูกค้า OMG!! ไม่เคยเลย ที่ร้านไม่เคยแจกตุ๊กตาตัวใหญ่ขนาดนั้น ถามไล่บี้เราหนักมาก แล้วบอกว่ามีหลักฐานขนาดนี้ จะโกหกอีกเหรอ เฮ้ย ชั้นไม่ได้ทำ ชั้นไม่ได้ชอบ Sale Promotor คนนี้ (ชั้นชอบไอ้ช่างคอมที่พันทิพย์) ไม่ใช่ๆๆๆๆๆ แต่สามีไม่เชื่อเพราะมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายชัดเจน ทะเลาะกันหนักมากๆๆๆสามีโกรธถึงขั้นตบหน้า และเขามาทุบตีเลย ลูกชายมาห้ามไว้ ไม่งั้นน่าจะโดนกระทืบด้วย ตกดึกนอนๆอยู่สามีถือท่อเหล็กมายืนข้างเตียงจะฟาดเอา แล้วบอกให้ตอบมาว่าไปนอนกับไอ้หมอนั้นมาใช่ไหม ด้วยความกลัวเลยตอบๆไปว่า YES!!
สามี “ชั้นรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่อยากฟังจากปากเธอ”
คืนนั้นลูกชายมานอนในห้องด้วยเพราะกลัวพ่อจะฆ่าแม่!!! นอนขั้นกลางเลย
ตอนเช้า หน้าบวม เขียว ไปทำงานไม่ได้ ต้องโทรไปลางาน ไม่กล้าบอกเขาอีกว่าโดนสามีตีหน้าตาบวมปูด โกหกไปว่าไม่สบาย สามีรู้บอกว่าอย่าโกหก โทรกลับไปบอกความจริงเขา ทั้งวันอยู่บ้านกันก็ด่าเรื่องนี้แหละ แล้วบอกว่า ชั้นจะเลิกกับเธอ จะกลับบ้านแน่ๆ คือเรื่องมันเกิดเพราะเขาว่างตั้งแต่ขาหัก เจอโควิด อยู่บ้านมาก ก็เลยทำยูทูป ทำวีดีโอนู้นนี่นั้น วันเกิดเรื่องเขาท้อแท้กับชีวิตตัดพ้อต่อว่า The Lord: why my life is hard like this? Why you keep bully me like this? เขาบอกว่า ก็ได้ยินเสียงตอบจากหัวใจว่า ไม่ใช่ชั้นที่แกล้งเธอ ขึ้นไปบนบ้านไปดูใน hard disk แล้วจะรู้ว่าใครแกล้งเธอ.....................................
สามีกลับขึ้นบ้าน ได้ไอเดียว่าอาจจะหารูปหรือวีดีโอเก่าๆจาก hard disk มาทำวีดีโอใหม่ลงยูทูป พอเปิดดู hard disk ปุ๊ป ก็เจอรูปที่ก่อเรื่องให้ทะเลาะกัน เพราะเขาเห็นรูปนั้นแล้วรูปมันต่อเนื่องกัน เขาก็เลยประติดประต่อเรื่องเอาเอง สรุปเราโดนข้อกล่าวหาว่าไปนอนกับไอ้ Sale promotor คนนี้ ตั้งแต่ได้ไปทำงานยังไม่ถึง 3 เดือนเลย
สิ่งแรกที่เรารู้ตัวเลยคือ พระเจ้าลงโทษเราแน่นอน เพราะเราสัญญาแล้ว จะปรับปรุงตัว เป็นเมียที่ดีและแม่ที่ดี จะหยุดทำบาปคิดนอกใจผัว แต่พอออกจากบ้านก็ทำอีกจนได้ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีคุณธรรม เลวจริงๆแต่มันก็สายไปแล้ว เรื่องครั้งนี้ทำเอาครอบครัวเราแตกแยกเลย 

ลูกชายคนโตพอดีต้องออกจากงาน แล้วงานใหม่ที่ได้ก็อยู่สุขุมวิท ไกลบ้านมาก บ้านเราอยู่บางแค ถึงแม้จะกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้า แต่เพราะเขาเลิกดึกก็เลยทำให้ถึงบ้านเที่ยงคืนทุกวัน สงสารลูก ก็เลยบอกเขาว่าจะให้ไปนอนบ้านยายแล้วกัน ใกล้ที่ทำงานดี แล้วลูกชายก็ย้ายไปคนแรก
ส่วนลูกสาว ตั้งแต่สามีกับเราทะเลาะกันตั้งแต่วันนั้นติดต่อกันเป็นอาทิตย์ๆเขาก็ยังพูดและด่าเรื่องนี้ซ้ำๆๆทุกวัน และที่สำคัญเขาให้เราโกนหัวด้วย เขาบอกเพื่อชะล้างความสกปรกเพื่อให้สะอาดทั้งกายและใจ ถ้าบริสุทธิ์ใจก็ต้องโกน ถ้าไม่โกนจะจะทะเลาะกันไปอย่างนี้แหละ เราก็ยอมโกน ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกสาวไม่เห็นด้วยมากๆๆและโกรธเรามากๆๆ (เชื่อไหมว่า เรากับลูกชายมองหน้ากัน แล้วขำกันก๊ากเลย) 
จนวันนึง วันนั้นลูกสาวอยู่บ้านไม่ได้ไปขายของ แล้วสามีก็เปิดฉากด่าอีก ซึ่งวันนั้นเราทนไม่ไหวแล้ว ประสาทจะแดกตายเจอด่าและถามเรื่องเดิมๆแล้วเราไม่ได้ทำแต่ยิ้มยอมรับไปแล้ว มันวนเวียนมาก เขาบอกว่าเขาเป็น Traumatic stress disorder (PTSD) โรคความเครียดที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง  คือภาวะสุขภาพจิตที่เกิดจากเหตุการณ์ที่น่ากลัว ไม่ว่าจะประสบหรือพบเห็นเหตุการณ์นั้นก็ตาม อาการอาจรวมถึงภาพอดีต ฝันร้าย และวิตกกังวลอย่างรุนแรง มันย้อนกลับมาหลอนตลอด เหมือนคนที่ผ่านสนามรบมาก็อาจจะสะดุ้ง ตกใจง่ายๆ แล้วทุกครั้งที่มีอาการนั้นเขาก็จะระบายด้วยการ บ่น ด่าเรา 
วันนั้นเราทนไม่ไหวจริงๆ สติแตกแล้ว เราเก็บของและบอกลูกสาวว่าจะไปกับแม่ไหมหรือจะอยู่นี่ นางก็บอกว่าจะไป แล้วก็ออกจากบ้านกัน ไปที่ร้านขายของ ก็ไม่ไกลจากบ้านหรอก ที่นี่อีสามีก็โทรมาจิ๊กอีกบอกว่าจะไปไม่ว่า แต่ห้ามนอนที่นั้นให้ไปนอนบ้านแม่เรา ไม่อนุญาตให้นอนที่ร้าน เพราะที่ร้านมีเพื่อนเราที่เป็นผู้ชายอยู่ด้วยไง แต่เขาไม่ได้นอนที่ร้าน เขามีคอนโดอยู่ ที่ร้านจะมีแค่เรากับลูกสองคน สามีก็ไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายถ้าเราไม่กลับบ้านคืนนี้ก็ต้องไปนอนที่บ้านแม่ สันดานบ้าจริงๆๆ
เราก็ต้องทำตามนั้น เพราะไม่กลับบ้านแน่ๆๆ ปล่อยมันบ้าไปคนเดียว 
วันรุ่งขึ้น ก็โดนตามจิ๊ก โทรหาเป็นร้อยครั้งให้กลับบ้าน เป็นคนอย่างนี้แหละ อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก สุดท้ายก็ต้องกลับบ้าน
แล้วลูกสาวก็ย้ายออกไปแล้วไม่กลับมาเลย ถึงแม้เราจะกลับบ้านแล้วก็ตาม นางบอกว่า “แม่ รู้ไหมว่ามันทรมานมากนะ 
หนูนอนไม่หลับเลยนะ เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน หนูถึงย้ายมานอนอีกห้องไง หนูออกมาแล้ว ไม่กลับไปอีกแล้ว พอกันที่ แม่ทนได้ก็ทนไปเถอะ”  เจ็บมาก เป็นความเสียใจ ละอายใจ อย่างมาก ครั้งนี้ครอบครัวเราแตกแยกจริงๆและคนสุดท้าย ก็จะเป็นสามีที่จะจากเราไป สุดท้ายเราจะเหลือแค่ลูกชายคนเล็กที่อยู่กับเรา หมด พัง ครอบครัวที่ก่อสร้างกันมา 20 ปี เพราะความไม่รู้จักพอ..........................................................................................................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่