เครดิตบูโรเปิดหนี้เสียพุ่ง 1.14 ล้านล้าน รถ บ้าน บัตรเครดิต มากสุด ฉุดสินเชื่อใหม่ดิ่ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4686800
เครดิตบูโรเปิดหนี้เสียพุ่ง 1.14 ล้านล้าน รถ บ้าน บัตรเครดิต มากสุด ฉุดสินเชื่อใหม่ดิ่ง ห่วงหนี้อสังหาต่ำ 3 ล้านท่วมตลาด
เมื่อวันที่ 17 กรกฎราคม นาย
สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า ภาพรวมหนี้เสียในครึ่งปีแรกของปี 2567 ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ดูจากข้อมูลรอบ 5 เดือนแรก หนี้เสียอยู่ที่ 1.14 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์ อยู่ที่ 250,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% หนี้เสียสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 218,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4%และหนี้เสียสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ที่ 67,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% นอกจากนี้ยังมีหนี้ที่เริ่มค้างชำระ 1-3 เดือน อยู่ประมาณ 680,000 ล้านบาท คาดว่าเมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาจะทำให้หนี้เสียลดลง หลังธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) บังคับให้ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อรายใหม่เพื่อสกัดหนี้เสียเพิ่ม มีผลให้หนี้ครัวเรือนลดลง หลังธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อใหม่น้อยลงแล้ว
“
ประเมินเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี 2567 น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่จะดีกว่าที่เราคิดไว้หรือไม่ ยังไม่รู้ เป็นผลจากงบประมาณปี 2567 เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังมีงบประมาณปี 2568 ที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องเดือนตุลาคมนี้ จะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา ส่งผลดีต่อธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว จึงทำให้เศรษฐกิจดูดีขึ้น แต่เราคิดว่ามันน่าจะดีขึ้นกว่านี้ และยังไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ทำให้ช็อกอีกหรือเปล่า” นาย
สุรพลกล่าว
นาย
สุรพลกล่าวว่า สำหรับหนี้เสียบ้านที่พบมากที่สุด เป็นราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่สุด และลูกค้าเป็นกลุ่มรายได้ปานกลางและรายได้น้อย โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนที่น่าเป็นห่วงมากสุด อย่างไรก็ตามหลังคุมการปล่อยสินเชื่อใหม่ และมีการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) สามารถยืดเวลาการผ่อนชำระได้ถึง 80-85 ปี เพื่อลดภาระค่างวดผ่อนบ้าน มองว่าแนวโน้มหนี้เสียบ้านปีนี้น่าจะทรงตัว ส่วนหนี้รถยนต์ตลอดปี2567 จะเป็นเรื่องของการเคลียร์หนี้เก่าอย่างเดียว หลังธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ จึงคาดการณ์ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อบ้านและรถยนต์ในปีนี้จะไม่โตและอาจติดลบ 1-2%
“
การแก้ปัญหาหนี้เสีย 1.กู้เท่าที่จำเป็น 2.กู้ให้พอดีกับที่จะจ่ายได้ อย่ากู้เกินตัว เมื่อแบงก์ชาติมีการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ คนเลยรู้สึกอึดอัด อย่างธุรกิจอสังหาฯเมื่อลูกค้ากู้แบงก์ไม่ผ่านสูง ก็ต้องลดราคาลงมา” นาย
สุรพลกล่าว
นาย
อลงกต บุญมาสุข เลขาธิการและประธานกรรมการบริหารสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า จากภาวะหนี้ครัวเรือนยังปรับตัวสูงกว่า 90%ของจีดีพี ทำให้ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ ส่งผลให้ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกของปี 2567 ยังขยายตัวได้น้อย จากกำลังซื้อในประเทศที่หดตัวมาก แม้ผู้ประกอบการอสังหาฯจะจัดโปรโมชั่นลดราคา แต่การกระตุ้นผู้บริโภคยังไม่กระเตื้องขึ้น เพราะหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยอัตราการถูกปฎิเสธสินเชื่อยังอยู่ระดับสูง 40-50% ส่วนใหญ่เป็นบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
นาย
วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) กล่าวว่า ผ่านไตรมาส1/2567 ภาพรวมเศรษฐกิจและเครื่องชี้ภาคอสังหาฯที่เป็นไปในทิศทางชะลอตัวลง คาดว่าทั้งปีนี้มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 103,930 หน่วย เพิ่ม 8% มูลค่ารวม 637,906 ล้านบาท เพิ่ม 7% มียอดขายได้ใหม่ 67,696หน่วย ลดลง 8.4% มูลค่า 342,299 ล้านบาท ลดลง 11.2% ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายเพิ่มขึ้นเป็น 246,280 หน่วย เพิ่ม 17.3% มูลค่า 1,393,395 ล้านบาท เพิ่ม 18.6% ดังนั้นผลจากยอดขายใหม่ปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และปัจจัยลบต่าง ๆ จะส่งผลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศอยู่ที่ 678,151 ล้านบาท ลดลง 0.03%
โรม ห่วงคดี 6 ศพ กระทบความเชื่อมั่นนทท. หวังตร.ทำงานโปร่งใส อย่าให้ภาพลักษณ์ไทยป่นปี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4685607
‘โรม’ ห่วงคดีพบศพชาวต่างชาติ กระทบภาพลักษณ์ประเทศ-การท่องเที่ยว จี้ตำรวจสอบสวนให้โปร่งใส
เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 17 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการพบศพชาวต่างชาติในโรงแรมหรู ย่านราชประสงค์ ในฐานะฝ่ายค้านได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้อะไรหรือไม่ว่า คงต้องประเมินก่อนว่าเป็นเรื่องระดับความมั่นคง หรือเรื่องส่วนตัวที่อาจมีความขัดแย้งเรื่องหนี้สินเงินทอง แต่ต้องยอมรับว่าสื่อมวลชนและประชาชนให้ความสำคัญ เนื่องจากหลังจากนี้จะมีการประชุมของรัฐมนตรีจากประเทศรัสเซีย และหากใครอยู่ในวงการการเมืองคงทราบว่าโรงแรมดังกล่าวเป็นที่พักอาศัยของนักการทูตหลายประเทศ ดังนั้น เข้าใจว่าคงมีเรื่องละเอียดอ่อน
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า เมื่อสถานที่เกิดเหตุมีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้อาจทำให้มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งผนวกกับที่มีการเสียชีวิตอย่างปริศนา จึงอาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของประเทศ แต่คิดว่าต้องให้เวลากับฝ่ายความมั่นคงในการตรวจสอบ หากเป็นเรื่องที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราก็ต้องไปมองว่าหน่วยข่าวกรองของเราสามารถทราบล่วงหน้าได้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่หากเป็นเรื่องระหว่างบุคคลก็เข้าใจว่าไม่สามารถสามารถทราบได้
นาย
รังสิมันต์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นโจทย์ของรัฐบาล เนื่องจากเป็นข่าวใหญ่ ไม่ใช่แค่ภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว และเราทุกคนที่ต้องช่วยฟื้นฟูความมั่นใจ โดยเฉพาะในเรื่องการท่องเที่ยวที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี และมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ช่วยกันทำให้การท่องเที่ยวไม่ถูกทำลายลง
เมื่อถามว่า มองว่าตำรวจรีบแถลงผลการสอบสวนไปหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า เวลาเร็ว หรือช้าเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ต้องไปดูว่าเขาได้ข้อเท็จจริงอะไรมา ถ้าเป็นการปิดคดีเร็วเพื่อให้จบ แล้วขาดความโปร่งใส หากมาทราบภายหลังว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น กระบวนการยุติธรรมจะถูกทำลายป่นปี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสังวรเอาไว้ แต่หากเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามนั้นก็ถือว่าตำรวจทำงานได้ไว ดังนั้น เรื่องนี้มีเหรียญสองด้าน อยู่ที่ว่าคดีนี้มีความชอบมาพากลระดับไหน หน้าที่ขององค์กรตำรวจคือต้องสร้างความกระจ่างในเรื่องนี้ ไม่ใช่ทำให้เป็นเรื่องลับลมคมใน ไม่เช่นนั้นจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียศรัทธาเรื่องกระบวนการยุติธรรม และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศอย่างป่นปี้แน่นอน.
5 สังกัดงัด “หมอเกศ” เหลือลุ้นกกต.ใบแดง
https://www.innnews.co.th/video/hot-clips/news_747739/
ปม “สว.หมอเกศ” ยังร้อนแรงต่อเนื่อง ล่าสุดในเฟซบุ๊กของหมอเกศ ถอดคำนำหน้าว่า ดร.ออกไปแล้ว เหลือแค่แพทย์หญิง และช่วงที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง
อย่างหน่วยงานแรก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ออกมาแจงปมที่มีการะบุ ว่า นิด้า ติวเข้มการนำเสนอหัวข้อวิจัยดุษฎีนิพนธ์ นั้นทาง นิด้า แจงว่า “บุคคลที่ปรากฏในข่าว มิได้กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก หรือจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก จากนิด้า”
หน่วยงานต่อมา มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จากกรณีที่มีการระบุไว้ในใบสมัครว่าจบปริญญาเอก สาขาวิชาการจัดการและพัฒนาทรัพยากร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นั้น ทางประธานกรรมการผู้รับผิดชอบหลักสูตร แจงสถานะปริญญาเอกของ “หมอเกศ”ยืนยันว่าลงเรียนจริง แต่ยอมรับไม่ค่อยสบายใจ ก่อนหน้านี้เคยแจ้งให้เพิ่มข้อความว่า “อยู่ระหว่างการศึกษา” ไปแล้ว เพราะอาจทำให้เกิดความสับสน แต่”หมอเกศ”บอกว่าตัวเธอไม่ได้ไปบอกใครแบบนี้ แต่เป็นสื่อที่นำไปเผยแพร่กันเอง
หน่วยงานต่อมา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จากกรณีข่าวหมอเกศ จะได้เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และมีโอกาสได้ตำแหน่งศาสตราจารย์นั้น ทางมหาวิทยาลัยขอยืนยันว่าภาพดังกล่าวเป็นเพียงการร่วมซ้อมฝึกอบรมดับเพลิงเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 โดย พญ.เกศกมลมาในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจเท่านั้น ไม่เคยเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยและไม่เคยยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการใดๆ ผ่านทางมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด
หน่วยงานต่อมา คือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดย นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง ระบุว่า กรณีที่มีผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ หากต้องการเทียบคุณวุฒิ จะต้องขอเทียบคุณวุฒิที่กระทรวง อว. ว่าสามารถเทียบได้กับการจบการศึกษาในระดับใดในประเทศไทย ซึ่งสำหรับ California University กระทรวง อว. ยังไม่เคยมีการรับรองการเทียบคุณวุฒิของสถาบันนี้แต่อย่างใด
หน่วยงานต่อมา คือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ.ที่ถูกอ้างรับรองวุฒิการศึกษา ได้ออกมาชี้แจงว่า ตรวจสอบแล้ว ไม่พบ มีส่วนราชการใดส่งข้อมูลของผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาดังกล่าวให้สำนักงานก.พ.พิจารณารับรองคุณวุฒิ เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน ส่วนที่นำมาแสดงระบุว่า สำนักงานก.พ.รับรองคุณวุฒิสถาบันการศึกษา CaliforniaUniversityที่ปรากฏในสื่อ มิใช่ข้อมูลของสำนักงานก.พ.แต่อย่างใด
ขณะหน่วยงานหลักที่สำคัญที่สุดอย่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่กำลังเร่งตรวจสอบในข้อหาหนัก ปมใช้ใบเอกสารแนะนำตัวสมาชิกวุฒิสภา เข้าข่ายเป็นการกระทำหลอกลวง จูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ เพื่อให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ตนหรือไม่ และมีบทลงโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี
ส่วนคนดังอย่าง “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกกต.เฟซบุ๊ก เตือน “หมอเกศ” เสี่ยงโดนใบแดงและมีโทษอาญา ปมคุณสมบัติเท็จของวุฒิการศึกษาลงสมัคร ส.ว. ส่วน อาจารย์พิเศษ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ไล่ไทม์ไลน์เฟซบุ๊ก “หมอเกศ” พบจบปริญญาแบบพุ่งพรวดจาก พญ. กระโดดเป็น “สว.ศ.ดร.พญ.” ใน 3 ปี นี่คนหรือยอดมนุษย์ ส่วน รองศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อ.อ๊อด ส่งทีมกฎหมาย งัดหลักฐานเข้าสู้ ลุยฟ้อง ‘ทีมหมอเกศ’ ชี้! ทำวงวิชาการไทยปั่นป่วน
ขณะที่”ทนายเดชา” ทนายของหมอเกศ ลั่น” ผมไม่เคยบอกว่าคุณหมอถูกหรือผิดนะ เราเป็นทนายความเราก็มีหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแค่นั้นเอง เต็มที่เลยครับ อยากให้ตรวจสอบเต็มที่เลย ใครอยากจะแสดงความคิดเห็นอะไรเอาให้สุดเลย พอสุดแล้วเดี๋ยวเราก็จะเริ่มกระบวนการของเรา”
JJNY : เครดิตบูโรเปิดหนี้เสียพุ่ง ฉุดสินเชื่อใหม่ดิ่ง│โรมห่วงคดี 6 ศพ│5 สังกัดงัด “หมอเกศ” เหลือลุ้นกกต.│“ไบเดน”ติดโควิด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4686800
เครดิตบูโรเปิดหนี้เสียพุ่ง 1.14 ล้านล้าน รถ บ้าน บัตรเครดิต มากสุด ฉุดสินเชื่อใหม่ดิ่ง ห่วงหนี้อสังหาต่ำ 3 ล้านท่วมตลาด
เมื่อวันที่ 17 กรกฎราคม นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า ภาพรวมหนี้เสียในครึ่งปีแรกของปี 2567 ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ดูจากข้อมูลรอบ 5 เดือนแรก หนี้เสียอยู่ที่ 1.14 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์ อยู่ที่ 250,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% หนี้เสียสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 218,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4%และหนี้เสียสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ที่ 67,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% นอกจากนี้ยังมีหนี้ที่เริ่มค้างชำระ 1-3 เดือน อยู่ประมาณ 680,000 ล้านบาท คาดว่าเมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาจะทำให้หนี้เสียลดลง หลังธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) บังคับให้ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อรายใหม่เพื่อสกัดหนี้เสียเพิ่ม มีผลให้หนี้ครัวเรือนลดลง หลังธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อใหม่น้อยลงแล้ว
“ประเมินเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี 2567 น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่จะดีกว่าที่เราคิดไว้หรือไม่ ยังไม่รู้ เป็นผลจากงบประมาณปี 2567 เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังมีงบประมาณปี 2568 ที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องเดือนตุลาคมนี้ จะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา ส่งผลดีต่อธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว จึงทำให้เศรษฐกิจดูดีขึ้น แต่เราคิดว่ามันน่าจะดีขึ้นกว่านี้ และยังไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ทำให้ช็อกอีกหรือเปล่า” นายสุรพลกล่าว
นายสุรพลกล่าวว่า สำหรับหนี้เสียบ้านที่พบมากที่สุด เป็นราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่สุด และลูกค้าเป็นกลุ่มรายได้ปานกลางและรายได้น้อย โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนที่น่าเป็นห่วงมากสุด อย่างไรก็ตามหลังคุมการปล่อยสินเชื่อใหม่ และมีการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) สามารถยืดเวลาการผ่อนชำระได้ถึง 80-85 ปี เพื่อลดภาระค่างวดผ่อนบ้าน มองว่าแนวโน้มหนี้เสียบ้านปีนี้น่าจะทรงตัว ส่วนหนี้รถยนต์ตลอดปี2567 จะเป็นเรื่องของการเคลียร์หนี้เก่าอย่างเดียว หลังธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ จึงคาดการณ์ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อบ้านและรถยนต์ในปีนี้จะไม่โตและอาจติดลบ 1-2%
“การแก้ปัญหาหนี้เสีย 1.กู้เท่าที่จำเป็น 2.กู้ให้พอดีกับที่จะจ่ายได้ อย่ากู้เกินตัว เมื่อแบงก์ชาติมีการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ คนเลยรู้สึกอึดอัด อย่างธุรกิจอสังหาฯเมื่อลูกค้ากู้แบงก์ไม่ผ่านสูง ก็ต้องลดราคาลงมา” นายสุรพลกล่าว
นายอลงกต บุญมาสุข เลขาธิการและประธานกรรมการบริหารสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า จากภาวะหนี้ครัวเรือนยังปรับตัวสูงกว่า 90%ของจีดีพี ทำให้ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ ส่งผลให้ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกของปี 2567 ยังขยายตัวได้น้อย จากกำลังซื้อในประเทศที่หดตัวมาก แม้ผู้ประกอบการอสังหาฯจะจัดโปรโมชั่นลดราคา แต่การกระตุ้นผู้บริโภคยังไม่กระเตื้องขึ้น เพราะหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยอัตราการถูกปฎิเสธสินเชื่อยังอยู่ระดับสูง 40-50% ส่วนใหญ่เป็นบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) กล่าวว่า ผ่านไตรมาส1/2567 ภาพรวมเศรษฐกิจและเครื่องชี้ภาคอสังหาฯที่เป็นไปในทิศทางชะลอตัวลง คาดว่าทั้งปีนี้มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 103,930 หน่วย เพิ่ม 8% มูลค่ารวม 637,906 ล้านบาท เพิ่ม 7% มียอดขายได้ใหม่ 67,696หน่วย ลดลง 8.4% มูลค่า 342,299 ล้านบาท ลดลง 11.2% ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายเพิ่มขึ้นเป็น 246,280 หน่วย เพิ่ม 17.3% มูลค่า 1,393,395 ล้านบาท เพิ่ม 18.6% ดังนั้นผลจากยอดขายใหม่ปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และปัจจัยลบต่าง ๆ จะส่งผลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศอยู่ที่ 678,151 ล้านบาท ลดลง 0.03%
โรม ห่วงคดี 6 ศพ กระทบความเชื่อมั่นนทท. หวังตร.ทำงานโปร่งใส อย่าให้ภาพลักษณ์ไทยป่นปี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4685607
‘โรม’ ห่วงคดีพบศพชาวต่างชาติ กระทบภาพลักษณ์ประเทศ-การท่องเที่ยว จี้ตำรวจสอบสวนให้โปร่งใส
เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 17 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการพบศพชาวต่างชาติในโรงแรมหรู ย่านราชประสงค์ ในฐานะฝ่ายค้านได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้อะไรหรือไม่ว่า คงต้องประเมินก่อนว่าเป็นเรื่องระดับความมั่นคง หรือเรื่องส่วนตัวที่อาจมีความขัดแย้งเรื่องหนี้สินเงินทอง แต่ต้องยอมรับว่าสื่อมวลชนและประชาชนให้ความสำคัญ เนื่องจากหลังจากนี้จะมีการประชุมของรัฐมนตรีจากประเทศรัสเซีย และหากใครอยู่ในวงการการเมืองคงทราบว่าโรงแรมดังกล่าวเป็นที่พักอาศัยของนักการทูตหลายประเทศ ดังนั้น เข้าใจว่าคงมีเรื่องละเอียดอ่อน
นายรังสิมันต์กล่าวว่า เมื่อสถานที่เกิดเหตุมีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้อาจทำให้มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งผนวกกับที่มีการเสียชีวิตอย่างปริศนา จึงอาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของประเทศ แต่คิดว่าต้องให้เวลากับฝ่ายความมั่นคงในการตรวจสอบ หากเป็นเรื่องที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราก็ต้องไปมองว่าหน่วยข่าวกรองของเราสามารถทราบล่วงหน้าได้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่หากเป็นเรื่องระหว่างบุคคลก็เข้าใจว่าไม่สามารถสามารถทราบได้
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นโจทย์ของรัฐบาล เนื่องจากเป็นข่าวใหญ่ ไม่ใช่แค่ภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว และเราทุกคนที่ต้องช่วยฟื้นฟูความมั่นใจ โดยเฉพาะในเรื่องการท่องเที่ยวที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี และมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ช่วยกันทำให้การท่องเที่ยวไม่ถูกทำลายลง
เมื่อถามว่า มองว่าตำรวจรีบแถลงผลการสอบสวนไปหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า เวลาเร็ว หรือช้าเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ต้องไปดูว่าเขาได้ข้อเท็จจริงอะไรมา ถ้าเป็นการปิดคดีเร็วเพื่อให้จบ แล้วขาดความโปร่งใส หากมาทราบภายหลังว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น กระบวนการยุติธรรมจะถูกทำลายป่นปี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสังวรเอาไว้ แต่หากเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามนั้นก็ถือว่าตำรวจทำงานได้ไว ดังนั้น เรื่องนี้มีเหรียญสองด้าน อยู่ที่ว่าคดีนี้มีความชอบมาพากลระดับไหน หน้าที่ขององค์กรตำรวจคือต้องสร้างความกระจ่างในเรื่องนี้ ไม่ใช่ทำให้เป็นเรื่องลับลมคมใน ไม่เช่นนั้นจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียศรัทธาเรื่องกระบวนการยุติธรรม และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศอย่างป่นปี้แน่นอน.
5 สังกัดงัด “หมอเกศ” เหลือลุ้นกกต.ใบแดง
https://www.innnews.co.th/video/hot-clips/news_747739/
ปม “สว.หมอเกศ” ยังร้อนแรงต่อเนื่อง ล่าสุดในเฟซบุ๊กของหมอเกศ ถอดคำนำหน้าว่า ดร.ออกไปแล้ว เหลือแค่แพทย์หญิง และช่วงที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง
อย่างหน่วยงานแรก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ออกมาแจงปมที่มีการะบุ ว่า นิด้า ติวเข้มการนำเสนอหัวข้อวิจัยดุษฎีนิพนธ์ นั้นทาง นิด้า แจงว่า “บุคคลที่ปรากฏในข่าว มิได้กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก หรือจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก จากนิด้า”
หน่วยงานต่อมา มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จากกรณีที่มีการระบุไว้ในใบสมัครว่าจบปริญญาเอก สาขาวิชาการจัดการและพัฒนาทรัพยากร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นั้น ทางประธานกรรมการผู้รับผิดชอบหลักสูตร แจงสถานะปริญญาเอกของ “หมอเกศ”ยืนยันว่าลงเรียนจริง แต่ยอมรับไม่ค่อยสบายใจ ก่อนหน้านี้เคยแจ้งให้เพิ่มข้อความว่า “อยู่ระหว่างการศึกษา” ไปแล้ว เพราะอาจทำให้เกิดความสับสน แต่”หมอเกศ”บอกว่าตัวเธอไม่ได้ไปบอกใครแบบนี้ แต่เป็นสื่อที่นำไปเผยแพร่กันเอง
หน่วยงานต่อมา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จากกรณีข่าวหมอเกศ จะได้เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และมีโอกาสได้ตำแหน่งศาสตราจารย์นั้น ทางมหาวิทยาลัยขอยืนยันว่าภาพดังกล่าวเป็นเพียงการร่วมซ้อมฝึกอบรมดับเพลิงเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 โดย พญ.เกศกมลมาในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจเท่านั้น ไม่เคยเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยและไม่เคยยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการใดๆ ผ่านทางมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด
หน่วยงานต่อมา คือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดย นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง ระบุว่า กรณีที่มีผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ หากต้องการเทียบคุณวุฒิ จะต้องขอเทียบคุณวุฒิที่กระทรวง อว. ว่าสามารถเทียบได้กับการจบการศึกษาในระดับใดในประเทศไทย ซึ่งสำหรับ California University กระทรวง อว. ยังไม่เคยมีการรับรองการเทียบคุณวุฒิของสถาบันนี้แต่อย่างใด
หน่วยงานต่อมา คือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ.ที่ถูกอ้างรับรองวุฒิการศึกษา ได้ออกมาชี้แจงว่า ตรวจสอบแล้ว ไม่พบ มีส่วนราชการใดส่งข้อมูลของผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาดังกล่าวให้สำนักงานก.พ.พิจารณารับรองคุณวุฒิ เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน ส่วนที่นำมาแสดงระบุว่า สำนักงานก.พ.รับรองคุณวุฒิสถาบันการศึกษา CaliforniaUniversityที่ปรากฏในสื่อ มิใช่ข้อมูลของสำนักงานก.พ.แต่อย่างใด
ขณะหน่วยงานหลักที่สำคัญที่สุดอย่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่กำลังเร่งตรวจสอบในข้อหาหนัก ปมใช้ใบเอกสารแนะนำตัวสมาชิกวุฒิสภา เข้าข่ายเป็นการกระทำหลอกลวง จูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ เพื่อให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ตนหรือไม่ และมีบทลงโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี
ส่วนคนดังอย่าง “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกกต.เฟซบุ๊ก เตือน “หมอเกศ” เสี่ยงโดนใบแดงและมีโทษอาญา ปมคุณสมบัติเท็จของวุฒิการศึกษาลงสมัคร ส.ว. ส่วน อาจารย์พิเศษ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ไล่ไทม์ไลน์เฟซบุ๊ก “หมอเกศ” พบจบปริญญาแบบพุ่งพรวดจาก พญ. กระโดดเป็น “สว.ศ.ดร.พญ.” ใน 3 ปี นี่คนหรือยอดมนุษย์ ส่วน รองศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อ.อ๊อด ส่งทีมกฎหมาย งัดหลักฐานเข้าสู้ ลุยฟ้อง ‘ทีมหมอเกศ’ ชี้! ทำวงวิชาการไทยปั่นป่วน
ขณะที่”ทนายเดชา” ทนายของหมอเกศ ลั่น” ผมไม่เคยบอกว่าคุณหมอถูกหรือผิดนะ เราเป็นทนายความเราก็มีหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแค่นั้นเอง เต็มที่เลยครับ อยากให้ตรวจสอบเต็มที่เลย ใครอยากจะแสดงความคิดเห็นอะไรเอาให้สุดเลย พอสุดแล้วเดี๋ยวเราก็จะเริ่มกระบวนการของเรา”