- 85% ชอบตรงที่วิธีการเล่ามีจังหวะพลิกแพลงที่หวือหวา ดูง่ายแต่เล่นท่ายากจากการปรุงวัตถุดิบค้างคืนให้ดูสดและอร่อยต่อการบริโภคด้วยฝีมือ 2 เชฟ Cameron Cairnes & Colin Cairnes ที่มีเอกลักษณ์ด้วยประเด็นตกค้างที่ร่วมสมัยและตื่นใจทุกครั้งที่หยิบมาซึ่งถูกจริตกับผมดี ส่วน 10% ขัดใจเวลาจะเกิด Scene สยองที่รอคอยแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นตอนอีน้อน Lily แสดงอิทธิฤทธิ์แสนยานุศิษย์ หรือ ตอนสะกดจิต มันดู Fantasy จนมันไปบั่นทอนความน่ากลัวลง และ อีก 5% สะดุดกับตอนจบที่อยากให้สาแก่ใจกว่านี้อีกสักนิด ทั้ง ๆ ที่มันกำลังไต่ระดับความพีคใน way เดียวกับ Suspiria (2018) และ Midsommar (2019) อยู่ทนโท่ โอเคว่ามีการเฉลยปมที่ปูมาตั้งแต่ต้นให้ทราบ พอหลังจากนั้นจู่ ๆ ก็เอาเท้าเตะปลั๊กจนไฟดับดื้อ ๆ อารมณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจู่ ๆ ชะงักกลางอากาศซะงั้น แต่ Scene ที่ผู้เข้าร่วมที่มีจิตสัมผัสอ้วกพุ่งเป็นเลือดสีดำอันนี้ตกใจจริง ผมคิดว่าผู้กำกับคงอยากจะเบรกมือไว้แค่นี้แล้วค่อยเก็บไว้เล่นในภาคต่อไปดีหว่า หลังจากตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 26 นาที กูว่ากูปล่อยสิ่งที่อยากอวดให้พวกดูมามากพอแล้ว
- การถ่ายทำแบบ Analog นอกจากมีเสน่ห์ความเป็น Culture ที่เป็นลายเซ็นในยุคนั้นแล้วความหลอนยังทำให้นึกถึงบรรยากาศคล้ายกับ In Fabric (2018) หรือ ตระกูล V/H/S (2011-2023) ตอนนึงไม่รู้ภาคไหน ในเรื่องของการแต่งกายของบรรดาตัวละครอีกเช่นกัน ระหว่างนั้นก็ตัดฉากจากภาพสีเป็นภาพขาว-ดำไปมาเพื่อสร้างความบิดเบี้ยวพิศวงพร้อมกับจิกกัดวงการสื่อผ่านสัญญะอย่างแสบอุรา ถึงวิธีการเล่นงานไม่น่ากลัวจะ ๆ แต่การตัดภาพระหว่างสีกับภาพขาว-ดำสลับไปมาผ่านบทสนทนา หรือ Footage จากเหตุการณ์สำคัญ ๆ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่ ซึ่งหนังสามารถแบ่งช่วงเวลาระหว่างรายการกำลัง Run กับช่วงพักเบรกโฆษณาให้เราเห็นภาพชัดอีกด้วยว่าหลังจากพักโฆษณาจะเห็นทีมงานเบื้องหลังแต่ละคนกรุเข้ามารุมแต่งหน้าบ้างเดินไปประสานงานกับฝ่ายโน้นฝ่ายนี้บ้าง ไหนจะบรีฟให้พิธีกรและแขกรับเชิญว่าพวกต้องพูดตาม Script นี่นะ เดี๋ยวจะหลุด Concept รายการกู ด้วยความเซียนบวกมั่นหน้าของ Jack ก็ยังประคองไปตามนาพร้อมกับสโลแกน The Show Must Go ON แม้จะมีกลิ่นตุ ๆ ที่แทรกมากับปัญหาสารเพแล้วก็ตาม
- ช่วงท้ายเดาถูกครึ่งแต่อีกครึ่งเดาผิดจากสิ่งที่คิด แต่โดยรวมก็เหวอไปกับมัน พอมีการเฉลยปมก็เลย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ และสารที่เสพได้จาก Details รายทางก็ทำให้เราวิพากษ์ถึงความเชื่อที่อยู่นำเหตุผลของคนในสังคมว่าแม้จะมีสื่อหรือ Gadget ผุดขึ้นมาสู่ชาวโลกแต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความสะดวกและมีทางเลือกมากมายเหมือนทุกวันนี้แถมสื่อก็มีให้เสพไม่กี่ช่องทางคนมันเลยถูกชักจูงได้ง่าย ขณะดูไปก็รู้แก่ใจว่าทำไมเรื่องพวกนี้ยังอยู่และสามารถหากินกับคนได้เรื่อย ๆ ซึ่งพวกนี้มันนกรู้ว่าลึก ๆ ใจคนยังโหยหาอะไรบางอย่างไว้ปลอบประโลมหลังจากเจอกับปัญหารายล้อมในยุคนั้นไม่ว่าทั้ง พิษสงครามที่บรรดารัฐบาลถลุงงบมหาศาลจนเศรษฐกิจพังย่อยยับส่งผลกระทบกับคนในประเทศตามมา เมื่อไร้หนทางจึงหันไปพึ่งยาเสพติดหรือไม่ก็เสพความเชื่อจากสิ่งลี้ลับเพื่อเยียวยาความเจ็บปวด แล้วกลายเป็นสาเหตุให้เกิดคดีอาชญากรรมหรือเกิดลัทธิกันเกลื่อนกลาดแล้วเป็นช่องทางในการหากินและหาแสงจนเกิดลัทธิบูชาตัวบุคคล แม้ยุคสมัยเปลี่ยน เทคโนโลยีก้าวล้ำ ข้อมูลข่าวสารกว้างขวางแค่ไหนแต่เรื่องเหล่านี้ยังคงอยู่แถมความน่ากลัวอีก Level คือมันสามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและครอบงำความคิดคนได้แยบยลโดยไม่อาจแยกได้ว่าอันไหนเรื่องจริงอันไหนเรื่องแต่งแต่ถ้าใช้ปัญญาในการหาวิจารณญาณก็จะพบข้อสงสัยได้ไม่ยาก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.105 Late Night with the Devil (2023) : ชั่วโมงพิศเหวอ On TV
- 85% ชอบตรงที่วิธีการเล่ามีจังหวะพลิกแพลงที่หวือหวา ดูง่ายแต่เล่นท่ายากจากการปรุงวัตถุดิบค้างคืนให้ดูสดและอร่อยต่อการบริโภคด้วยฝีมือ 2 เชฟ Cameron Cairnes & Colin Cairnes ที่มีเอกลักษณ์ด้วยประเด็นตกค้างที่ร่วมสมัยและตื่นใจทุกครั้งที่หยิบมาซึ่งถูกจริตกับผมดี ส่วน 10% ขัดใจเวลาจะเกิด Scene สยองที่รอคอยแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นตอนอีน้อน Lily แสดงอิทธิฤทธิ์แสนยานุศิษย์ หรือ ตอนสะกดจิต มันดู Fantasy จนมันไปบั่นทอนความน่ากลัวลง และ อีก 5% สะดุดกับตอนจบที่อยากให้สาแก่ใจกว่านี้อีกสักนิด ทั้ง ๆ ที่มันกำลังไต่ระดับความพีคใน way เดียวกับ Suspiria (2018) และ Midsommar (2019) อยู่ทนโท่ โอเคว่ามีการเฉลยปมที่ปูมาตั้งแต่ต้นให้ทราบ พอหลังจากนั้นจู่ ๆ ก็เอาเท้าเตะปลั๊กจนไฟดับดื้อ ๆ อารมณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจู่ ๆ ชะงักกลางอากาศซะงั้น แต่ Scene ที่ผู้เข้าร่วมที่มีจิตสัมผัสอ้วกพุ่งเป็นเลือดสีดำอันนี้ตกใจจริง ผมคิดว่าผู้กำกับคงอยากจะเบรกมือไว้แค่นี้แล้วค่อยเก็บไว้เล่นในภาคต่อไปดีหว่า หลังจากตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 26 นาที กูว่ากูปล่อยสิ่งที่อยากอวดให้พวกดูมามากพอแล้ว
- การถ่ายทำแบบ Analog นอกจากมีเสน่ห์ความเป็น Culture ที่เป็นลายเซ็นในยุคนั้นแล้วความหลอนยังทำให้นึกถึงบรรยากาศคล้ายกับ In Fabric (2018) หรือ ตระกูล V/H/S (2011-2023) ตอนนึงไม่รู้ภาคไหน ในเรื่องของการแต่งกายของบรรดาตัวละครอีกเช่นกัน ระหว่างนั้นก็ตัดฉากจากภาพสีเป็นภาพขาว-ดำไปมาเพื่อสร้างความบิดเบี้ยวพิศวงพร้อมกับจิกกัดวงการสื่อผ่านสัญญะอย่างแสบอุรา ถึงวิธีการเล่นงานไม่น่ากลัวจะ ๆ แต่การตัดภาพระหว่างสีกับภาพขาว-ดำสลับไปมาผ่านบทสนทนา หรือ Footage จากเหตุการณ์สำคัญ ๆ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่ ซึ่งหนังสามารถแบ่งช่วงเวลาระหว่างรายการกำลัง Run กับช่วงพักเบรกโฆษณาให้เราเห็นภาพชัดอีกด้วยว่าหลังจากพักโฆษณาจะเห็นทีมงานเบื้องหลังแต่ละคนกรุเข้ามารุมแต่งหน้าบ้างเดินไปประสานงานกับฝ่ายโน้นฝ่ายนี้บ้าง ไหนจะบรีฟให้พิธีกรและแขกรับเชิญว่าพวกต้องพูดตาม Script นี่นะ เดี๋ยวจะหลุด Concept รายการกู ด้วยความเซียนบวกมั่นหน้าของ Jack ก็ยังประคองไปตามนาพร้อมกับสโลแกน The Show Must Go ON แม้จะมีกลิ่นตุ ๆ ที่แทรกมากับปัญหาสารเพแล้วก็ตาม
- ช่วงท้ายเดาถูกครึ่งแต่อีกครึ่งเดาผิดจากสิ่งที่คิด แต่โดยรวมก็เหวอไปกับมัน พอมีการเฉลยปมก็เลย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ และสารที่เสพได้จาก Details รายทางก็ทำให้เราวิพากษ์ถึงความเชื่อที่อยู่นำเหตุผลของคนในสังคมว่าแม้จะมีสื่อหรือ Gadget ผุดขึ้นมาสู่ชาวโลกแต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความสะดวกและมีทางเลือกมากมายเหมือนทุกวันนี้แถมสื่อก็มีให้เสพไม่กี่ช่องทางคนมันเลยถูกชักจูงได้ง่าย ขณะดูไปก็รู้แก่ใจว่าทำไมเรื่องพวกนี้ยังอยู่และสามารถหากินกับคนได้เรื่อย ๆ ซึ่งพวกนี้มันนกรู้ว่าลึก ๆ ใจคนยังโหยหาอะไรบางอย่างไว้ปลอบประโลมหลังจากเจอกับปัญหารายล้อมในยุคนั้นไม่ว่าทั้ง พิษสงครามที่บรรดารัฐบาลถลุงงบมหาศาลจนเศรษฐกิจพังย่อยยับส่งผลกระทบกับคนในประเทศตามมา เมื่อไร้หนทางจึงหันไปพึ่งยาเสพติดหรือไม่ก็เสพความเชื่อจากสิ่งลี้ลับเพื่อเยียวยาความเจ็บปวด แล้วกลายเป็นสาเหตุให้เกิดคดีอาชญากรรมหรือเกิดลัทธิกันเกลื่อนกลาดแล้วเป็นช่องทางในการหากินและหาแสงจนเกิดลัทธิบูชาตัวบุคคล แม้ยุคสมัยเปลี่ยน เทคโนโลยีก้าวล้ำ ข้อมูลข่าวสารกว้างขวางแค่ไหนแต่เรื่องเหล่านี้ยังคงอยู่แถมความน่ากลัวอีก Level คือมันสามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและครอบงำความคิดคนได้แยบยลโดยไม่อาจแยกได้ว่าอันไหนเรื่องจริงอันไหนเรื่องแต่งแต่ถ้าใช้ปัญญาในการหาวิจารณญาณก็จะพบข้อสงสัยได้ไม่ยาก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้