๑
สอบธุรการ
ข้าพเจ้าจำความได้ว่า ข้าพเจ้าฝันคืนวันที่ ๙ ม.ค. ๒๕๖๗ ข้าพเจ้าฝันว่าข้าพเจ้าได้ดูดวงแล้ว “ไปตามดวง” กล่าวแบบจาระไนก็คือข้าพเจ้าดูดวงแล้วดวงบอกว่า มีเกณฑ์ “เดินทางไกล” ปรากฏว่าข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไกลจริงๆ โดยมีเกณฑ์เดินทางไกลเพื่อไปสอบธุรการที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
ความจริง ข้าพเจ้าเดินทางอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่าร่างกายของข้าพเจ้ามาอยู่ในบ้านหลังเก่าของป้าดี คุณป้าของข้าพเจ้า บ้านซึ่งตั้งอยู่บนถนนหลังวัดสวนป่าน บ้านที่ป้าดีขายไปนานโขเหลือเกิน แต่ข้าพเจ้ายังมีความทรงจำอันดีที่นั่น
บ้านถูกรีโนเวตใหม่เป็นสไตล์บ้านเดี่ยว หากแต่ความจริงบ้านหลังนี้เป็นทาวเฮาส์สองชั้น แต่ความฝันดันเนรมิตให้มันกลายเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่โล่งแจ้ง มีต้นไม้ แม้แต่เพื่อนบ้านก็ดูจักผิดแผกแตกต่างไม่น้อย เพราะบางคนนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักมักจี่เลย
บ้านเดี่ยวของป้าดีถูกรีโนเวตเป็นบ้าน ๓ ชั้น มีห้องน้ำ ๓ ห้อง มีห้องนอน ๔ ห้องนอน แต่จะเป็นห้องใครบ้างข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด แต่มีห้อง๑ที่น้อย น้องชายของข้าพเจ้านอนอยู่
คืนก่อนสอบดูเหมือนว่าน้อยจักนอนห้องของตน ข้าพเจ้านอนชั้นล่างกับลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าชื่อกร แลเด็กนิรนามคนหนึ่ง ข้าพเจ้าอนุมานว่าคงเป็นเพื่อนของอ้ายกรมัน เด็กชายคนนั้นได้มานอนที่บ้านของป้าดีด้วย
ข้าพเจ้าจักบอกความลับอะไรให้ท่านผู้อ่านทราบ ในความเป็นจริงแล้วกรป่วยด้วยโรคๆหนึ่ง คืออาการ “หนังหุ้มปลายร่นรัด” หากจักแก้โรคนี้ให้ชะงัดต้องทำการ “ขลิบ” เอาหนังหุ้มปลายนั้นออก เหมือนฝันร้ายของบุรุษเพศหลายคนซึ่งกลัวขี้หดตดหาย แต่ข้าพเจ้าผู้เคยป่วยด้วยโรคนี้มาก่อน เมื่อผ่านการ “ขลิบ” มาแล้ว จึงเกิดการรู้แจ้งว่า สวรรค์วิมานนั้น “อยู่ไม่ไกล”
ในโลกแห่งความฝัน ข้าพเจ้าพบว่ากรได้หายขาดจากโรคดังกล่าวแล้ว เพราะเจ้าตัวดัน “โชว์เจ้าโลก” อันมหึมาให้ข้าพเจ้าดู แต่ก็เป็นที่น่าแขยงเอาการเมื่อดวงตาของข้าพเจ้าดันเห็น “ขี้เปียก” จำนวนหนึ่ง เกาะกันเป็นกลุ่มอยู่บนหัวสีชมพูขององชาตเด็กหนุ่ม
เมื่อตะวันผงาดฟ้า ข้าพเจ้าก็พบว่าการที่จักสอบธุรการนี้ มีกฎครั้งสำคัญที่ข้าพเจ้ามิอาจคาดฝัน คือผู้ที่จักเข้าสอบนั้น จักต้องแต่งเครื่องแบบชุดนักเรียน “เท่านั้น” เผอิญว่าข้าพเจ้าไม่มีชุดดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงบอกน้อยให้ช่วยหาชุดนักเรียนของมันให้หน่อย น้อยก็หาได้ชั่วแค่กางเกงขาสั้นสีดำเท่านั้น ส่วนเสื้อนักเรียนสีขาวก็เก่าบุโรทั่งเกินที่จักใส่ได้แล้ว ทันใดนั้น เด็กนิรนามเพิ่อนอ้ายกร จึงบอกให้ข้าพเจ้าไปหาซื้อชุดนักเรียน
ข้าพเจ้าไปหาซื้อชุดนักเรียนแถวๆหอนาฬิกาในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ร้านขายชุดนักเรียนแขวนเสื้อนักเรียนไว้เต็มพื้นที่ราวกับร้านขายเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัดอย่างไรอย่างนั้น การซื้อชุดนักเรียนนี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าไปสนามสอบสาย อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็พบกับสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตกใจยิ่งนัก เมื่อข้าพเจ้าพบกับเด็กหนุ่มคนนึง แต่งกายในชุดเครื่องแบบชุดนิสิตชาย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร อันเป็นมหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษามา ไม่นานข้าพเจ้าก็ทราบจากกรรมการคุมสอบว่า ชุดนิสิตนักศึกษาก็สามารถเข้าสอบได้ ไม่ผิดแต่ประการใด
ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวกับท่านผู้อ่านแล้วว่า เมื่อข้าพเจ้ามายังสนามสอบสาย ข้าพเจ้าก็มิอาจเข้าสอบได้ ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับบ้านของป้าดีที่ถนนหลังวัดสวนป่าน ระหว่างเดินทางกลับข้าพเจ้าเห็นเด็กประถมโรงเรียนหนึ่งที่ไม่ไกลจากวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร กำลังเดินประท้วงลุงคนนึงซึ่งเป็นเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียง เสียงเด็กเจี้อยแจ้วดังลั่น
“อ้ายเอ๋อ...อ้ายเอ๋อ”
ไม่รู้ว่าลุงที่โดนเด็กเรียกว่า “อ้ายเอ๋อ” นั้น ไปทำอะไรให้ด็กพวกนี้ไม่พอใจ จึงยกโขยงกันไปด่าลุงแกถึงที่ ดูเผินๆ เด็กพวกนี้แลดูไร้มรรยาท แต่เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของลุงคนนั้นว่าแกไปสร้างวีรกรรมอันใดไว้
ข้าพเจ้าเดินเล่นรอบๆบ้านของป้าดี เห็นเหล่าเพื่อนบ้านทำกิจวัตรต่างๆนานา ข้าพเจ้าลองเดินไปหลังบ้านป้าดี ปรากฏว่ามันมีป่ากัญชาที่แปลกตาไปจากความเป็นจริง กัญชาเหล่านั้นยืนต้นสูงประหนึ่งต้นยูคาลิปตัส ข้าพเจ้าเดินบนถนนลาดยางมุ่งไปทางนั้น พลันเจอทางสามแพร่ง ทางอันเป็นถนนลาดยาง เป็นแดนสนธยาที่ข้าพเจ้าไม่เคยไปมาหาสู่ อีกแพร่งหนึ่งเป็นทางลูกรัง ข้าพเจ้าเดินไปตามทางลูกรังนั้น
บรรยากาศของถนนลูกรังสายนี้ มีต้นกัญชาประหลาดดังกล่าวข้างต้นเรียงรายอยู่ตลอดทาง ดอกกัญชาร่วงหล่นบนพื้นถนนไปทั่ว เดินไปสักระยะ๑ ต้นกัญชาประหลาดมลายไป เล็งแลเห็นแต่บ่อสปาโคลนดินลูกรัง ที่เด็กประถมโรงเรียนแห่งหนึ่งข้างๆวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ต่างเปลือยกายแช่บ่อกันอย่างสนุกสนานโดยไม่เคอะเขินแต่ประการใด เดี๋ยวก่อน เด็กพวกนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะคือเด็กกลุ่มเดียวกันที่มาก่อม็อบประท้วง “ลุงเอ๋อ” นั่นเอง
เด็กๆดูจะเล่นบ่อโคลนกันสนุกสนานโดยไม่ยี่หระสายตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินผ่านเด็กกลุ่มนี้ไปสักพัก ก็พบกับชายปริศนาหน้าตาคล้ายกับตัวการ์ตูนใส่ชุดขาว เขามีรูปร่างใหญ่ กำยำ แลมีความอาวุโสกว่าข้าพเจ้า ถ้าจักกล่าวให้ถูกก็คือ “อาวุโส”กว่าบิดามารดาข้าพเจ้าเสียอีก
เราสนทนาพาทีกันเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องการพลาดโอกาสสอบธุรการของข้าพเจ้า เป็นที่น่าเสียดายว่าข้าพเจ้าจำบทสนทนาเหล่านั้นมิได้เสียแล้ว ฉันนั้นข้าพเจ้าจึงมิอาจสามารถจาระไนให้ท่านผู้อ่านทราบได้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
แล้วข้าพเจ้าก็วาร์ปไปยังสถานที่แห่ง๑ ในจังหวัดนครปฐม พื้นที่ถนนยังคงเป็นถนนลูกรังเช่นเดิม มีต้นกัญชาประหลาดอยู่ประปราย มีสุสานร้างที่เหลือไว้แต่เพียง “ซาก” ไม้กางเขน มีร้านอาหารร้างสไตล์คาวบอยตั้งอยู่เคียงข้างสุสานนั้น
ข้าพเจ้าเดินมาเรื่อยๆก็พบกับถนนแห่งหนึ่ง ที่รอบๆสองข้างถนนคือภูเขาลูกเล็กๆ บริเวณนี้คือถนน “มาลัยแมน” ในโลกแห่งความเป็นจริง
นอกจากภูเขาลูกเล็กๆแล้วก็มีร้านอาหารเรียงรายหลายร้าน ข้าพเจ้าเดินผ่านร้านอาหารเหล่านั้น เพื่อที่จะข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม แลหารถราเพื่อที่จักเข้ากรุงเทพ มีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่งซึ่งมีคนแต่งกายเหมือนในภาพยนตร์จีน “เปาบุ้นจิ้น” ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน คงเป็นจอมยุทธ์มาตีกันในร้านอาหารซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่เคยชมภาพยนตร์จีนกำลังภายใน
ทันใดนั้น พนักงานเสิร์ฟหญิงในชุดกี่เพ้าสีทองลายแดง รีบพาข้าพเจ้าไปยัง “ช่องทางลับ” ที่มีม่านมู่ลี่สีเหลืองเป็นฉากกั้นบังไว้ ข้าพเจ้าเดินไปตามทางลับนั้น ทางอันพิศวงงงงวย คล้ายกับกำลังนั่งไทม์แมชชีนของ “โดเรม่อน” อย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดข้าพเจ้าก็ทะลุมายังฝั่ง๑ของถนน
มันคือมหาวิทยาลัยศิลปากรฝั่งถนนมาลัยแมน ข้าพเจ้าพยายามจักเดินเท้าไปยังมหาวิทยาลัยศิลปากร ฝั่งถนน “ราชมรรคาใน” เพื่อจับรถเข้ากรุงเทพ มันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าพเจ้าเจอกับแท็กซี่คัน๑ มันเป็นรถป้ายดำ คันสีขาว คนขับใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว กางเกงสแล็กสีดำ เขามีใบหน้าสามเหลี่ยม หูกาง ผิวคล้ำ ตัดผมรองทรงต่ำ แลเขาถามข้าพเจ้าว่า
“ไปไหนครับ”
“จะหารถเข้ากรุงเทพ” ข้าพเจ้าตอบ
เขาจึงอาสาไปส่งพร้อมให้ข้าพเจ้าจ่ายราคาพิเศษ ๒๐ บาท ข้าพเจ้ามิรอช้ายื่นธนบัตรใบละ ๒๐ บาทหนึ่งใบให้แก่เขา แล้วขึ้นรถทันที
ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัดว่าข้าพเจ้าถึงกรุงเทพเพลาใด แต่ข้าพจำได้แม่นเทียวว่าข้าพเจ้านั่งอยู่ ณ บ้านป้าดี บนโซฟาสีชมพู ข้างๆมีน้อยนอนอยู่บนโซฟา ภาพบ้านของป้าดีดูคล้ายกับความเป็นจริงเมื่อตอนข้าพเจ้าเรียนหนังสือชั้นมัธยม
วันที่ข้าพเจ้าพลาดสอบธุรการคือวันที่ ๑๒ เดือนใดเดือน๑ ทว่าความอัศจรรย์พลันปรากฏขึ้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบข่าวดีว่าจักมีการจัดสอบธุรการอีกครั้งในอีก ๔ วันข้างหน้า คือวันที่ ๑๖ เดือนใดเดือน๑ ข้าพเจ้าจึงบอกข่าวดีนั้นแก่น้อย และน้องชายของข้าพเจ้าก็ตอบกลับมาว่า
“เออ”
คำเดียว แล้วข้าพเจ้าก็พลันตื่นขึ้นจากฝัน ในเช้าวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ราว ๙.๕๙ นาฬิกา
จ๊ะ เสือไบ
๑๐ ม.ค. ๒๕๖๗
เรื่องสั้นชุด "ฝัน STory" ตอน สอบธุรการ (โดย จ๊ะ เสือไบ)
ความจริง ข้าพเจ้าเดินทางอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่าร่างกายของข้าพเจ้ามาอยู่ในบ้านหลังเก่าของป้าดี คุณป้าของข้าพเจ้า บ้านซึ่งตั้งอยู่บนถนนหลังวัดสวนป่าน บ้านที่ป้าดีขายไปนานโขเหลือเกิน แต่ข้าพเจ้ายังมีความทรงจำอันดีที่นั่น
บ้านถูกรีโนเวตใหม่เป็นสไตล์บ้านเดี่ยว หากแต่ความจริงบ้านหลังนี้เป็นทาวเฮาส์สองชั้น แต่ความฝันดันเนรมิตให้มันกลายเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่โล่งแจ้ง มีต้นไม้ แม้แต่เพื่อนบ้านก็ดูจักผิดแผกแตกต่างไม่น้อย เพราะบางคนนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักมักจี่เลย
บ้านเดี่ยวของป้าดีถูกรีโนเวตเป็นบ้าน ๓ ชั้น มีห้องน้ำ ๓ ห้อง มีห้องนอน ๔ ห้องนอน แต่จะเป็นห้องใครบ้างข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัด แต่มีห้อง๑ที่น้อย น้องชายของข้าพเจ้านอนอยู่
คืนก่อนสอบดูเหมือนว่าน้อยจักนอนห้องของตน ข้าพเจ้านอนชั้นล่างกับลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าชื่อกร แลเด็กนิรนามคนหนึ่ง ข้าพเจ้าอนุมานว่าคงเป็นเพื่อนของอ้ายกรมัน เด็กชายคนนั้นได้มานอนที่บ้านของป้าดีด้วย
ข้าพเจ้าจักบอกความลับอะไรให้ท่านผู้อ่านทราบ ในความเป็นจริงแล้วกรป่วยด้วยโรคๆหนึ่ง คืออาการ “หนังหุ้มปลายร่นรัด” หากจักแก้โรคนี้ให้ชะงัดต้องทำการ “ขลิบ” เอาหนังหุ้มปลายนั้นออก เหมือนฝันร้ายของบุรุษเพศหลายคนซึ่งกลัวขี้หดตดหาย แต่ข้าพเจ้าผู้เคยป่วยด้วยโรคนี้มาก่อน เมื่อผ่านการ “ขลิบ” มาแล้ว จึงเกิดการรู้แจ้งว่า สวรรค์วิมานนั้น “อยู่ไม่ไกล”
ในโลกแห่งความฝัน ข้าพเจ้าพบว่ากรได้หายขาดจากโรคดังกล่าวแล้ว เพราะเจ้าตัวดัน “โชว์เจ้าโลก” อันมหึมาให้ข้าพเจ้าดู แต่ก็เป็นที่น่าแขยงเอาการเมื่อดวงตาของข้าพเจ้าดันเห็น “ขี้เปียก” จำนวนหนึ่ง เกาะกันเป็นกลุ่มอยู่บนหัวสีชมพูขององชาตเด็กหนุ่ม
เมื่อตะวันผงาดฟ้า ข้าพเจ้าก็พบว่าการที่จักสอบธุรการนี้ มีกฎครั้งสำคัญที่ข้าพเจ้ามิอาจคาดฝัน คือผู้ที่จักเข้าสอบนั้น จักต้องแต่งเครื่องแบบชุดนักเรียน “เท่านั้น” เผอิญว่าข้าพเจ้าไม่มีชุดดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงบอกน้อยให้ช่วยหาชุดนักเรียนของมันให้หน่อย น้อยก็หาได้ชั่วแค่กางเกงขาสั้นสีดำเท่านั้น ส่วนเสื้อนักเรียนสีขาวก็เก่าบุโรทั่งเกินที่จักใส่ได้แล้ว ทันใดนั้น เด็กนิรนามเพิ่อนอ้ายกร จึงบอกให้ข้าพเจ้าไปหาซื้อชุดนักเรียน
“อ้ายเอ๋อ...อ้ายเอ๋อ”
ไม่รู้ว่าลุงที่โดนเด็กเรียกว่า “อ้ายเอ๋อ” นั้น ไปทำอะไรให้ด็กพวกนี้ไม่พอใจ จึงยกโขยงกันไปด่าลุงแกถึงที่ ดูเผินๆ เด็กพวกนี้แลดูไร้มรรยาท แต่เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของลุงคนนั้นว่าแกไปสร้างวีรกรรมอันใดไว้
ข้าพเจ้าเดินเล่นรอบๆบ้านของป้าดี เห็นเหล่าเพื่อนบ้านทำกิจวัตรต่างๆนานา ข้าพเจ้าลองเดินไปหลังบ้านป้าดี ปรากฏว่ามันมีป่ากัญชาที่แปลกตาไปจากความเป็นจริง กัญชาเหล่านั้นยืนต้นสูงประหนึ่งต้นยูคาลิปตัส ข้าพเจ้าเดินบนถนนลาดยางมุ่งไปทางนั้น พลันเจอทางสามแพร่ง ทางอันเป็นถนนลาดยาง เป็นแดนสนธยาที่ข้าพเจ้าไม่เคยไปมาหาสู่ อีกแพร่งหนึ่งเป็นทางลูกรัง ข้าพเจ้าเดินไปตามทางลูกรังนั้น
บรรยากาศของถนนลูกรังสายนี้ มีต้นกัญชาประหลาดดังกล่าวข้างต้นเรียงรายอยู่ตลอดทาง ดอกกัญชาร่วงหล่นบนพื้นถนนไปทั่ว เดินไปสักระยะ๑ ต้นกัญชาประหลาดมลายไป เล็งแลเห็นแต่บ่อสปาโคลนดินลูกรัง ที่เด็กประถมโรงเรียนแห่งหนึ่งข้างๆวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ต่างเปลือยกายแช่บ่อกันอย่างสนุกสนานโดยไม่เคอะเขินแต่ประการใด เดี๋ยวก่อน เด็กพวกนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะคือเด็กกลุ่มเดียวกันที่มาก่อม็อบประท้วง “ลุงเอ๋อ” นั่นเอง
เด็กๆดูจะเล่นบ่อโคลนกันสนุกสนานโดยไม่ยี่หระสายตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินผ่านเด็กกลุ่มนี้ไปสักพัก ก็พบกับชายปริศนาหน้าตาคล้ายกับตัวการ์ตูนใส่ชุดขาว เขามีรูปร่างใหญ่ กำยำ แลมีความอาวุโสกว่าข้าพเจ้า ถ้าจักกล่าวให้ถูกก็คือ “อาวุโส”กว่าบิดามารดาข้าพเจ้าเสียอีก
เราสนทนาพาทีกันเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องการพลาดโอกาสสอบธุรการของข้าพเจ้า เป็นที่น่าเสียดายว่าข้าพเจ้าจำบทสนทนาเหล่านั้นมิได้เสียแล้ว ฉันนั้นข้าพเจ้าจึงมิอาจสามารถจาระไนให้ท่านผู้อ่านทราบได้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
แล้วข้าพเจ้าก็วาร์ปไปยังสถานที่แห่ง๑ ในจังหวัดนครปฐม พื้นที่ถนนยังคงเป็นถนนลูกรังเช่นเดิม มีต้นกัญชาประหลาดอยู่ประปราย มีสุสานร้างที่เหลือไว้แต่เพียง “ซาก” ไม้กางเขน มีร้านอาหารร้างสไตล์คาวบอยตั้งอยู่เคียงข้างสุสานนั้น
ข้าพเจ้าเดินมาเรื่อยๆก็พบกับถนนแห่งหนึ่ง ที่รอบๆสองข้างถนนคือภูเขาลูกเล็กๆ บริเวณนี้คือถนน “มาลัยแมน” ในโลกแห่งความเป็นจริง
นอกจากภูเขาลูกเล็กๆแล้วก็มีร้านอาหารเรียงรายหลายร้าน ข้าพเจ้าเดินผ่านร้านอาหารเหล่านั้น เพื่อที่จะข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม แลหารถราเพื่อที่จักเข้ากรุงเทพ มีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่งซึ่งมีคนแต่งกายเหมือนในภาพยนตร์จีน “เปาบุ้นจิ้น” ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน คงเป็นจอมยุทธ์มาตีกันในร้านอาหารซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่เคยชมภาพยนตร์จีนกำลังภายใน
ทันใดนั้น พนักงานเสิร์ฟหญิงในชุดกี่เพ้าสีทองลายแดง รีบพาข้าพเจ้าไปยัง “ช่องทางลับ” ที่มีม่านมู่ลี่สีเหลืองเป็นฉากกั้นบังไว้ ข้าพเจ้าเดินไปตามทางลับนั้น ทางอันพิศวงงงงวย คล้ายกับกำลังนั่งไทม์แมชชีนของ “โดเรม่อน” อย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดข้าพเจ้าก็ทะลุมายังฝั่ง๑ของถนน
มันคือมหาวิทยาลัยศิลปากรฝั่งถนนมาลัยแมน ข้าพเจ้าพยายามจักเดินเท้าไปยังมหาวิทยาลัยศิลปากร ฝั่งถนน “ราชมรรคาใน” เพื่อจับรถเข้ากรุงเทพ มันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าพเจ้าเจอกับแท็กซี่คัน๑ มันเป็นรถป้ายดำ คันสีขาว คนขับใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว กางเกงสแล็กสีดำ เขามีใบหน้าสามเหลี่ยม หูกาง ผิวคล้ำ ตัดผมรองทรงต่ำ แลเขาถามข้าพเจ้าว่า
“ไปไหนครับ”
“จะหารถเข้ากรุงเทพ” ข้าพเจ้าตอบ
เขาจึงอาสาไปส่งพร้อมให้ข้าพเจ้าจ่ายราคาพิเศษ ๒๐ บาท ข้าพเจ้ามิรอช้ายื่นธนบัตรใบละ ๒๐ บาทหนึ่งใบให้แก่เขา แล้วขึ้นรถทันที
ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัดว่าข้าพเจ้าถึงกรุงเทพเพลาใด แต่ข้าพจำได้แม่นเทียวว่าข้าพเจ้านั่งอยู่ ณ บ้านป้าดี บนโซฟาสีชมพู ข้างๆมีน้อยนอนอยู่บนโซฟา ภาพบ้านของป้าดีดูคล้ายกับความเป็นจริงเมื่อตอนข้าพเจ้าเรียนหนังสือชั้นมัธยม
วันที่ข้าพเจ้าพลาดสอบธุรการคือวันที่ ๑๒ เดือนใดเดือน๑ ทว่าความอัศจรรย์พลันปรากฏขึ้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบข่าวดีว่าจักมีการจัดสอบธุรการอีกครั้งในอีก ๔ วันข้างหน้า คือวันที่ ๑๖ เดือนใดเดือน๑ ข้าพเจ้าจึงบอกข่าวดีนั้นแก่น้อย และน้องชายของข้าพเจ้าก็ตอบกลับมาว่า
“เออ”
คำเดียว แล้วข้าพเจ้าก็พลันตื่นขึ้นจากฝัน ในเช้าวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ราว ๙.๕๙ นาฬิกา