ข้าพเจ้ามักฝันว่ากลับไปเรียนที่โรงเรียนสมัยมัธยมต้นบ่อยๆ กลางเดือนมีนาคม ๒๕๖๗ วันที่เท่าไรมิทราบ ข้าพเจ้าฝันว่าข้าพเจ้ากลับไปศึกษาเล่าเรียนที่นี่อีกครั้ง ในคราบของเด็กมัธยมปลาย
ในโลกแห่งความเป็นจริง ข้าพเจ้ามิเคยศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งนี้ แต่ความฝันบันดาลให้ข้าพเจ้าต้องเรียนมัธยมปลายที่นี่จนได้
ข้าพเจ้าเคยกล่าวเล็กน้อยแล้วในเรื่อง “บนซี้ซั้ว” ว่าข้าพเจ้าไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนสถานศึกษาแห่งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเมื่อจบ ม.๓ แล้วต้องไปศึกษาเล่าเรียน ณ โรงเรียนอื่น หากแต่ความฝันบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นคนมีความสามารถ ข้าพเจ้าจึงศึกษาเล่าเรียนที่นี่ได้
มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบไปประจำ นั้นคือ “หอสมุด” ของโรงเรียน มันเป็นห้องสมุด ๒ ชั้นตั้งตระหง่านบนสระน้ำขนาดใหญ่ สระอันเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ จนใครๆหลายคนต่างตั้งสมญานามของสระนี้ว่า “สระชาเขียว”
ห้องสมุดแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องรองเท้า “หาย” เพราะนักเรียนที่มาใช้บริการที่นี่ต้องถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวางรองเท้าหน้าประตูทางเข้า ข้าพเจ้ายอมรับด้วยความสัตย์จริงว่า รองเท้าของข้าพเจ้าก็เคยหายเช่นเดียวกัน
ห้องสมุดในความฝันจักดูพิลึกพิลั่นกว่าห้องสมุดในความจริง มันมีพื้นที่กว้างขวางเกินกว่าจักเป็นห้องสมุด ๒ ชั้น มันมีรูปลักษณ์คล้ายเขาวงกต มีทางคดเคี้ยวไปมาชนิดที่ว่าผู้ใดที่ย่างกรายเป็นครั้งแรก อาจหลงทางจนหาทางออกมิได้ อย่างไรก็ตามที่นี่มีโซนอ่านหนังสือหลายๆโซน มีห้องประชุมเล็กให้เด็กนักเรียนทำกิจกรรมกัน ทั้งยังมีห้องชมภาพยนตร์อีกด้วย
แม้ว่าห้องสมุดจักเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสวงหาความรู้ ถ้าว่ากระบี่มีสองคมฉันใด ห้องสุมดก็มีข้อดีแลข้อเสียฉันนั้น เพราะสถานที่แห่งนี้นอกจากจักมีหนังสือเพื่อประดับปัญญาความรู้แล้วไซร้ ก็ยังเป็นแหล่งมั่วสุมสำหรับนักเรียนของสถานศึกษาดังกล่าวอีกด้วย
...
ข้าพเจ้าผู้หลงเข้าไปในโลกแห่งความฝันเดินสำรวจห้องสมุดสองชั้นด้วยความกระหายใคร่รู้ใคร่เห็น โซนแรกที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไปเป็นห้องมืดๆซึ่งมีแสงสว่างเข้ามาเพียงเสี้ยว ห้องแห่งนี้มีชั้นหนังสือสามสี่ชั้นอันใหญ่พอสมควร แต่ละชั้นสูงประมาณ ๓ เมตร กอปรด้วยหนังสือเก่าบุโรทั่งที่อุดมไปด้วยฝุ่นเกาะจนเขลอะ หนังสือเหล่านี้ซีดเหลือง บางเล่มชำรุดผุพัง พิศดูแล้วเหมือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์-โบราณคดี มากกว่าหนังอ่านนอกเวลาจริงเจียว
ข้าพเจ้ามิได้โดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา หากแต่มีนักเรียนม.ปลายรุ่นไล่เลี่ยข้าพเจ้า สามสี่คน กำลังควานหาหนังสือบางอย่าง ชะรอยว่าคงเอาไปทำการบ้านวิชาประวัติศาสตร์กระมัง หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เดินผ่านคนกลุ่มนั้นไป ยังโซนหนังสือเก่าอีกห้องหนึ่งที่อึมครึมน้อยกว่า
...
โซนหนังสือที่๒ ที่ข้าพเจ้าเข้าไป มีแสงสว่างมากกว่าในโซนแรก เพราะเป็นพื้นที่ๆแสงอาทิตย์สาดส่องอย่างทั่วถึง เกลือกว่าข้าพเจ้าเดินไปในช่วงเช้า โซนนี้จักอยู่ในทิศตะวันออก ถ้าว่าข้าพเจ้าเข้าไปในช่วงบ่าย โซนนี้จักอยู่ในทิศตะวันตก
แสงสว่างส่องจ้ายังผลให้ห้องนี้ปราศจากความเย็น มีชั่วความร้อน๓๕ องศาเซลเซียสประเดประดังมายังข้าพเจ้า หากจักมองหาเครื่องปรับอากาศ ต้องขอเรียนว่าหาไม่สักเครื่อง พัดลมเพียงเครื่องเดียวก็มิเห็น มันดูเป็นห้องเก็บของเสียมากกว่าห้องสมุดเสียอีก
มีหนังสือกองพะเนินเทินทึกอยู่ในห้องมากมายอย่างไร้ระบบระเบียบ ไม่ได้มีการจัดหนังสือตามแบบดิวอี้ อย่างไรก็ตามบนหนังสือชั้นเล็กๆที่สูงเทียมเข่านั้น ตรงชั้นบนสุดมีลูกโลกวางอยู่ อนุมานได้ว่าคงเป็นโซนหนังสือภูมิศาสตร์ ข้าพเจ้าเข้าไปดูหนังสือเหล่านั้น มันเป็นหนังสือเก่าเสียส่วนใหญ่ หลายเล่มปกต้นฉบับชำรุดเสียสิ้นแล้ว จึงมีการเย็บเล่มทำปกใหม่ด้วยปกสีแดงเลือดหมู สีม่วงมังคุด หรือสีเขียวหัวเป็ด แลเขียนชื่อหนังสือ ณ หน้าปกกับสันปกด้วยปากกาน้ำมันสีขาว ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปหยิบหนังสือปกสีเขียวหัวเป็ดเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เป็นหนังสือชื่อแซ่อะไรข้าพเจ้ามิทราบเนื่องด้วยฝันอันเลือนรางไม่ชัดเจน
ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่าหนังสือเหล่านี้เรียงไม่เป็นระบบดิวอี้ ยังความสงสัยแก่ข้าพเจ้าว่า “บรรณารักษ์” “นักเรียนชุมนุมห้องสมุด” แล “แม่บ้านภารโรง” อันตรธานไปแห่งใด เพราะในสถานการณ์ปกติวิสัยนั้น ห้องสมุดแห่งนี้จักมีบรรณารักษ์ ๓ คน แม่บ้านภารโรง ๑ คน แลนักเรียนชุมนุมห้องสมุดอีกจำนวนเต็มบวกจำนวนหนึ่ง ทั้งสามตำแหน่งคอยรับผิดชอบการจัดหนังสือแห่งนี้ ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองนั้นก็เคยเป็นนักเรียนชุมนุมห้องสมุดมาก่อนตอนเรียนชั้น ม.๓ แต่ม.ปลายในความฝันนั้นข้าพเจ้าเรียนชุมนุมอะไรข้าพเจ้าไม่อาจจักหยั่งรู้ได้
ความจริง บุคคลที่รับผิดชอบการจัดหนังสือเหล่านี่ ข้าพเจ้าก็พอรู้จักมักจี่อยู่บ้าง ที่นี่เราจักเรียกบรรณารักษ์ว่าครูหรืออาจารย์ โดยบรรณารักษ์สามคนประกอบด้วย อ.สาคร, อ.สุเบญจางค์ แลอ.พวงผกา แม่บ้านภารโรงคือป้าภักดิ์ ส่วนสมาชิกในชุมนุมห้องสมุด ข้าพเจ้าจำหน้าได้หลายคน แต่จำชื่อได้เพียง ๒ คนเท่านั้น คือพี่ปัง แลพี่วสันต์ นักเรียนรุ่นพี่ที่แก่กว่าข้าพเจ้า ๒ ปี
...
ข้าพเจ้าเดินออกจากโซนหนังสือภูมิศาสตร์ ไปยังโซนห้องโถงใหญ่ ซึ่งแบ่งยิบย่อยเป็นโซนอ่านหนังสือ โดยจักมีชั้นวางหนังสือสูงเทียมเอว เรียงรายอยู่หลายๆชั้นอย่างระบบระเบียบเรียบร้อยเป็นซอกซอย ภายในห้องที่ผนังแลเพดานทาด้วยสีขาวสว่างไสวด้วยหลอดไฟ ฟลูออเรสเซนต์สีขาวจ้าหลายดวง เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศชนิดตั้งแขวนเรียงรายนับสิบๆเครื่อง โซนย่อยต่อมาเป็นห้องประชุมเล็กสิบห้องอันเป็นห้องที่นักเรียนจักมาทำกิจกรรมกลุ่มกัน แลโซนสุดท้ายที่เป็นห้องรับชมภาพยนตร์ห้าห้อง ซึ่งจักมีวีซีดี-ดีวีดีให้นักเรียนรับชมคนเดียวหรือเป็นกลุ่มสามสี่คน
ด้วยความที่โซนนี้เป็นพื้นที่กว้างขวาง แลมีมุมอับตามากมาย จึงมักเป็นแหล่งมั่วสุมของนักเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ แลเมื่อข้าพเจ้าเดินสำรวจพื้นที่ ข้าพเจ้าได้พิศดูอย่างตรึกตรองจนเห็นความมั่วสุมมันมีน้ำหนักมากกว่าความสร้างสรรค์ ข้าพเจ้าได้เดินผ่านห้องประชุมห้อง๑ แลเห็นคู่เลสเบี้ยนนักเรียนหญิงกำลังพลอดรักกันอย่างดูดดื่ม ฝ่าย๑เป็นทอมบอยตัดผมสั้นในคราบชุดนักเรียนมัธยมปลายเสื้อสีขาวกระโปรงยาวสีดำ ถุงเท้าขาว กับสาวเจ้าอีกฝ่ายที่ไว้ผมยาวรวบผมด้วยยางวงสีดำ เสื้อผ้าเหมือนกัน ข้าพเจ้าเดินผ่านห้องดังกล่าวไปห้องประชุมถัดไป ก็เห็นกลุ่มนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อนักเรียนสีขาว กางเกงสีกากี ตัดผมสั้นเกรียน กางเกงนั้นคาดด้วยเข็มขัดลูกเสือสีน้ำตาลแต่หัวเข็มขัดสีทอง สวมถุงเท้าสีน้ำตาล โดยกลุ่มนักเรียนชายเหล่านี้ กำลังแข่งกันสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยใคร “เสร็จหลัง” จะเป็นฝ่ายชนะ
ข้าพเจ้าเดินผ่านห้องนี้ไปแล้วพบกับห้องประชุมอีกห้องหนึ่ง เจอกลุ่มเด็กผู้ชายที่แต่งกายคล้ายกับกลุ่มเด็กผู้ชายห้องก่อนหน้า เพียงแต่ดูโตกว่า ลางคนตัดผมรองทรง ลางคนตัดผมสั้นเกรียน อนุมานได้ว่าอ้ายเด็กที่ตัดผมสั้นเกรียนนี้คงเรียนวิชารักษาดินแดนเป็นแน่ มิผิดดอก กลุ่มเด็กเหล่านี้คือกลุ่มเด็กชายมัธยมปลาย แลเมื่อสังเกตที่เข็มขัดของพวกเขา เป็นเข็มขัดสีน้ำตาล หัวเข็มขัดมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมสีทอง มิใช่เป็นเข็มขัดลูกเสือแต่อย่างใด เนื่องมาจากเด็กม.ปลายไม่มีการเรียนวิชาลูกเสืออีกต่อไป แลสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยลูกตานั้นคือ การที่พวกเขาริอ่านสูบกัญชา
เมื่อข้าพเจ้าเดินไปอีกห้องก็พบกลุ่มเด็กม.ปลายริอ่านสูบบุหรี่อีกเช่นกัน ข้าพเจ้าจึงรีบเดินไวๆเพื่อให้ผ่านพ้นโซนห้องประชุมโดยไม่ทันสังเกตห้องที่เหลือ แลเท้าของข้าพเจ้ามาหยุดท่ามกลางโซนของห้องรับชมภาพยนตร์ สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านดวงเนตรสองข้างก็คือเด็กหนุ่มสาวมัธยมปลายกำลังชมภาพยนตร์ที่ฝ่ายชายนำแผ่นวีซีดีจากที่บ้านมาเปิด ณ สถานที่แห่งนี้ แลทั้งคู่กำลังกอดจูบลูบคลำเล้าโลมกันอย่างดูดดื่ม อะไรจักเกิดขึ้นต่อไปนั้น ข้าพเจ้าคงมิต้องสาธยายให้มากความ
ห้องชมภาพยนตร์ห้องถัดไปมีเหล่านักเรียนมัธยมต้นผู้หญิงในชุดกระโปรงบานสีดำ เสื่อคอซอง ติดโบว์สีน้ำเงินกลางอก กับนักเรียนมัธยมต้นที่เป็นเกย์-กะเทยรวมกันเป็นจำนวนเต็มบอกจำนวนหนึ่งซึ่งมีค่าน้อยกว่า ๑๐ พวกเขาเหล่านี้มีดนตรีในหัวใจ กระสันอยากเป็นนักร้อง ฉันนั้นพวกเขาจึงแหกปากร้องคาราโอเกะกันอย่างสนุกสนานชนิดที่ว่าได้ยินกันไปทั้งโซน ข้าพเจ้าเลยรีบเดินออกไปจากโซนแห่งนี้ด้วยอาการปวดหูสุดขีด
เมื่อเดินมาถึงโซนที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงเทียมเอวเรียงรายเป็นตรอกซอกซอยดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็พบว่ามักมีเด็กมานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือชนิดปุ่มกด เนื่องจากเหตุการณ์ในเรื่องนี้ เกิดขึ้นราวปี พ.ศ ๒๕๕๕ สมาร์ตโฟนยังไม่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
นอกจากมีเด็กมาเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือแล้ว บางซอยก็มีคนเอาขนมนมเนยมาดื่มกัน ที่เป็นที่นิยมก็นมพาสเจอไรส์ยี่ห้อหนึ่ง กับขนมประเภท กล้วยฉาบ มันทอด เมื่อทานเสร็จแล้วก็ทิ้งขยะไว้ตรงนั้นแล
บางซอยก็มีหนุ่มสาวมาพลอดรักกัน คงกระอักกระอ่วนยิ่งนักสำหรับใครที่ต้องการหาหนังสือบริเวณนี้
อันที่จริง คนที่มาห้องสมุดเพื่อมาทำงานกลุ่มส่งอาจารย์ก็มีอยู่บ้าง รับชมภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์ก็มีมิใช่น้อย เพียงแต่ว่าห้องสมุดแห่งนี้เด่นเรื่องการ “มั่วสุม” เสียเป็นส่วนใหญ่ เปรียบประหนึ่งข่าวสารบ้านเมืองที่มักจักเน้นเนื้อหา “ทางลบ” มากกว่าทางบวก
ก่อนที่ข้าพเจ้าจักตื่นจากภวังค์ ข้าพเจ้าได้เดินไปเห็นหนังสือโป๊เล่มหนึ่งวางอยู่ตรงชั้นวางหนังสือซอยแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าพินิจดูภาพเปลือยของนางแบบสาวที่ไม่ปกปิดของสงวนเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จักควักเอา “ของสงวน” ของข้าพเจ้าออกมา "สูดอากาศ” เสียบ้างในตอนนี้
ธรรมชาติของบุรุษเพศส่วนใหญ่นั้นเมื่อเจอ “สิ่งเร้า” ที่ “กระตุ้น” ทางเพศ จึงต้องหาทาง “ปลดปล่อย”มัน ถ้าไม่มีใครมาช่วยสงเคราะห์ปลดปล่อยให้ เห็นทีจำต้อง “สำเร็จความใคร่” ด้วยตนเอง แลแน่เทียวว่าคนแบบข้าพเจ้าเลือกทำประการหลัง ทว่าข้าพเจ้ายังทำไม่ทันเสร็จ กลับมีสตรีวัยทองผู้หนึ่ง ผมหยักศกสีดำ ผิวคล้ำคมเข้มฉบับสตรีชาวใต้ สวมใส่ชุดข้าราชการสีกากี ร่างสูงโปร่งราว ๑๖๐ เซนติเมตร น้ำหนักไม่ถึง ๕๐ กิโลกรัม แกเดินปรี่มาหาข้าพเจ้า
อาจารย์พวงผกา ๑ ในบรรดารักษ์ของที่นี่เดินเข้ามาที่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเห็นแกก็ตกใจสุดขีด จึงลุกลี้ลุกลนรีบเก็บของสงวนของตัวเอง ทันใดนั้นอาจารย์พวงผกาก็ด่าทอข้าพเจ้าเสียงดังสนั่น มิหนำซ้ำยังเอาฝ่ามือตีเข้าไปที่แขนของข้าพเจ้าอย่างเต็มรัก ข้าพเจ้าร้อง
“โอ๊ยยยยยยยย”
แลตื่นจากภวังค์ พบกับเช้าวันใหม่ในโลกแห่งความเป็นจริง
จ๊ะ เสือไบ
๑๐ พ.ค. ๒๕๖๗
เรื่องสั้น ชุด "ฝัน STory" ตอน ห้องสมุดพิลึกกึกกือ (โดย จ๊ะ เสือไบ)
ในโลกแห่งความเป็นจริง ข้าพเจ้ามิเคยศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งนี้ แต่ความฝันบันดาลให้ข้าพเจ้าต้องเรียนมัธยมปลายที่นี่จนได้
ข้าพเจ้าเคยกล่าวเล็กน้อยแล้วในเรื่อง “บนซี้ซั้ว” ว่าข้าพเจ้าไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนสถานศึกษาแห่งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเมื่อจบ ม.๓ แล้วต้องไปศึกษาเล่าเรียน ณ โรงเรียนอื่น หากแต่ความฝันบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นคนมีความสามารถ ข้าพเจ้าจึงศึกษาเล่าเรียนที่นี่ได้
มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบไปประจำ นั้นคือ “หอสมุด” ของโรงเรียน มันเป็นห้องสมุด ๒ ชั้นตั้งตระหง่านบนสระน้ำขนาดใหญ่ สระอันเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ จนใครๆหลายคนต่างตั้งสมญานามของสระนี้ว่า “สระชาเขียว”
ห้องสมุดแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องรองเท้า “หาย” เพราะนักเรียนที่มาใช้บริการที่นี่ต้องถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวางรองเท้าหน้าประตูทางเข้า ข้าพเจ้ายอมรับด้วยความสัตย์จริงว่า รองเท้าของข้าพเจ้าก็เคยหายเช่นเดียวกัน
ห้องสมุดในความฝันจักดูพิลึกพิลั่นกว่าห้องสมุดในความจริง มันมีพื้นที่กว้างขวางเกินกว่าจักเป็นห้องสมุด ๒ ชั้น มันมีรูปลักษณ์คล้ายเขาวงกต มีทางคดเคี้ยวไปมาชนิดที่ว่าผู้ใดที่ย่างกรายเป็นครั้งแรก อาจหลงทางจนหาทางออกมิได้ อย่างไรก็ตามที่นี่มีโซนอ่านหนังสือหลายๆโซน มีห้องประชุมเล็กให้เด็กนักเรียนทำกิจกรรมกัน ทั้งยังมีห้องชมภาพยนตร์อีกด้วย
แม้ว่าห้องสมุดจักเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสวงหาความรู้ ถ้าว่ากระบี่มีสองคมฉันใด ห้องสุมดก็มีข้อดีแลข้อเสียฉันนั้น เพราะสถานที่แห่งนี้นอกจากจักมีหนังสือเพื่อประดับปัญญาความรู้แล้วไซร้ ก็ยังเป็นแหล่งมั่วสุมสำหรับนักเรียนของสถานศึกษาดังกล่าวอีกด้วย
ข้าพเจ้ามิได้โดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา หากแต่มีนักเรียนม.ปลายรุ่นไล่เลี่ยข้าพเจ้า สามสี่คน กำลังควานหาหนังสือบางอย่าง ชะรอยว่าคงเอาไปทำการบ้านวิชาประวัติศาสตร์กระมัง หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เดินผ่านคนกลุ่มนั้นไป ยังโซนหนังสือเก่าอีกห้องหนึ่งที่อึมครึมน้อยกว่า
แสงสว่างส่องจ้ายังผลให้ห้องนี้ปราศจากความเย็น มีชั่วความร้อน๓๕ องศาเซลเซียสประเดประดังมายังข้าพเจ้า หากจักมองหาเครื่องปรับอากาศ ต้องขอเรียนว่าหาไม่สักเครื่อง พัดลมเพียงเครื่องเดียวก็มิเห็น มันดูเป็นห้องเก็บของเสียมากกว่าห้องสมุดเสียอีก
มีหนังสือกองพะเนินเทินทึกอยู่ในห้องมากมายอย่างไร้ระบบระเบียบ ไม่ได้มีการจัดหนังสือตามแบบดิวอี้ อย่างไรก็ตามบนหนังสือชั้นเล็กๆที่สูงเทียมเข่านั้น ตรงชั้นบนสุดมีลูกโลกวางอยู่ อนุมานได้ว่าคงเป็นโซนหนังสือภูมิศาสตร์ ข้าพเจ้าเข้าไปดูหนังสือเหล่านั้น มันเป็นหนังสือเก่าเสียส่วนใหญ่ หลายเล่มปกต้นฉบับชำรุดเสียสิ้นแล้ว จึงมีการเย็บเล่มทำปกใหม่ด้วยปกสีแดงเลือดหมู สีม่วงมังคุด หรือสีเขียวหัวเป็ด แลเขียนชื่อหนังสือ ณ หน้าปกกับสันปกด้วยปากกาน้ำมันสีขาว ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปหยิบหนังสือปกสีเขียวหัวเป็ดเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เป็นหนังสือชื่อแซ่อะไรข้าพเจ้ามิทราบเนื่องด้วยฝันอันเลือนรางไม่ชัดเจน
ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่าหนังสือเหล่านี้เรียงไม่เป็นระบบดิวอี้ ยังความสงสัยแก่ข้าพเจ้าว่า “บรรณารักษ์” “นักเรียนชุมนุมห้องสมุด” แล “แม่บ้านภารโรง” อันตรธานไปแห่งใด เพราะในสถานการณ์ปกติวิสัยนั้น ห้องสมุดแห่งนี้จักมีบรรณารักษ์ ๓ คน แม่บ้านภารโรง ๑ คน แลนักเรียนชุมนุมห้องสมุดอีกจำนวนเต็มบวกจำนวนหนึ่ง ทั้งสามตำแหน่งคอยรับผิดชอบการจัดหนังสือแห่งนี้ ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองนั้นก็เคยเป็นนักเรียนชุมนุมห้องสมุดมาก่อนตอนเรียนชั้น ม.๓ แต่ม.ปลายในความฝันนั้นข้าพเจ้าเรียนชุมนุมอะไรข้าพเจ้าไม่อาจจักหยั่งรู้ได้
ความจริง บุคคลที่รับผิดชอบการจัดหนังสือเหล่านี่ ข้าพเจ้าก็พอรู้จักมักจี่อยู่บ้าง ที่นี่เราจักเรียกบรรณารักษ์ว่าครูหรืออาจารย์ โดยบรรณารักษ์สามคนประกอบด้วย อ.สาคร, อ.สุเบญจางค์ แลอ.พวงผกา แม่บ้านภารโรงคือป้าภักดิ์ ส่วนสมาชิกในชุมนุมห้องสมุด ข้าพเจ้าจำหน้าได้หลายคน แต่จำชื่อได้เพียง ๒ คนเท่านั้น คือพี่ปัง แลพี่วสันต์ นักเรียนรุ่นพี่ที่แก่กว่าข้าพเจ้า ๒ ปี
ด้วยความที่โซนนี้เป็นพื้นที่กว้างขวาง แลมีมุมอับตามากมาย จึงมักเป็นแหล่งมั่วสุมของนักเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ แลเมื่อข้าพเจ้าเดินสำรวจพื้นที่ ข้าพเจ้าได้พิศดูอย่างตรึกตรองจนเห็นความมั่วสุมมันมีน้ำหนักมากกว่าความสร้างสรรค์ ข้าพเจ้าได้เดินผ่านห้องประชุมห้อง๑ แลเห็นคู่เลสเบี้ยนนักเรียนหญิงกำลังพลอดรักกันอย่างดูดดื่ม ฝ่าย๑เป็นทอมบอยตัดผมสั้นในคราบชุดนักเรียนมัธยมปลายเสื้อสีขาวกระโปรงยาวสีดำ ถุงเท้าขาว กับสาวเจ้าอีกฝ่ายที่ไว้ผมยาวรวบผมด้วยยางวงสีดำ เสื้อผ้าเหมือนกัน ข้าพเจ้าเดินผ่านห้องดังกล่าวไปห้องประชุมถัดไป ก็เห็นกลุ่มนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อนักเรียนสีขาว กางเกงสีกากี ตัดผมสั้นเกรียน กางเกงนั้นคาดด้วยเข็มขัดลูกเสือสีน้ำตาลแต่หัวเข็มขัดสีทอง สวมถุงเท้าสีน้ำตาล โดยกลุ่มนักเรียนชายเหล่านี้ กำลังแข่งกันสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยใคร “เสร็จหลัง” จะเป็นฝ่ายชนะ
ข้าพเจ้าเดินผ่านห้องนี้ไปแล้วพบกับห้องประชุมอีกห้องหนึ่ง เจอกลุ่มเด็กผู้ชายที่แต่งกายคล้ายกับกลุ่มเด็กผู้ชายห้องก่อนหน้า เพียงแต่ดูโตกว่า ลางคนตัดผมรองทรง ลางคนตัดผมสั้นเกรียน อนุมานได้ว่าอ้ายเด็กที่ตัดผมสั้นเกรียนนี้คงเรียนวิชารักษาดินแดนเป็นแน่ มิผิดดอก กลุ่มเด็กเหล่านี้คือกลุ่มเด็กชายมัธยมปลาย แลเมื่อสังเกตที่เข็มขัดของพวกเขา เป็นเข็มขัดสีน้ำตาล หัวเข็มขัดมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมสีทอง มิใช่เป็นเข็มขัดลูกเสือแต่อย่างใด เนื่องมาจากเด็กม.ปลายไม่มีการเรียนวิชาลูกเสืออีกต่อไป แลสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยลูกตานั้นคือ การที่พวกเขาริอ่านสูบกัญชา
เมื่อข้าพเจ้าเดินไปอีกห้องก็พบกลุ่มเด็กม.ปลายริอ่านสูบบุหรี่อีกเช่นกัน ข้าพเจ้าจึงรีบเดินไวๆเพื่อให้ผ่านพ้นโซนห้องประชุมโดยไม่ทันสังเกตห้องที่เหลือ แลเท้าของข้าพเจ้ามาหยุดท่ามกลางโซนของห้องรับชมภาพยนตร์ สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านดวงเนตรสองข้างก็คือเด็กหนุ่มสาวมัธยมปลายกำลังชมภาพยนตร์ที่ฝ่ายชายนำแผ่นวีซีดีจากที่บ้านมาเปิด ณ สถานที่แห่งนี้ แลทั้งคู่กำลังกอดจูบลูบคลำเล้าโลมกันอย่างดูดดื่ม อะไรจักเกิดขึ้นต่อไปนั้น ข้าพเจ้าคงมิต้องสาธยายให้มากความ
ห้องชมภาพยนตร์ห้องถัดไปมีเหล่านักเรียนมัธยมต้นผู้หญิงในชุดกระโปรงบานสีดำ เสื่อคอซอง ติดโบว์สีน้ำเงินกลางอก กับนักเรียนมัธยมต้นที่เป็นเกย์-กะเทยรวมกันเป็นจำนวนเต็มบอกจำนวนหนึ่งซึ่งมีค่าน้อยกว่า ๑๐ พวกเขาเหล่านี้มีดนตรีในหัวใจ กระสันอยากเป็นนักร้อง ฉันนั้นพวกเขาจึงแหกปากร้องคาราโอเกะกันอย่างสนุกสนานชนิดที่ว่าได้ยินกันไปทั้งโซน ข้าพเจ้าเลยรีบเดินออกไปจากโซนแห่งนี้ด้วยอาการปวดหูสุดขีด
เมื่อเดินมาถึงโซนที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงเทียมเอวเรียงรายเป็นตรอกซอกซอยดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็พบว่ามักมีเด็กมานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือชนิดปุ่มกด เนื่องจากเหตุการณ์ในเรื่องนี้ เกิดขึ้นราวปี พ.ศ ๒๕๕๕ สมาร์ตโฟนยังไม่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
นอกจากมีเด็กมาเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือแล้ว บางซอยก็มีคนเอาขนมนมเนยมาดื่มกัน ที่เป็นที่นิยมก็นมพาสเจอไรส์ยี่ห้อหนึ่ง กับขนมประเภท กล้วยฉาบ มันทอด เมื่อทานเสร็จแล้วก็ทิ้งขยะไว้ตรงนั้นแล
บางซอยก็มีหนุ่มสาวมาพลอดรักกัน คงกระอักกระอ่วนยิ่งนักสำหรับใครที่ต้องการหาหนังสือบริเวณนี้
อันที่จริง คนที่มาห้องสมุดเพื่อมาทำงานกลุ่มส่งอาจารย์ก็มีอยู่บ้าง รับชมภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์ก็มีมิใช่น้อย เพียงแต่ว่าห้องสมุดแห่งนี้เด่นเรื่องการ “มั่วสุม” เสียเป็นส่วนใหญ่ เปรียบประหนึ่งข่าวสารบ้านเมืองที่มักจักเน้นเนื้อหา “ทางลบ” มากกว่าทางบวก
ก่อนที่ข้าพเจ้าจักตื่นจากภวังค์ ข้าพเจ้าได้เดินไปเห็นหนังสือโป๊เล่มหนึ่งวางอยู่ตรงชั้นวางหนังสือซอยแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าพินิจดูภาพเปลือยของนางแบบสาวที่ไม่ปกปิดของสงวนเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จักควักเอา “ของสงวน” ของข้าพเจ้าออกมา "สูดอากาศ” เสียบ้างในตอนนี้
ธรรมชาติของบุรุษเพศส่วนใหญ่นั้นเมื่อเจอ “สิ่งเร้า” ที่ “กระตุ้น” ทางเพศ จึงต้องหาทาง “ปลดปล่อย”มัน ถ้าไม่มีใครมาช่วยสงเคราะห์ปลดปล่อยให้ เห็นทีจำต้อง “สำเร็จความใคร่” ด้วยตนเอง แลแน่เทียวว่าคนแบบข้าพเจ้าเลือกทำประการหลัง ทว่าข้าพเจ้ายังทำไม่ทันเสร็จ กลับมีสตรีวัยทองผู้หนึ่ง ผมหยักศกสีดำ ผิวคล้ำคมเข้มฉบับสตรีชาวใต้ สวมใส่ชุดข้าราชการสีกากี ร่างสูงโปร่งราว ๑๖๐ เซนติเมตร น้ำหนักไม่ถึง ๕๐ กิโลกรัม แกเดินปรี่มาหาข้าพเจ้า
อาจารย์พวงผกา ๑ ในบรรดารักษ์ของที่นี่เดินเข้ามาที่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเห็นแกก็ตกใจสุดขีด จึงลุกลี้ลุกลนรีบเก็บของสงวนของตัวเอง ทันใดนั้นอาจารย์พวงผกาก็ด่าทอข้าพเจ้าเสียงดังสนั่น มิหนำซ้ำยังเอาฝ่ามือตีเข้าไปที่แขนของข้าพเจ้าอย่างเต็มรัก ข้าพเจ้าร้อง
“โอ๊ยยยยยยยย”
แลตื่นจากภวังค์ พบกับเช้าวันใหม่ในโลกแห่งความเป็นจริง