[CR] No.121 Speak No Evil (2024) : มารยาทหลอน ซ่อนวาจา (หล่าว)


- โดยรวมชอบ ถึงจะชอบต้นฉบับมากกว่าตรงที่มันสามารถสร้างคุณงามความดีย์ในเรื่องความหงุดหงิดในความสยองได้หน้าตาเฉยจนเป็นที่กล่าวขานมาแล้วว่าต้องหัวร้อน  แน่นอนว่าขณะดูจึงเกิดการเปรียบเทียบระหว่าง 2 เวอร์ชั่นกัน Shot ต่อ Shot ไม่ได้อีกเช่นกัน จากที่ประมวลมามีความรู้สึกเดียวกับตอนดู Confession (2022) หนังเกาหลีที่ Remake มาจาก The Invisible Guest (2016) อีกทียังไงยังงั้น แม้ทราบแก่ใจว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ? แต่เชื่อได้ว่าผู้กำกับ James Watkins คงไม่ Copy แล้ว Paste มาทั้งดุ้นหรอก คือ ขนาดกูดูเองก็ยังรู้สึกหงุดหงิดไม่ต่างจากพวกเลยว่า คนอะไรจะซื่อบื้อขนาดนั้น ? เพื่อนพูดอะไร ? สั่งอะไร ? ก็เอาแต่ได้ครับพี่ ดีครับท่าน  เหมาะสมครับเพื่อน โดยไม่หือ ไม่อือ สักแอ๊ะ แล้วปล่อยให้เพื่อนทำตามอัธยาศัย ซึ่งมันผิดวิสัยทัศน์คนปกติหรือเปล่าวะ ? กูเลยทนไม่ไหวขอซื้อบทต่อแล้วเอามา Adapt ให้เข้ากับสไตล์กูเองซะเลย ถ้าไม่เชื่อดูได้จาก Eden (2008) เป็นตัวอย่าง 

- ภาพรวมตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 50 นาทีที่มากกว่าต้นฉบับรู้สึกชัดแจ้งว่าดูง่ายขึ้น เพราะ ได้นักแสดงนำอย่างพี่ James มาเป้นตัวชูด้วยรวมถึงมีการใส่ความเป็น Thriller ที่ควรจะเป็นเข้าไปเพื่อเอาใจคนชอบเสพความรุนแรงทางกายภาพหรืออัดอั้นจากต้นฉบับซะเหลือเกินแถมการตัดต่อก็ตัดได้เร็วขึ้นเพื่อไม่ต้องนั่งแช่ดูบรรยากาศเดิม ๆ ไปนาน ๆ ส่วนทีเหลือก็ยังคงยึดตามต้นฉบับอยู่ไม่ว่าตัวบท , ประเด็น หรือความหงุดหงิด ที่แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันจำเป็นต่อการขับเคลื่อนให้ประเด็นของเรื่องที่ผูกกับบทก็ดีหรือปมกระทั่งตุ๊กตาเจ้าปัญหาอีกตัวก็ตามมัน Run ต่อไปนั่นเอง 
- พอมาถึงบ้าน 2 สามีภรรยาชาวอังกฤษตัวหนังก็ยังคงความเนิบนาบผ่านบรรยากาศแวดล้อมที่ปกคลุมด้วยป่าเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลายเหมือนกับต้นฉบับ ขณะดูไปภาพจำของต้นฉบับทับซ้อนเข้ามาให้เกิดความเอะใจขึ้นมาแต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือมีการใส่ปมส่วนตัวเข้ามาเพิ่มเติม เช่น ปมของฝั่ง 2 สามีภรรยาชาวอเมริกันเกี่ยวกับมือที่ 3 หรือฝั่ง 2 สามีภรรยาชาวอังกฤษที่เริ่มมีชิ้นมีอันมากขึ้น กระทั่ง Highlight เด็ดอย่าง ลูกชาย ของ 2 สามีภรรยาชาวอังกฤษที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเช่นกันเพื่อทำให้ตัวละครมีเหตุมีผลขึ้นว่าทำไปเพื่ออะไร ? ถึงไม่ได้เจาะจงลง Details ไปด้วยการขยายเป็น Flashback ประกอบการอ้างอิงแต่อย่างน้อยการบอกให้รู้ก็ช่วยทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่ทำไปได้ระดับนึง

- หลังจากที่ผู้กำกับพยายามเก็บทรงมานานตามใจต้นฉบับมาพอแล้ว ช่วงเวลาที่เหลือท้าย ๆ กูว่าสมควรแก่เวลาแล้วเลยทำยการเปลี่ยนหน้าตักเดิมให้กลายเป็นงาน Thriller ตามสไตล์ค่าย Blumhouse เต็มสูบ ถามว่าดีมั้ย ? ก็ดีแต่มันตรงสูตรสำเร็จรูปไปจนรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรค้างคาใจหรือเก็บไปคิดต่อหลังจากดูจบแถมความกดดันหรือความโหดที่อุตส่าห์หวังไว้ยังทำได้ไม่สุดเท่าที่ควรจะทำต่ออีกสักนิดจนอีกใจก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำทรงขึงขังอยู่เลย 

- ตัวตึงของเรื่องที่เราเห็นจาก Poster อย่างพี่ James McAvoy ยังสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ดีเช่นเคย ถึงเราจะเคยสัมผัสความคลั่งที่แกก่อไว้ถึง 23 บุคลิกจนเหวอมาแล้วจาก Sprit (2016) พอดูเรื่องนี้เหมือนกับนั่งดูภาคต่อในอีก Multiverse หนึ่งที่คราวนี้มีลูกมืออย่างเจ๊ Aisling Franciosi ที่รู้จักมาตั้งแต่ The Nightingale (2018) และล่าสุดที่ดูไปอย่าง Stopmotion (2023) มาช่วยอีกแรง ซึ่งดูไปเธอเหมาะกับบทแบบนี้เหมือนกันด้วยความที่หน้าตาไปทางนั้นด้วยแถมเคมีเข้าขากับพี่ James เป็นอย่างมาก ส่วนคู่รักมารยาทงามอย่าง Mckenzie Davies กับ Scoot Mcnairy ถึงยังคงนิสัยตามต้นฉบับแทบทุกอิริยาบถจนอดที่จะอึดอัดและหงุดหงิดไม่ได้อีกแล้วแต่พอมีปมส่วนตัวที่ใส่เข้ามาเพิ่มเติมหรือการเปลี่ยน way ไปอีกทางยิ่งรู้สึกเอาใจช่วยด้วยอีกแรงว่ามันต้องอย่างนี้สิวะ 

- ถึงพอใจที่มาใน way นี้ในขณะเดียวกันความกดดันที่ต้นฉบับทำไว้อย่างเลือดเย็นกลับหายเป็นปลิดทิ้งแถมการตัดต่อมีส่วนทำให้เรื่องไม่ Smooth เท่าที่ควร เห็นได้ชัดจากช่วงแรก ๆ ฉากนี้กำลังทำความรู้จักไปได้ไม่กี่นาทีก็ตัดข้ามไปอีกฉากอย่างไวเฉยเลยเกิดคำถามตามมาว่าทำไมพวกจึงสนิทกันไวขนาดนี้  ? แม้กระทั่ง Keywords สำคัญที่พี่ James พูดต่อหน้า 2 สามีภรรยาชาวอเมริกันในช่วงเปิดสันดานเต็มระบบก็ไม่ได้คมหรือขนลุกเท่ากับต้นฉบับ ภาพรวมมันจึงกลายเป็นหนัง Remake ที่ขายความเป็น Thriller ทั่วไปมากกว่าจะขายเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน ซึ่งมันยากที่จะทำให้ได้เหมือนทุกอย่างเข้าใจได้ไม่ว่ากัน แต่ถึงประเด็นไม่ลึกเท่าแต่เวอร์ชั่นนี้ก็ขยายความจากเดิมให้เห็นภาพชัดขึ้นว่ามารยาทก็สำคัญแต่ที่สำคัญกว่าการมีสติรู้จัก  (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ) แล้วจะรู้ทันคนต่อให้พูดจาสุภาพก็เถอะ

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMistique
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่