ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณเล่นหุ้นรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง

กระทู้สนทนา
โดย Zyo: https://www.facebook.com/zyobooks

ประโยค "ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง" เป็นของพี่ Mark Minervini ที่ผมเอามาจากหนังสือ Trade like a Stock Market Wizards ครับ

มันสะท้อนสำนึกรับผิดชอบ และการตระหนักรู้ รวมถึงตอกย้ำกับตัวเองว่า "ฉันต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จของตนเอง"
ผมหวังลึก ๆ ว่า ประโยคนี้ อาจเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเทรดของคุณ เหมือนที่ผมเคยเปลี่ยนได้เมื่อหลายปีก่อน
ถ้าคุณเก็ท หมายความว่าคุณ Coming of age ของ Learning curve การเทรดแล้ว
คุณกำลังสลัดความไร้เดียงสา(ของโลกการเก็งกำไร) ไปเป็นผู้ใหญ่ที่มองโลกด้วยมุมใหม่และสมจริงกว่าเดิม

ถ้ายังไม่เก็ท ลองอ่านเนื้อหาที่พี่มาร์ค ให้สัมภาษณ์ลงหนังสือ Stock Market Wizards ดูครับ

เข้ามาดู(Jack D . Schwager เกริ่น) ถ้ามองเผินๆ สิ่งที่ Mark Minervini พูดบางอย่าง 
มันเหมือนว่าเขาเป็นคนอวดดี เพราะเขาคิดว่าเจ๋งกว่าตลาด 
ทั้งๆที่จริงแล้วเขามีความเคารพต่อตลาด และยอมรับว่าผิดพลาดจากการเทรดทั้งหมดเกิดจากปรัชญาของตนทั้งสิ้น

แต่ทั้งนี้, เขาก็ยังยืนยันตรงไปตรงมากว่า เขาดีกว่าคนทั่วไป

ในช่วง 5 ปีแรกของการเข้ามาเทรด เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงขาดทุนจนหมดตัว
แต่ด้วยควาที่เขามีความสุขในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมาก
จึงทำให้คนที่เรียนจบแค่ชั้นมัธยม(อย่างเขา)
เอาชนะคนที่จบปริญญาเอก(ที่พยายามออกแบบระบบเทรดที่ซับซ้อนเพื่อชนะตลาด)
แบบมวยคนละชั้น

เม่าตกอับ หลังจากที่ออกจากโรงเรียน มิเนอร์วินี หาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นมือกลอง ซึ่งเขาไม่ค่อยอยากจะเล่าถึงเรื่องนี้มากนัก แม้จะพยายามขอร้องแค่ไหนก็ตาม แค่เพียงบอกสั้นๆว่าเคยเป็นมือกลองให้วงดนตรีหลายวง, นักดนตรีรับจ้างในห้องอัด, และเคยปรากฎในมิวสิควิดีโอของ MTV, และยังเป็นเจ้าของห้องอัดเสียงด้วย

มิเนอร์วินีให้ความสนใจตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 1980 ในตอนที่ยังวัยรุ่น
หลังจากที่คิดจะเทรดแบบขำๆ ก็กลายเป็นความหลงไหล จึงผันตัวเองมาเป็น full time trader ตัดสินใจขายสตูดิโออัดเสียงเพื่อเอาเงินมาเทรดหุ้น
และก็หมดตัวจากนั้นไม่นาน
เม่าบาดเจ็บเขาบอกว่าสาเหตุมาจากการเชื่อฟังคนอื่น(โบรกเกอร์) ผลการเทรดของเขาขึ้นอยู่กับคำแนะนำของคนอื่น จึงได้ขาดทุนหมดตัว

เม่าเนิร์ดพอคิดได้หลังจากที่หมดตัว จึงเริ่มต้นโปรแกรมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ค้นคว้า อย่างเข้มข้น
หลังจากที่ใช้เวลาในการเรียนรู้ วิจัย และมีประสบการณ์ในตลาดหุ้น หมดตัวอีกหลายครั้ง 
มิเนอร์วินีก็สามารถพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ได้มาตรฐาน 
โดยเขาแบ่งพอร์ตหุ้นไปหลายก้อนเพื่อทดสอบระบบที่ได้ศักษามาเพื่อหากลยุทธ์ที่ดีที่สุด
ช่วงกลางปี 1994 จึงเกิดความมั่นใจ เจอแนวทางที่ใช่
เชื่อว่าแนวทางการเทรดนั้นดีพอที่จะทำเงินจากตลาดได้แน่นอนแล้ว
จึงได้รวบรวมเงินก้อนใหญ่เพื่อเทรดแบบจัดหนักตามกลยุท์ธเดียว

นางพญาเม่าและห้าปีจากนั้น กำไรของเขาก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยประจำปีของเขาในช่วงดังกล่าว สูงถึง 220% รวมถึงการทำได้ 155% จนได้เป็นแชมป์ US Investing Championship ปี 1997
แม้ว่าเขาจะสามารถทำกำไรได้สูงมาก แต่ขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เกิดจากเทรดของเขากลับต่ำมาก บางไตรมาสแทบจะเสียไม่เกิด 1%
ปี 2000, มิเนอรวินีเปิด hedge fund ของตนเอง ชื่อ the Quantech Fund, LP โดยใช้หลักการคัดเลือกหุ้นตามแนวทางของเขาเอง

เพี้ยนแคปเจอร์(ช่วงสอบถาม)
Q = Jack D. Schwager, A = Mark Minervini
Q: อะไรคือตัวกระตุ้นให้คุณอยากซื้อหุ้นสักตัว?
A: เริ่มจากการสแกนเพื่อหาหุ้นที่มีลักษณะคล้ายในอดีต ที่หากเข้าสูตรแบบนี้แล้วมันจะมีโอกาสวิ่งแรง ผมใช้คอนเซ็ปจากหนังสือชื่อ Superperformance Stocks ที่เขียนโดย Richard Love

Q: จุดร่วมของหุ้นที่จะซิ่งแรงมีอะไรบ้าง?
A: พวกมันมักจะโนเนม กว่า 80% ของทั้งหมด เพิ่งเข้าตลาดมาไม่ถึง 10 ปี แต่ผมจะเลี่ยงหุ้นราคาต่ำกว่า $12 ส่วนใหญ่จะซื้อตั้งแต่ $20 ขึ้น
ปรัชญาพื้นฐานของผมคือ สร้างพอร์ตของคุณด้วยหุ้นที่ดีที่สุดที่ตลาดนำเสนอให้ และตัดขาดทุนให้เร็วที่สุดเมื่อรู้ว่าคิดผิด

Q: มีคุณสมบัติอื่นๆของหุ้นผู้ชนะอีกบ้างมั้ย?
A: มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อคือ หุ้นซิ่งมักจะถูกซื้อขายด้วย PE  ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนที่มันจะเป็นผู้ชนะ
นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าซื้อหุ้น PE สูงๆ เขาชอบตัวที่อัตราส่วนต่ำๆ หลีกเลี่ยงตัวที่สูงเกินไป ทำให้เขาพลาดตัวที่วิ่งดีกว่าตลาดไปในที่สุด
การเทรดไม่ใช่วิทยาศาสตร์เพียว มีคนพยายามคิดสูตรเพื่อชนะตลาด แต่ผมบอกเลยว่าวิทยาศาสตร์อาจช่วยเพิ่มความน่าจะเป็น แต่คุณต้องเพิ่มศิลปะการเทรดเข้ามาด้วย ซึ่งแนวทางการชนะตลาดมีหลากหลายมาก คุณต้องพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวคุณเองให้ได้ ไม่ต้องรู้ว่าผมใช้สูตรอะไรหรอก คุณต้องหาให้ได้ว่าแบบไหนมันเหมาะกับนิสัยของคุณ ไม่ต้องลอก แต่ขอให้รู้แค่ว่าปรัชญาการเทรดของผมคืออะไร, หลักการ, เทคนิคบริหารเงินทุน แล้วเอาไปปรับใช้ลองใช้ให้เหมาะกับตัวคุณ แบบนี้ถึงจะเข้าท่า และมีประโยชน์มากกว่า

Q: ทำไมคุณถึงมองว่านักเทรดทั่วไปเสียเวลากับการเลือกหุ้นมากไป?
A: ผมคิดว่านักเทรดทั่วไปใช้เวลาในการค้นหากลยุทธ์ในการเข้าซื้อมากเกินไป แต่ไม่ให้ให้เวลาเรื่อการบริหารเงินทุนมากพอ
สมมุติว่าคุณเอารายชื่อหุ้นที่มีค่า Relative strength สูงกว่าค่าเฉลี่ยสองร้อยตัว มากางไว้ แล้วปาเป้าวันละสามดอกเพื่อเลือกหุ้นเล่น โดยตั้งเกณฑ์ว่าถ้าราคาหุ้นทำให้คุณขาดทุน 10% จะขายออกทันที ผมบอกเลยว่าคุณมีโอกาสทำเงินได้ เพราะคุณได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของหุ้นที่มีโอกาสชนะยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็สามารถลดการขาดทุนหนักของตัวเองได้ด้วย
นี่เป็นตัวอย่างที่ผมยกมาให้ดูแบบสุดขีดไปหน่อย
แต่พูดง่ายๆคือ ถ้าคุณเทรดแบบไม่มีกลยุทธ์ ในพอร์ตของคุณจะเต็มไปด้วยหุ้นที่ขาดทุนถึง 90%
ดังนั้น ให้คุณคิดใหม่ คือ ให้เลือกซื้อเฉพาะหุ้นที่มีโอกาสในการวิ่งขึ้นดีๆ ไกลๆ มันจะทำให้คุณมีโอกาสกำไรมากกว่า ถ้าซื้อแล้วมันไม่วิ่ง แต่ร่วงให้คุณขาดทุน 10% ก็ขายออก เอาไปเข้าหุ้นที่มีศักยภาพดีในการวิ่งขึ้นดีๆ ไกลๆ ตัวใหม่

Q: หลักการดู Relative Strength ของคุณคืออะไร?
A: แนวทางการใช้ค่านี้ของผมคือ ผมจะมองหาหุ้นที่สามารถยืนดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวมในช่วงที่ตลาดพักฐาน และมันจะเป็นตัวแรกๆที่ดีดขึ้นแรงหลังจากที่ตลาดฟื้นตัวกลับเป็นขาขึ้น พวกนี้คือ "หุ้นนำตลาด"

Q: ครั้งแรกๆที่คุณเล่นหุ้น แนวทางการเลือกเป็นยังไง?
A: ผมไม่มีหลักการอะไรเลย แค่ซื้อหุ้นที่เพิ่งทำจุดต่ำสุดใหม่ และซื้อตามคำแนะนำของโบรกเกอร์
มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของผม
ในช่วงปี 1980 โบรกเกอร์แนะให้ผมซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่า $20 จากนั้นมันก็ร่วงลงไป 4-5 จุด กังวลสิ จึงโทรไปขอคำปรึกษาจากโบรกเกอร์ เขาบอกว่าอย่าได้กังวล เพราะหุ้นตัวนั้นได้ลงไปอยู่ในช่วงลดราคา เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เพราะบริษัทเพิ่งได้พัฒนายาต้าน AIDS ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาของ PDA ให้ซื้อเพิ่มเพราะได้ราคาถูกลง
แต่ราคาหุ้นกลับร่วงลงแรงได้อีก แต่ผมก็ถัวจนหมดเงินไปแล้วตามคำแนะนำ ตอนจบของเรื่องนี้คือราคาหุ้นลงไปต่ำกว่า $1 ผมหมดตัวจากมัน

ผมเสียเงินให้กับหุ้นตัวเดียว 3-40,000 เหรียญ ซึ่งมันเป็นครึ่งหนึ่งของพอร์ตเลย
ที่แย่กว่านั้นคือ มันเป็นเงินที่ผมยืมเขามา
มันทำให้ผมรู้สึกจิตตกเป็นอย่างมาก ผมร้องให้แบบที่ไม่คยร้องหนักขนาดนั้นมาก่อน มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังไม่หมดศรัทธาต่อตลาดหุ้น เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นให้โอกาสทำเงินกับผมทุกวัน เพียงแค่ว่าผมต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นเพื่อระบุโอกาสนั้นให้ได้
นอกจากนี้ผมจะไม่ยอมเทรดตามความเห็นของคนอื่นอีก ถ้าผมเทรดตามแนวทางของตัวเอง ผมจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

Q: อะไรทำให้คุณยังคงเชื่อมั่นต่อตลาด? 
A: มันเป็นบุคลิกของผมเอง ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดคือผมมี passion กับเกมการเทรด
ผมคิดว่านักเทรดส่วนใหญ่สามารถประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ถ้าเขามีความพยายามและให้เวลากับมันมากพอ
แต่ถ้าคุณอยากเป็นนักเทรดที่เก่งที่สุด คุณต้องมี passion กับมัน
 คุณต้องรักการเทรด
ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้เป็นสุดยอดนักบาสเพราะเขาอยากเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าหรอกนะ แวนโก๊ะห์ก็ไม่ได้อยากเป็นจิตรกรเพราะอยากให้งานขายได้ในราคา 50 ล้านเหรียญหรอก

Q: คุณกำลังบอกว่า ความหลงไหลในตลาดหุ้นชักนำให้คุณเห็นโอกาสจากการเทรด?
A: เริ่มต้นผมถูกดึงดูดให้สนใจตลาดหุ้นเพราะเงิน แต่เมื่อได้เข้ามาเทรดจริง กลายเป็นว่าเงินเป็นเรื่องรอง

Q: แล้วอะไรเป็นเรื่องใหญ่?
A: ความท้าทายที่สุดของผมคือ การเป็นผู้ชนะ ผมอยากเป็นอันดับหนึ่งของอะไรสักอย่าง ผมอยากเป็นนักเทรดระดับสุดยอดของโลก ถ้าคุณสามารถเป็นคนระดับสุดยอดได้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป เพราะมันจะบินเข้ามาหาคุณทางหน้าต่างแบบง่ายๆ

Q: สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการขาดทุนหนัก คืออะไรบ้าง?
A: ผมได้รู้ว่าไม่มีใครสามารถทำร้ายผมได้ นอกจากตัวผมเอง
โบรกเกอร์ของผมยังคงได้ค่าคอมฯแต่ผมหมดตัว
ตอนนี้ผมเชื่อหมดใจว่าการขาดทุนหมดตัวคือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นมือใหม่

Q: ดีที่สุด? ยังไง?
A: เพราะมันได้สอนให้ผมเคารพตลาดหุ้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้มากเท่าการหมดตัวอีกแล้ว

ปล. ยังไม่จบนะครับ ด้วยความที่พันทิพกำหนดให้กระทู้หนึ่งมีไม่เกิน 10,000 ตัวอักษร ผมจึงพิมพ์ได้เท่านี้
อยากอ่านที่เหลือ ไปที่ https://www.zyo71.com/2019/02/mark-minervini-stock-around-clock.html  นะครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เม่าเนิร์ดเม่าเนิร์ด"ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง
ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง"
ให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง?
1. คุณคือผู้รับผิดชอบชีวิตทางการเงินและอนาคตของคุณเอง:
ไม่มีใคร จะใส่ใจหรือทุ่มเทให้กับเงินและอนาคตของคุณมากกว่าตัวคุณเอง
คุณ ต้องเป็นผู้ริเริ่ม วางแผน และลงมือด้วยตัวเอง
คุณ ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว

2. ความสำเร็จทางการเงินมาจากความพยายามของคุณ:
ไม่มีใคร สามารถทำให้คุณรวยได้โดยไม่ต้องลงแรง
คุณ ต้องเป็นผู้สร้างโอกาสและคว้ามันไว้
ความสำเร็จ เกิดขึ้นจากการทุ่มเท เรียนรู้ และลงมือทำ อย่างต่อเนื่อง

3. การเรียนรู้และเติบโต:
ประสบการณ์ ทั้งดีและร้าย ล้วนเป็นบทเรียนอันล้ำค่า
คุณ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด
พัฒนาตัวเอง อย่างต่อเนื่อง
แสวงหาความรู้ และโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ

เม่าเนิร์ด แนะนำแหล่งความรู้สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่
คอร์สหุ้นออนไลน์ฟรี https://www.zyo71.com/2021/11/free-full-trading-course-by-zyo.html
ผลงานของผม https://www.zyo71.com/p/blog-page.html
อ่านบทความฟรี คลังความรู้เกี่ยวกับการเทรด https://www.zyo71.com/p/index.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่