>>> คลิปอ้างอิง ที่ไทยรัฐทีวีพาคุณหมอไปพิสูจน์ >>>
https://www.facebook.com/share/v/tue2v2te3BzdjpqX/
อยากให้ทุกท่านดูจนจบนะครับ แป๊ปเดียวเอง แล้วมาแสดงความคิดเห็นกัน
เมื่อผมดูจนจบ หนึ่งอย่างที่อึดอัดใจคือ ทำไมนักข่าวปิดจบว่า "
ดังนั้นมันก็ไปจบตรงที่บอกว่า ผล มันจะเห็น ไม่เห็น อยู่ที่ท่านผู้ชมตัดสินแล้วครับ"
คือ อะไร ทำไมไม่ไปกับนิติกร ทนายความ จะได้กล้าพูดกล้าทำมากกว่านี้ แต่ต้องขอชื่นชมคุณหมอมาก และช่างภาพที่แสดงมุมก้ม มุมเงยต่างๆ ออกมาได้ชัดเจน
ผมขอนำเรียนสรุปทุกท่านดังนี้นะครับ
1.คือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเด็ก สรุปประเด็นซักหน่อย ตามที่ปรากฏในสื่อที่แนบข้างต้น เชื่อได้ว่า
น้องมองผ่านช่องข้างสันจมูก นี่คือข้อเท็จจริงที่1 แต่บิดาของน้องแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า น้องใช้ความสามารถพิเศษลักษณะคล้ายพลังจิต อ้างอิงจาก วินาทีที่ 3:50 และ ประกอบกับบิดาได้ใช้ถ้อยคำว่า "สภาวะจิตมาแล้ว บอกพ่อ" วินาทีที่ 1:25 ของวีดีโอด้วยนั้น พฤติกรรมดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่า น้องกำลังพยายามแสดงความสามารถพิเศษที่ตนสามารถมองทะลุวัตถุทึบแสงได้หรืออื่นใดในทำนองเดียวกัน โดยไม่ได้ใช้วิธีเหลือบมองช่องข้างสันจมูก
ซึ่งไม่เป็นความจริง น้องใช้วิธีมองภาพผ่านทางช่องร่องแก้มข้างจมูกในการรับภาพ พร้อมทั้งมีการเงยคางขึ้นมาชดเชย เพื่อให้แสงที่ตกกระทบกระดาษลอดเข้าสู่ช่องที่ปิดไม่สนิทข้างจมูกดังกล่าวเข้าสู่ดวงตา ทั้งนี้ บิดาได้ใช้ถ้อยคำว่าน้องต้อง
ฝึกฝน แสดงให้เห็นว่า น้องอาจต้องบังคับกล้ามเนื้อดวงตาในการเหลือบมาทิศทางด้านล่าง เป็นเวลานาน เพื่อให้กล้ามเนื้อดวงตาและดวงตาชินกับสภาวะดังกล่าว เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดสภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่เด็ก และขัดต่อการพัฒนาการของเด็กในวัยเดียวกัน ต้องตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๒๓ ประกอบมาตรา ๒๕ อนุ ๔ ซึ่งมีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ปกครองอย่างชัดเจนนั้น
เรื่องแบบนี้ ต้องไม่จบด้วยคำว่า
อยู่ที่ท่านผู้ชมเป็นผู้ตัดสิน หากไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือหนังสือ ใดๆจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (พม.จว) ก็จะมีพฤติกรรมเรียนแบบอยู่เรื่อยๆ
คราวนี้ เปิดใจคุยกัน
1.คือ น้องรู้เสมอ น้องกำลังทำอะไรอยู่ น้องรับรู้ตลอดเวลา ว่าน้องเงยหน้าและมองผ่านช่อง น้องมีสติรับรู้ แต่น้องต้องอดทน อดกลั้น ไม่พูด แล้วจิตใจน้องตอนนี้คือยังไง น้องคิดอะไรอยู่ สภาวะความคิด ภาวะแรงกดดันที่น้องรับ มันเกินที่เด็กจะรับไปมาก ทำไมน้องต้องเจออะไรแบบนี้ ใครคือเหยื่อ
2.เรื่องนี้
ต้องจบ ร
ศ. ดร. เจษฎา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สวัสดีครับท่าน เรื่องนี้ต้องชัดเจน ต้องจบ ต้องพึ่งภาควิชาการ เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่สังเกตุจากหลายท่านในบางคอมเม้นมองเป็นเรื่องตลก แต่ส่วนตัวมองอีกมุม มันไม่ใช่ มันไม่ตลกเลย
3.จะจบได้จริงๆ ก็
ต้องดำเนินการทางคดีอาญา ไม่ใช่กับเด็ก ซึ่งก็ต้องพึ่งหลักฐานทางวิชาการจากข้อ 2. ประกอบ โดยพฤติการณ์ของผู้ปกครองก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งตามที่เห็นในสื่อสังคมออนไลน์อยู่แล้ว ทำตามขั้นตอน เพื่อป้องปราม หน้าใหม่ๆ ที่รอผุดอีกหลายราย สังคมเราจะได้ไม่ป่วยไปมากกว่านี้
เด็กตาทิพย์ มองทะลุ พิสูจน์แล้ว แน่ใจแล้ว
อยากให้ทุกท่านดูจนจบนะครับ แป๊ปเดียวเอง แล้วมาแสดงความคิดเห็นกัน
เมื่อผมดูจนจบ หนึ่งอย่างที่อึดอัดใจคือ ทำไมนักข่าวปิดจบว่า "ดังนั้นมันก็ไปจบตรงที่บอกว่า ผล มันจะเห็น ไม่เห็น อยู่ที่ท่านผู้ชมตัดสินแล้วครับ"
คือ อะไร ทำไมไม่ไปกับนิติกร ทนายความ จะได้กล้าพูดกล้าทำมากกว่านี้ แต่ต้องขอชื่นชมคุณหมอมาก และช่างภาพที่แสดงมุมก้ม มุมเงยต่างๆ ออกมาได้ชัดเจน
ผมขอนำเรียนสรุปทุกท่านดังนี้นะครับ
1.คือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเด็ก สรุปประเด็นซักหน่อย ตามที่ปรากฏในสื่อที่แนบข้างต้น เชื่อได้ว่า น้องมองผ่านช่องข้างสันจมูก นี่คือข้อเท็จจริงที่1 แต่บิดาของน้องแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า น้องใช้ความสามารถพิเศษลักษณะคล้ายพลังจิต อ้างอิงจาก วินาทีที่ 3:50 และ ประกอบกับบิดาได้ใช้ถ้อยคำว่า "สภาวะจิตมาแล้ว บอกพ่อ" วินาทีที่ 1:25 ของวีดีโอด้วยนั้น พฤติกรรมดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่า น้องกำลังพยายามแสดงความสามารถพิเศษที่ตนสามารถมองทะลุวัตถุทึบแสงได้หรืออื่นใดในทำนองเดียวกัน โดยไม่ได้ใช้วิธีเหลือบมองช่องข้างสันจมูก ซึ่งไม่เป็นความจริง น้องใช้วิธีมองภาพผ่านทางช่องร่องแก้มข้างจมูกในการรับภาพ พร้อมทั้งมีการเงยคางขึ้นมาชดเชย เพื่อให้แสงที่ตกกระทบกระดาษลอดเข้าสู่ช่องที่ปิดไม่สนิทข้างจมูกดังกล่าวเข้าสู่ดวงตา ทั้งนี้ บิดาได้ใช้ถ้อยคำว่าน้องต้องฝึกฝน แสดงให้เห็นว่า น้องอาจต้องบังคับกล้ามเนื้อดวงตาในการเหลือบมาทิศทางด้านล่าง เป็นเวลานาน เพื่อให้กล้ามเนื้อดวงตาและดวงตาชินกับสภาวะดังกล่าว เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดสภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่เด็ก และขัดต่อการพัฒนาการของเด็กในวัยเดียวกัน ต้องตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๒๓ ประกอบมาตรา ๒๕ อนุ ๔ ซึ่งมีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ปกครองอย่างชัดเจนนั้น
เรื่องแบบนี้ ต้องไม่จบด้วยคำว่า อยู่ที่ท่านผู้ชมเป็นผู้ตัดสิน หากไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือหนังสือ ใดๆจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (พม.จว) ก็จะมีพฤติกรรมเรียนแบบอยู่เรื่อยๆ
คราวนี้ เปิดใจคุยกัน
1.คือ น้องรู้เสมอ น้องกำลังทำอะไรอยู่ น้องรับรู้ตลอดเวลา ว่าน้องเงยหน้าและมองผ่านช่อง น้องมีสติรับรู้ แต่น้องต้องอดทน อดกลั้น ไม่พูด แล้วจิตใจน้องตอนนี้คือยังไง น้องคิดอะไรอยู่ สภาวะความคิด ภาวะแรงกดดันที่น้องรับ มันเกินที่เด็กจะรับไปมาก ทำไมน้องต้องเจออะไรแบบนี้ ใครคือเหยื่อ
2.เรื่องนี้ ต้องจบ รศ. ดร. เจษฎา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สวัสดีครับท่าน เรื่องนี้ต้องชัดเจน ต้องจบ ต้องพึ่งภาควิชาการ เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่สังเกตุจากหลายท่านในบางคอมเม้นมองเป็นเรื่องตลก แต่ส่วนตัวมองอีกมุม มันไม่ใช่ มันไม่ตลกเลย
3.จะจบได้จริงๆ ก็ต้องดำเนินการทางคดีอาญา ไม่ใช่กับเด็ก ซึ่งก็ต้องพึ่งหลักฐานทางวิชาการจากข้อ 2. ประกอบ โดยพฤติการณ์ของผู้ปกครองก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งตามที่เห็นในสื่อสังคมออนไลน์อยู่แล้ว ทำตามขั้นตอน เพื่อป้องปราม หน้าใหม่ๆ ที่รอผุดอีกหลายราย สังคมเราจะได้ไม่ป่วยไปมากกว่านี้