เราไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เลยจริงๆสักครั้ง
แม้เวลาจะผ่านไปนานนับปี
27 มีค. 66 เราสูนเสียคุณยายสุดที่รักไปตลอดชีวิต
หลายๆครั้งเราได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมวันนั้นเราถึงไม่ไปหายายก่อนนะ ทำไมวันนั้นเอาแต่บอกให้ท่านนอน ทำไมทิ้งให้ยายอยู่คนเดียว
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ 27.03.66 ตอน ตี 4.50 น. ตาตาโทรหาเราแล้วบอกกับเราว่า มาหายายหน่อย ยายเรียกหา เราหลังจากที่รับโทรศัพท์เสร็จก็รีบวิ่งไปหาคุณยายที่บ้าน
อยู่กับท่านตั้งแต่ตี 5 จน 8 โมงเช้าก่อนจะแยกตัวออกมาอาบน้ำไปทำงาน (ตาตาเล่าว่าคุณยายเรียกหาเราตั้งแต่ตี 2 แต่ตาตาไม่ยอมตามเรามาเพราะสงสารที่เราต้องมาหาคุณยายทุกวัน บางวันเรานั่งทำงานอยู่ก็ต้องทิ้งงานมานั่งเฝ้าคุณยายจนบางวันงานก็ทำไม่เสร็จตาตาเลยอยู่คุยกับยายจนเช้า) เราเล่นกับยายตลอดทั้งวัน เช้ามาหาที่บ้าน เที่ยงนั่งกินข้าวด้วยกัน พอบ่ายเราทำงานยายอยากให้มาหาแต่เราไม่ว่างยายเลยมาหาที่ห้องทำงาน เรานั่งเล่นนั่งคุยกับยายในห้อง พอเราว่างจากงานเราก็ไปเช็ดตัวเช็ดหน้าให้ยาย ตรงไหนมีขี้ไคลเราก็เช็ดออกให้หมด แคะหนูตัดเล็ดตัดผมให้แกทุกอย่าง
แต่วันนั้นเรารู้สึกหวิวๆ เหมือนคนจะโดนทิ้งตลอดเวลา จนเราเองไม่ไหว
เราคุยกับยายไปเรื่อย แต่ยายมีอาการแปลกๆ พูดถึงเรื่องเก่าๆคนเก่า พูดเรื่องย่าทวดปู่ทวดและเพื่อนๆแก(คนที่ตายไปแล้ว)
พูดเรื่องตัวเองตอนวัยรุ่นให้ฟัง แกบอกว่าแกบริจาคเงินๆไว้ที่วัด 10,0000 บาท อยู่ๆแกก็พูด (เรามารู้ทีหลังว่าเงินที่แกบริจาคไว้คือแกซ์้อที่ตรงกำแพงแก้ว เป็นที่ใส่กระดูกตอนเสีย) แต่เราไม่เอะใจอะไรเลย แค่คิดว่าวันนี้ยายดูแข็งแรงดีจัง เดินได้สดวก พูดเยอะกินเยอะ และไม่บ่นว่าจะไปหาหมอ
เราบอกให้ยายนอนพักเพราะยายไม่ยอมนอนเลยตั้งแต่ตี 2 จนตอนนั้นบ่าย2 ยายก็ไม่ยอมนอนเอาแต่เพ้อและบอกว่าถ้านอน ยายจะตายแล้วนะ
เรากลับขำแล้ะพูดกลับไปว่า ไม่ตายหรอกอย่าไปกลัว แต่เราไม่รู้นะว่ายายพูดแบบนั้นทำไม
และพอยายนั่งอยู่คนเดียวส่วนเราทำงานต่อ ยายพูดว่า " เฮาสิมานั้งเฮ็ดหยังอยู่นี่ละหึ" แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ..
ตอนนั้นเราขนลุกมาก เราถามยายกลับไปว่า " พูดกับหนูหรอ " แต่ยายนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน
ก่อนจะพูดว่า "กลับบ้านก่อนนะ " แล้วเราก็ งง บ้านไหน พูด งงๆ ยายแปลกๆ
ละพอ 16.00 น. น้าให้ยายมาดื่มชากับขนม ที่โตีะกับข้าว แต่พอ 16.50 น ยายเดินกลับไปที่บ้านตัวเอง แล้วนั่งหลับไปอยู่ตรงบันใดบ้านตัวเอง
แกนั่งหลังพิงผนังบ้านแล้วหลับไปเลย ไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่บ้านดูกล้องวงจรปิด เราไม่กล้าดูกลัวทำใจไม่ได้ ..
17.00 ช่างที่ รง.เห็นยายนั่งหลับอยุ่เลยรีบตะโกนเรียกให้แม่มาดู 17.15 แม่กับพี่ชายรีบพายายไป รพ. ไม่ได้เรียก 1669 ไม่ได้ทำCPR
รถก็ติดกว่าจะถึง รพ.
ส่วนเรา 17.00 น. ออกจาก รง.ไปรับแฟนกับพี่สะใภ้ ที่อีกสาขา เพราะเขาไม่มีรถกลับ แต่วันนั้นเราไม่อยากไปเลย เราขับรถไม่ได้เพราะเราใจเสีย ใจไม่ดีแต่เช้าแล้วกลัวเกิดอุบัติเหตุ แต่ก็สงสารแฟนอยากรีบกลับบ้าน เราเลยไปรับเพราะชวนพี่ชายแล้ว ที่ชายไม่ไปด้วย
พอเรากำลังขับรถ มีโครศัพท์โทรเข้าหาเรา 2 ครั้ง แต่กดรับไม่ทันต้นสาวยกดวางซะก่อน ตอนนั้นเรากลัวมาก เพราะเราใจคอไม่ดีกลัวไปหมด (จนิงๆเราขับรถเป็นมา 5 ปีแล้วแต่วันนั้นเราอาการไม่ดีจริง)
พอถึงหน้าร้านเห็นแฟนรีบวิ่งออกมาตรงถนนใหญ่เรางงมากว่าเขาวิ่งออกมาทำไม พอเราถามเขาบอกว่า เป็นห่วงเลยออกมาดู เราก็ งง ส่วนพี่สใภ้ก็รีบวิ่งออกจากห้องทำงานมาถาม ว่ารู้ยังว่ายายล้มนะ น่าจะเป็นลมกำลังไปหาหมอ ....
เราในตอนนั้น พูดไปอย่างไว ว่า " ไม่หรอก ยายเสียแล้ว หัวใจเราเต้นเร็วและรัวอย่างกับจะหลุดออกมา เราชาไปหมด คิดอะไรไม่ออก เหมือนอาการที่เแป็นอยู่ตลอดวันพบกับคำตอบน้ันสักที
แฟนรีบพาเราไป รพ.ที่ยายอยู่ แต่รถก็ติด เราตัดสินใจลงกลางถนน แล้วรีบวิ่งไปขึ้นวินมอไซ แต่พอไปถึง คำแรกที่เราได้ยินจากหมอ คือ หนอขอยุตติการช่วยชีวิตคนไข้นะคะ เนื่องจากคนไข้หัวใจหยุดเต้นเกิน 45 นาทีแล้ว แต่เราขอให้หมอช่วยต่ออีกสัก 15 นาทีเผื่อจะมีปาฏิหาร แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะตามกฎของ รพ.แล้ว หมอไม่สามารถทำตามที่ญาติขอได้จริงๆ ..หมอและผู้ช่วยทำเต็มที่แล้วจริงๆ
เราเฝ้ายายอยู่ที่ห้องช่วยชีวิต จน 3 ทุ่ม เปลี่ยนชุดแต่งหน้าแต่งตัวให้ยายใหม่ ก่อนจะกลับมาที่บ้าน เราขอว่าจะนั่งรถแอมบูแลนกลับไปส่งยายที่อำนาจเจริญ
แต่ผู้ใหญ๋ขอให้เป็นผู้ชายไปดีกว่า เราเลยกลับบ้านก่อนร้องไห้จนตี 1 แล้วเผลือหลับไป
ยายมาเข้าฝันเรา ยายนั่งรถตู้สีบรอนด์มาลงที่บ้านใส่เสื้อลูกไม้ขาวกับผ้าถุง ไม่ใส่รองเท้า เดินลงรถมาแล้วยิ้มมีความสุขมาก
: เราถามยายว่าจะไปไหนทำไมไม่ใส่รองเท้า
: ยายบอกจะกลับบ้าน รองเท้าไม่มี
: จะกลับได้ยังไงมืดขนาดนี้ รอกลับพร้อมกันสิ (4 เมษา เราจะพายายกลับบ้าน)
: ยายบอกอิคคิวจะไปส่ง
เรามองเห็นพี่ชายนั่งอยู่บ้านรถตู้
: เราบอกยายว่าไม่ให้ไป ไม่ไปได้มั้ย เราร้องไห้กอดยายไว้
แต่ยายมีความสุขมากที่จะได้กลับบ้าน
พอเราสดุ้งตื่นรีบลงมาหาแม่
: แม่หนูฝันเห็นยายว่ายายจะกลับบ้าน อิคคิวไปส่ง แต่รองเท้าก็ไม่ใส่
แม่ตกใจมาก เพราะเมื่อคืนพี่คิวไปส่งยายจริงๆและเขาไม่ได้ใส่รองเท้าให้ยาย รองเท้าที่เราเตรียมไว้ก้กลับมาอยุ่บ้านเหมือนเดิม
วันนั้นสายๆเรากับแม่กับน้านั่งรถกลับบ้านกัน
แม่บอกเราว่าอย่าร้องไห้นะเดี่ยวน้าจะขับรถไม่ไหว
แต่แม่กับน้านั้นแหละที่ร้องไห้ตลอดทางจนถึงบ้าน
จริงๆก่อนยายจะเสีย ที่บ้านจะจัดงานบวช พี่ชายเรา 2 คนจะบวญทำบุญหาตาทวดยายทวดในวันที่ 9 เมษา
แต่ยายมาจากไปซะก่อนงานบวชเลยเลื่อนออกไป
ตั้งแต่วันที่ 1 มีนา จนถึงวันที่ยายเสีย เราฝันเห็นที่บ้านจัดงานทุกวัน เราฝันว่าบ้านที่ต่างจังหวัดจัดงาน แต่งานมืดมาก มีแต่สีดำๆเต้มไปหมด
บางวันฝันเห็นน้านั่งร้องไห้ บางวันฝันว่าน้องกอดกับน้าอยู่แล้วร้องไห้ บ้างวันฝันเห็นพี่ชายใส่ชดเหลืองยืนร้องไห้ บางวันฝันเห็นพี่ชายใส่ชุดเหลืองมาหาแล้วบอกว่าบวชลา เราถามที่ชายว่าบวชลาคืออะไรแต่พี่ชายไม่พูด บางวันฝันว่า่นั่งรถกลับบ้านกับน้า แต่ร้องไห้กับตลอดทาง
เราเป็นอยู่อย่างนั้นทั้งเดือน ....
มารู้ว่าสิ่งนั้นคือรางบอกเหตุก็ตอนที่ยายเสียแล้ว
เอาร่างยายไว้ที่บ้าน 7 วัน แขกมาช่วยทำบุญทำทานเยอะมาก เราพึ่งรู้ว่าแค่ยายมีลูก 3 คนแต่คนรักพวกเราและยายเยอะมาก
ช่วยทำบุญตั้งหลายแสน ผลัดกันมาช่วยงานทุกวัน คนรักยายมากจริงๆนะ
และใน7วันนั้นเราสัมผัสถึงยายได้ทุกวันน เรากินข้าวกินน้ำไม่ลง เอาแต่นึกถึงคำพูดของยาย เวลากินข้าวมันติดคอเหมือนจะตาย เราเองตอนนั้นก็ด้วยกินไม่ได้มันติดคอกลืนไม่ลง นน.เราหายไป7 กก.ภายใน 7 วัน จาก 48 เหลือแค่ 40-41 เพราะเอาแต่ร้องไห้ตั้งสติไม่ได้สักวัน
เราทำใจไม่ได้จนงานไปต่อไม่ได้ ความรักไปต่อไม่ได้ หนี้สินเราก็หาเงินจ่ายไม่ทัน เราไม่อยากจะมีชิวิตอยู่ต่อเลยสักวัน ...
จนสุดท้ายเราตัดสินใจขอเลิกกับแฟนที่คบกันมา 5 ปี และลาออกจากงานที่ทำมานาน เราเห็นแก่ตัวเกินไปเพียงเพราะตัวเองตั้งสติไม่ได้ทุกคนก็เจ็บปวดจากเราเช่นกัน
ตอนนี้ผ่านมา 1 ปีกว่าแล้วนะ เรากลับมาทำงานได้ 3 เดือนแล้ว แเราเริ่มต้นใหม่แล้ว แต่บางครั้งก็ไม่สามารถเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้นได้
เราเคยพบหมอกินยาคลายกังวลเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่คงยังต้องไปพบหมออีกครั้งเพราะเรายังมีอารมณ์ที่ไม่คงที่อยู่
ตลอด 1 ปี 2022- มีนา 2023 เราอยู่กับยายแทบจะทุกวัน ทั้งนอนกับยาย กินข้าวกับยาย พายายไปหาหมอ เราแอบทำใจไว้ตั้งหลายครั้งว่ายายคงจะอยู่ได้ไม่นานแล้วนะ เพราะยายแก่มากแล้ว หาหมอทุก 5 วัน 7 วันแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่คิดเราก็เอาแต่ร้องไห้เพราะยอมรับความจริงไม่ได้ ... เราทำหน้าที่ของหลานเต้มที่มากแล้วจริงๆใช่มั้ย?
เราเคยอยากพูดเรื่องนี้มากๆหลายๆอย่างที่เราไม่เคยได้พูดเอาแต่พิมเก็บไว้เขียนเก็บไว้ ไม่เคยได้พูดกับใครเลย เราหวังว่าครั้งนี้เราจะดีขึ้นสักทีนะ
เลิกโทษตัวเอง เลิกหมดหวัง หยุดสิ้นหวังกับตัวเองสักที เราพยายามตามหาเหตุผลของการมีชีวิตต่อถึงแม่ว่าสั่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ใครที่แวะมาอ่านจนถึงตรงนี้ก็ขอบคุณนะคะที่รับฟัง
แต่มันเยอะมากๆจนไม่รู้จะพิมพ์ต่อยังไงแล้วค่ะ พิมพ์ผิดเยอธก็ขอโทษนะคะแต่เราคิดว่าไม่มีใครเข้ามาผ่านหรอกเราแค่อยากลองพิมพ์สิ่งที่คิดมาในหัวตลอดจนตอนนี้เฉฉยๆ
ตอนนี้เราก็ยัง
ให้อภัยตัวเองจริงๆ ไม่ได้สักที
แม้เวลาจะผ่านไปนานนับปี
27 มีค. 66 เราสูนเสียคุณยายสุดที่รักไปตลอดชีวิต
หลายๆครั้งเราได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมวันนั้นเราถึงไม่ไปหายายก่อนนะ ทำไมวันนั้นเอาแต่บอกให้ท่านนอน ทำไมทิ้งให้ยายอยู่คนเดียว
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ 27.03.66 ตอน ตี 4.50 น. ตาตาโทรหาเราแล้วบอกกับเราว่า มาหายายหน่อย ยายเรียกหา เราหลังจากที่รับโทรศัพท์เสร็จก็รีบวิ่งไปหาคุณยายที่บ้าน
อยู่กับท่านตั้งแต่ตี 5 จน 8 โมงเช้าก่อนจะแยกตัวออกมาอาบน้ำไปทำงาน (ตาตาเล่าว่าคุณยายเรียกหาเราตั้งแต่ตี 2 แต่ตาตาไม่ยอมตามเรามาเพราะสงสารที่เราต้องมาหาคุณยายทุกวัน บางวันเรานั่งทำงานอยู่ก็ต้องทิ้งงานมานั่งเฝ้าคุณยายจนบางวันงานก็ทำไม่เสร็จตาตาเลยอยู่คุยกับยายจนเช้า) เราเล่นกับยายตลอดทั้งวัน เช้ามาหาที่บ้าน เที่ยงนั่งกินข้าวด้วยกัน พอบ่ายเราทำงานยายอยากให้มาหาแต่เราไม่ว่างยายเลยมาหาที่ห้องทำงาน เรานั่งเล่นนั่งคุยกับยายในห้อง พอเราว่างจากงานเราก็ไปเช็ดตัวเช็ดหน้าให้ยาย ตรงไหนมีขี้ไคลเราก็เช็ดออกให้หมด แคะหนูตัดเล็ดตัดผมให้แกทุกอย่าง
แต่วันนั้นเรารู้สึกหวิวๆ เหมือนคนจะโดนทิ้งตลอดเวลา จนเราเองไม่ไหว
เราคุยกับยายไปเรื่อย แต่ยายมีอาการแปลกๆ พูดถึงเรื่องเก่าๆคนเก่า พูดเรื่องย่าทวดปู่ทวดและเพื่อนๆแก(คนที่ตายไปแล้ว)
พูดเรื่องตัวเองตอนวัยรุ่นให้ฟัง แกบอกว่าแกบริจาคเงินๆไว้ที่วัด 10,0000 บาท อยู่ๆแกก็พูด (เรามารู้ทีหลังว่าเงินที่แกบริจาคไว้คือแกซ์้อที่ตรงกำแพงแก้ว เป็นที่ใส่กระดูกตอนเสีย) แต่เราไม่เอะใจอะไรเลย แค่คิดว่าวันนี้ยายดูแข็งแรงดีจัง เดินได้สดวก พูดเยอะกินเยอะ และไม่บ่นว่าจะไปหาหมอ
เราบอกให้ยายนอนพักเพราะยายไม่ยอมนอนเลยตั้งแต่ตี 2 จนตอนนั้นบ่าย2 ยายก็ไม่ยอมนอนเอาแต่เพ้อและบอกว่าถ้านอน ยายจะตายแล้วนะ
เรากลับขำแล้ะพูดกลับไปว่า ไม่ตายหรอกอย่าไปกลัว แต่เราไม่รู้นะว่ายายพูดแบบนั้นทำไม
และพอยายนั่งอยู่คนเดียวส่วนเราทำงานต่อ ยายพูดว่า " เฮาสิมานั้งเฮ็ดหยังอยู่นี่ละหึ" แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ..
ตอนนั้นเราขนลุกมาก เราถามยายกลับไปว่า " พูดกับหนูหรอ " แต่ยายนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน
ก่อนจะพูดว่า "กลับบ้านก่อนนะ " แล้วเราก็ งง บ้านไหน พูด งงๆ ยายแปลกๆ
ละพอ 16.00 น. น้าให้ยายมาดื่มชากับขนม ที่โตีะกับข้าว แต่พอ 16.50 น ยายเดินกลับไปที่บ้านตัวเอง แล้วนั่งหลับไปอยู่ตรงบันใดบ้านตัวเอง
แกนั่งหลังพิงผนังบ้านแล้วหลับไปเลย ไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่บ้านดูกล้องวงจรปิด เราไม่กล้าดูกลัวทำใจไม่ได้ ..
17.00 ช่างที่ รง.เห็นยายนั่งหลับอยุ่เลยรีบตะโกนเรียกให้แม่มาดู 17.15 แม่กับพี่ชายรีบพายายไป รพ. ไม่ได้เรียก 1669 ไม่ได้ทำCPR
รถก็ติดกว่าจะถึง รพ.
ส่วนเรา 17.00 น. ออกจาก รง.ไปรับแฟนกับพี่สะใภ้ ที่อีกสาขา เพราะเขาไม่มีรถกลับ แต่วันนั้นเราไม่อยากไปเลย เราขับรถไม่ได้เพราะเราใจเสีย ใจไม่ดีแต่เช้าแล้วกลัวเกิดอุบัติเหตุ แต่ก็สงสารแฟนอยากรีบกลับบ้าน เราเลยไปรับเพราะชวนพี่ชายแล้ว ที่ชายไม่ไปด้วย
พอเรากำลังขับรถ มีโครศัพท์โทรเข้าหาเรา 2 ครั้ง แต่กดรับไม่ทันต้นสาวยกดวางซะก่อน ตอนนั้นเรากลัวมาก เพราะเราใจคอไม่ดีกลัวไปหมด (จนิงๆเราขับรถเป็นมา 5 ปีแล้วแต่วันนั้นเราอาการไม่ดีจริง)
พอถึงหน้าร้านเห็นแฟนรีบวิ่งออกมาตรงถนนใหญ่เรางงมากว่าเขาวิ่งออกมาทำไม พอเราถามเขาบอกว่า เป็นห่วงเลยออกมาดู เราก็ งง ส่วนพี่สใภ้ก็รีบวิ่งออกจากห้องทำงานมาถาม ว่ารู้ยังว่ายายล้มนะ น่าจะเป็นลมกำลังไปหาหมอ ....
เราในตอนนั้น พูดไปอย่างไว ว่า " ไม่หรอก ยายเสียแล้ว หัวใจเราเต้นเร็วและรัวอย่างกับจะหลุดออกมา เราชาไปหมด คิดอะไรไม่ออก เหมือนอาการที่เแป็นอยู่ตลอดวันพบกับคำตอบน้ันสักที
แฟนรีบพาเราไป รพ.ที่ยายอยู่ แต่รถก็ติด เราตัดสินใจลงกลางถนน แล้วรีบวิ่งไปขึ้นวินมอไซ แต่พอไปถึง คำแรกที่เราได้ยินจากหมอ คือ หนอขอยุตติการช่วยชีวิตคนไข้นะคะ เนื่องจากคนไข้หัวใจหยุดเต้นเกิน 45 นาทีแล้ว แต่เราขอให้หมอช่วยต่ออีกสัก 15 นาทีเผื่อจะมีปาฏิหาร แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะตามกฎของ รพ.แล้ว หมอไม่สามารถทำตามที่ญาติขอได้จริงๆ ..หมอและผู้ช่วยทำเต็มที่แล้วจริงๆ
เราเฝ้ายายอยู่ที่ห้องช่วยชีวิต จน 3 ทุ่ม เปลี่ยนชุดแต่งหน้าแต่งตัวให้ยายใหม่ ก่อนจะกลับมาที่บ้าน เราขอว่าจะนั่งรถแอมบูแลนกลับไปส่งยายที่อำนาจเจริญ
แต่ผู้ใหญ๋ขอให้เป็นผู้ชายไปดีกว่า เราเลยกลับบ้านก่อนร้องไห้จนตี 1 แล้วเผลือหลับไป
ยายมาเข้าฝันเรา ยายนั่งรถตู้สีบรอนด์มาลงที่บ้านใส่เสื้อลูกไม้ขาวกับผ้าถุง ไม่ใส่รองเท้า เดินลงรถมาแล้วยิ้มมีความสุขมาก
: เราถามยายว่าจะไปไหนทำไมไม่ใส่รองเท้า
: ยายบอกจะกลับบ้าน รองเท้าไม่มี
: จะกลับได้ยังไงมืดขนาดนี้ รอกลับพร้อมกันสิ (4 เมษา เราจะพายายกลับบ้าน)
: ยายบอกอิคคิวจะไปส่ง
เรามองเห็นพี่ชายนั่งอยู่บ้านรถตู้
: เราบอกยายว่าไม่ให้ไป ไม่ไปได้มั้ย เราร้องไห้กอดยายไว้
แต่ยายมีความสุขมากที่จะได้กลับบ้าน
พอเราสดุ้งตื่นรีบลงมาหาแม่
: แม่หนูฝันเห็นยายว่ายายจะกลับบ้าน อิคคิวไปส่ง แต่รองเท้าก็ไม่ใส่
แม่ตกใจมาก เพราะเมื่อคืนพี่คิวไปส่งยายจริงๆและเขาไม่ได้ใส่รองเท้าให้ยาย รองเท้าที่เราเตรียมไว้ก้กลับมาอยุ่บ้านเหมือนเดิม
วันนั้นสายๆเรากับแม่กับน้านั่งรถกลับบ้านกัน
แม่บอกเราว่าอย่าร้องไห้นะเดี่ยวน้าจะขับรถไม่ไหว
แต่แม่กับน้านั้นแหละที่ร้องไห้ตลอดทางจนถึงบ้าน
จริงๆก่อนยายจะเสีย ที่บ้านจะจัดงานบวช พี่ชายเรา 2 คนจะบวญทำบุญหาตาทวดยายทวดในวันที่ 9 เมษา
แต่ยายมาจากไปซะก่อนงานบวชเลยเลื่อนออกไป
ตั้งแต่วันที่ 1 มีนา จนถึงวันที่ยายเสีย เราฝันเห็นที่บ้านจัดงานทุกวัน เราฝันว่าบ้านที่ต่างจังหวัดจัดงาน แต่งานมืดมาก มีแต่สีดำๆเต้มไปหมด
บางวันฝันเห็นน้านั่งร้องไห้ บางวันฝันว่าน้องกอดกับน้าอยู่แล้วร้องไห้ บ้างวันฝันเห็นพี่ชายใส่ชดเหลืองยืนร้องไห้ บางวันฝันเห็นพี่ชายใส่ชุดเหลืองมาหาแล้วบอกว่าบวชลา เราถามที่ชายว่าบวชลาคืออะไรแต่พี่ชายไม่พูด บางวันฝันว่า่นั่งรถกลับบ้านกับน้า แต่ร้องไห้กับตลอดทาง
เราเป็นอยู่อย่างนั้นทั้งเดือน ....
มารู้ว่าสิ่งนั้นคือรางบอกเหตุก็ตอนที่ยายเสียแล้ว
เอาร่างยายไว้ที่บ้าน 7 วัน แขกมาช่วยทำบุญทำทานเยอะมาก เราพึ่งรู้ว่าแค่ยายมีลูก 3 คนแต่คนรักพวกเราและยายเยอะมาก
ช่วยทำบุญตั้งหลายแสน ผลัดกันมาช่วยงานทุกวัน คนรักยายมากจริงๆนะ
และใน7วันนั้นเราสัมผัสถึงยายได้ทุกวันน เรากินข้าวกินน้ำไม่ลง เอาแต่นึกถึงคำพูดของยาย เวลากินข้าวมันติดคอเหมือนจะตาย เราเองตอนนั้นก็ด้วยกินไม่ได้มันติดคอกลืนไม่ลง นน.เราหายไป7 กก.ภายใน 7 วัน จาก 48 เหลือแค่ 40-41 เพราะเอาแต่ร้องไห้ตั้งสติไม่ได้สักวัน
เราทำใจไม่ได้จนงานไปต่อไม่ได้ ความรักไปต่อไม่ได้ หนี้สินเราก็หาเงินจ่ายไม่ทัน เราไม่อยากจะมีชิวิตอยู่ต่อเลยสักวัน ...
จนสุดท้ายเราตัดสินใจขอเลิกกับแฟนที่คบกันมา 5 ปี และลาออกจากงานที่ทำมานาน เราเห็นแก่ตัวเกินไปเพียงเพราะตัวเองตั้งสติไม่ได้ทุกคนก็เจ็บปวดจากเราเช่นกัน
ตอนนี้ผ่านมา 1 ปีกว่าแล้วนะ เรากลับมาทำงานได้ 3 เดือนแล้ว แเราเริ่มต้นใหม่แล้ว แต่บางครั้งก็ไม่สามารถเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้นได้
เราเคยพบหมอกินยาคลายกังวลเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่คงยังต้องไปพบหมออีกครั้งเพราะเรายังมีอารมณ์ที่ไม่คงที่อยู่
ตลอด 1 ปี 2022- มีนา 2023 เราอยู่กับยายแทบจะทุกวัน ทั้งนอนกับยาย กินข้าวกับยาย พายายไปหาหมอ เราแอบทำใจไว้ตั้งหลายครั้งว่ายายคงจะอยู่ได้ไม่นานแล้วนะ เพราะยายแก่มากแล้ว หาหมอทุก 5 วัน 7 วันแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่คิดเราก็เอาแต่ร้องไห้เพราะยอมรับความจริงไม่ได้ ... เราทำหน้าที่ของหลานเต้มที่มากแล้วจริงๆใช่มั้ย?
เราเคยอยากพูดเรื่องนี้มากๆหลายๆอย่างที่เราไม่เคยได้พูดเอาแต่พิมเก็บไว้เขียนเก็บไว้ ไม่เคยได้พูดกับใครเลย เราหวังว่าครั้งนี้เราจะดีขึ้นสักทีนะ
เลิกโทษตัวเอง เลิกหมดหวัง หยุดสิ้นหวังกับตัวเองสักที เราพยายามตามหาเหตุผลของการมีชีวิตต่อถึงแม่ว่าสั่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ใครที่แวะมาอ่านจนถึงตรงนี้ก็ขอบคุณนะคะที่รับฟัง
แต่มันเยอะมากๆจนไม่รู้จะพิมพ์ต่อยังไงแล้วค่ะ พิมพ์ผิดเยอธก็ขอโทษนะคะแต่เราคิดว่าไม่มีใครเข้ามาผ่านหรอกเราแค่อยากลองพิมพ์สิ่งที่คิดมาในหัวตลอดจนตอนนี้เฉฉยๆ
ตอนนี้เราก็ยัง