โดย Zyo:
https://www.facebook.com/zyobooks
ประโยค "ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง" เป็นของพี่ Mark Minervini ที่ผมเอามาจากหนังสือ Trade like a Stock Market Wizards ครับ
มันสะท้อนสำนึกรับผิดชอบ และการตระหนักรู้ รวมถึงตอกย้ำกับตัวเองว่า
"ฉันต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จของตนเอง"
ผมหวังลึก ๆ ว่า ประโยคนี้ อาจเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเทรดของคุณ เหมือนที่ผมเคยเปลี่ยนได้เมื่อหลายปีก่อน
ถ้าคุณเก็ท หมายความว่าคุณ Coming of age ของ Learning curve การเทรดแล้ว
คุณกำลังสลัดความไร้เดียงสา(ของโลกการเก็งกำไร) ไปเป็นผู้ใหญ่ที่มองโลกด้วยมุมใหม่และสมจริงกว่าเดิม
ถ้ายังไม่เก็ท ลองอ่านเนื้อหาที่พี่มาร์ค ให้สัมภาษณ์ลงหนังสือ Stock Market Wizards ดูครับ
(Jack D . Schwager เกริ่น) ถ้ามองเผินๆ สิ่งที่ Mark Minervini พูดบางอย่าง
มันเหมือนว่าเขาเป็นคนอวดดี เพราะเขาคิดว่าเจ๋งกว่าตลาด
ทั้งๆที่จริงแล้วเขามีความเคารพต่อตลาด และยอมรับว่าผิดพลาดจากการเทรดทั้งหมดเกิดจากปรัชญาของตนทั้งสิ้น
แต่ทั้งนี้, เขาก็ยังยืนยันตรงไปตรงมากว่า เขาดีกว่าคนทั่วไป
ในช่วง 5 ปีแรกของการเข้ามาเทรด เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงขาดทุนจนหมดตัว
แต่ด้วยควาที่เขามีความสุขในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมาก
จึงทำให้คนที่เรียนจบแค่ชั้นมัธยม(อย่างเขา)
เอาชนะคนที่จบปริญญาเอก(ที่พยายามออกแบบระบบเทรดที่ซับซ้อนเพื่อชนะตลาด)
แบบมวยคนละชั้น
หลังจากที่ออกจากโรงเรียน มิเนอร์วินี หาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นมือกลอง ซึ่งเขาไม่ค่อยอยากจะเล่าถึงเรื่องนี้มากนัก แม้จะพยายามขอร้องแค่ไหนก็ตาม แค่เพียงบอกสั้นๆว่าเคยเป็นมือกลองให้วงดนตรีหลายวง, นักดนตรีรับจ้างในห้องอัด, และเคยปรากฎในมิวสิควิดีโอของ MTV, และยังเป็นเจ้าของห้องอัดเสียงด้วย
มิเนอร์วินีให้ความสนใจตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 1980 ในตอนที่ยังวัยรุ่น
หลังจากที่คิดจะเทรดแบบขำๆ ก็กลายเป็นความหลงไหล จึงผันตัวเองมาเป็น full time trader ตัดสินใจขายสตูดิโออัดเสียงเพื่อเอาเงินมาเทรดหุ้น
และก็หมดตัวจากนั้นไม่นาน
เขาบอกว่าสาเหตุมาจากการเชื่อฟังคนอื่น(โบรกเกอร์) ผลการเทรดของเขาขึ้นอยู่กับคำแนะนำของคนอื่น จึงได้ขาดทุนหมดตัว
พอคิดได้หลังจากที่หมดตัว จึงเริ่มต้นโปรแกรมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ค้นคว้า อย่างเข้มข้น
หลังจากที่ใช้เวลาในการเรียนรู้ วิจัย และมีประสบการณ์ในตลาดหุ้น หมดตัวอีกหลายครั้ง
มิเนอร์วินีก็สามารถพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ได้มาตรฐาน
โดยเขาแบ่งพอร์ตหุ้นไปหลายก้อนเพื่อทดสอบระบบที่ได้ศักษามาเพื่อหากลยุทธ์ที่ดีที่สุด
ช่วงกลางปี 1994 จึงเกิดความมั่นใจ เจอแนวทางที่ใช่
เชื่อว่าแนวทางการเทรดนั้นดีพอที่จะทำเงินจากตลาดได้แน่นอนแล้ว
จึงได้รวบรวมเงินก้อนใหญ่เพื่อเทรดแบบจัดหนักตามกลยุท์ธเดียว
และห้าปีจากนั้น กำไรของเขาก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยประจำปีของเขาในช่วงดังกล่าว สูงถึง 220% รวมถึงการทำได้ 155% จนได้เป็นแชมป์ US Investing Championship ปี 1997
แม้ว่าเขาจะสามารถทำกำไรได้สูงมาก แต่ขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เกิดจากเทรดของเขากลับต่ำมาก บางไตรมาสแทบจะเสียไม่เกิด 1%
ปี 2000, มิเนอรวินีเปิด hedge fund ของตนเอง ชื่อ the Quantech Fund, LP โดยใช้หลักการคัดเลือกหุ้นตามแนวทางของเขาเอง
(ช่วงสอบถาม)
Q = Jack D. Schwager, A = Mark Minervini
Q: อะไรคือตัวกระตุ้นให้คุณอยากซื้อหุ้นสักตัว?
A: เริ่มจากการสแกนเพื่อหาหุ้นที่มีลักษณะคล้ายในอดีต ที่หากเข้าสูตรแบบนี้แล้วมันจะมีโอกาสวิ่งแรง ผมใช้คอนเซ็ปจากหนังสือชื่อ Superperformance Stocks ที่เขียนโดย Richard Love
Q: จุดร่วมของหุ้นที่จะซิ่งแรงมีอะไรบ้าง?
A: พวกมันมักจะโนเนม กว่า 80% ของทั้งหมด เพิ่งเข้าตลาดมาไม่ถึง 10 ปี แต่ผมจะเลี่ยงหุ้นราคาต่ำกว่า $12 ส่วนใหญ่จะซื้อตั้งแต่ $20 ขึ้น
ปรัชญาพื้นฐานของผมคือ สร้างพอร์ตของคุณด้วยหุ้นที่ดีที่สุดที่ตลาดนำเสนอให้ และตัดขาดทุนให้เร็วที่สุดเมื่อรู้ว่าคิดผิด
Q: มีคุณสมบัติอื่นๆของหุ้นผู้ชนะอีกบ้างมั้ย?
A: มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อคือ หุ้นซิ่งมักจะถูกซื้อขายด้วย PE ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนที่มันจะเป็นผู้ชนะ
นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าซื้อหุ้น PE สูงๆ เขาชอบตัวที่อัตราส่วนต่ำๆ หลีกเลี่ยงตัวที่สูงเกินไป ทำให้เขาพลาดตัวที่วิ่งดีกว่าตลาดไปในที่สุด
การเทรดไม่ใช่วิทยาศาสตร์เพียว
มีคนพยายามคิดสูตรเพื่อชนะตลาด แต่ผมบอกเลยว่าวิทยาศาสตร์อาจช่วยเพิ่มความน่าจะเป็น แต่คุณต้องเพิ่มศิลปะการเทรดเข้ามาด้วย ซึ่งแนวทางการชนะตลาดมีหลากหลายมาก คุณต้องพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวคุณเองให้ได้ ไม่ต้องรู้ว่าผมใช้สูตรอะไรหรอก คุณต้องหาให้ได้ว่าแบบไหนมันเหมาะกับนิสัยของคุณ ไม่ต้องลอก แต่ขอให้รู้แค่ว่าปรัชญาการเทรดของผมคืออะไร, หลักการ, เทคนิคบริหารเงินทุน แล้วเอาไปปรับใช้ลองใช้ให้เหมาะกับตัวคุณ แบบนี้ถึงจะเข้าท่า และมีประโยชน์มากกว่า
Q: ทำไมคุณถึงมองว่านักเทรดทั่วไปเสียเวลากับการเลือกหุ้นมากไป?
A: ผมคิดว่านักเทรดทั่วไปใช้เวลาในการค้นหากลยุทธ์ในการเข้าซื้อมากเกินไป แต่ไม่ให้ให้เวลาเรื่อการบริหารเงินทุนมากพอ
สมมุติว่าคุณเอารายชื่อหุ้นที่มีค่า Relative strength สูงกว่าค่าเฉลี่ยสองร้อยตัว มากางไว้ แล้วปาเป้าวันละสามดอกเพื่อเลือกหุ้นเล่น โดยตั้งเกณฑ์ว่าถ้าราคาหุ้นทำให้คุณขาดทุน 10% จะขายออกทันที ผมบอกเลยว่าคุณมีโอกาสทำเงินได้ เพราะคุณได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของหุ้นที่มีโอกาสชนะยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็สามารถลดการขาดทุนหนักของตัวเองได้ด้วย
นี่เป็นตัวอย่างที่ผมยกมาให้ดูแบบสุดขีดไปหน่อย
แต่พูดง่ายๆคือ ถ้าคุณเทรดแบบไม่มีกลยุทธ์ ในพอร์ตของคุณจะเต็มไปด้วยหุ้นที่ขาดทุนถึง 90%
ดังนั้น ให้คุณคิดใหม่ คือ ให้เลือกซื้อเฉพาะหุ้นที่มีโอกาสในการวิ่งขึ้นดีๆ ไกลๆ มันจะทำให้คุณมีโอกาสกำไรมากกว่า ถ้าซื้อแล้วมันไม่วิ่ง แต่ร่วงให้คุณขาดทุน 10% ก็ขายออก เอาไปเข้าหุ้นที่มีศักยภาพดีในการวิ่งขึ้นดีๆ ไกลๆ ตัวใหม่
Q: หลักการดู Relative Strength ของคุณคืออะไร?
A: แนวทางการใช้ค่านี้ของผมคือ ผมจะมองหาหุ้นที่สามารถยืนดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวมในช่วงที่ตลาดพักฐาน และมันจะเป็นตัวแรกๆที่ดีดขึ้นแรงหลังจากที่ตลาดฟื้นตัวกลับเป็นขาขึ้น พวกนี้คือ "หุ้นนำตลาด"
Q: ครั้งแรกๆที่คุณเล่นหุ้น แนวทางการเลือกเป็นยังไง?
A: ผมไม่มีหลักการอะไรเลย แค่ซื้อหุ้นที่เพิ่งทำจุดต่ำสุดใหม่ และซื้อตามคำแนะนำของโบรกเกอร์
มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของผม
ในช่วงปี 1980 โบรกเกอร์แนะให้ผมซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่า $20 จากนั้นมันก็ร่วงลงไป 4-5 จุด กังวลสิ จึงโทรไปขอคำปรึกษาจากโบรกเกอร์ เขาบอกว่าอย่าได้กังวล เพราะหุ้นตัวนั้นได้ลงไปอยู่ในช่วงลดราคา เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เพราะบริษัทเพิ่งได้พัฒนายาต้าน AIDS ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาของ PDA ให้ซื้อเพิ่มเพราะได้ราคาถูกลง
แต่ราคาหุ้นกลับร่วงลงแรงได้อีก แต่ผมก็ถัวจนหมดเงินไปแล้วตามคำแนะนำ ตอนจบของเรื่องนี้คือราคาหุ้นลงไปต่ำกว่า $1 ผมหมดตัวจากมัน
ผมเสียเงินให้กับหุ้นตัวเดียว 3-40,000 เหรียญ ซึ่งมันเป็นครึ่งหนึ่งของพอร์ตเลย
ที่แย่กว่านั้นคือ มันเป็นเงินที่ผมยืมเขามา
มันทำให้ผมรู้สึกจิตตกเป็นอย่างมาก ผมร้องให้แบบที่ไม่คยร้องหนักขนาดนั้นมาก่อน มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังไม่หมดศรัทธาต่อตลาดหุ้น เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นให้โอกาสทำเงินกับผมทุกวัน เพียงแค่ว่าผมต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นเพื่อระบุโอกาสนั้นให้ได้
นอกจากนี้ผมจะไม่ยอมเทรดตามความเห็นของคนอื่นอีก ถ้าผมเทรดตามแนวทางของตัวเอง ผมจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
Q: อะไรทำให้คุณยังคงเชื่อมั่นต่อตลาด?
A: มันเป็นบุคลิกของผมเอง ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดคือผมมี passion กับเกมการเทรด
ผมคิดว่านักเทรดส่วนใหญ่สามารถประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ถ้าเขามีความพยายามและให้เวลากับมันมากพอ
แต่ถ้าคุณอยากเป็นนักเทรดที่เก่งที่สุด คุณต้องมี passion กับมัน
คุณต้องรักการเทรด
ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้เป็นสุดยอดนักบาสเพราะเขาอยากเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าหรอกนะ แวนโก๊ะห์ก็ไม่ได้อยากเป็นจิตรกรเพราะอยากให้งานขายได้ในราคา 50 ล้านเหรียญหรอก
Q: คุณกำลังบอกว่า ความหลงไหลในตลาดหุ้นชักนำให้คุณเห็นโอกาสจากการเทรด?
A: เริ่มต้นผมถูกดึงดูดให้สนใจตลาดหุ้นเพราะเงิน แต่เมื่อได้เข้ามาเทรดจริง กลายเป็นว่าเงินเป็นเรื่องรอง
Q: แล้วอะไรเป็นเรื่องใหญ่?
A: ความท้าทายที่สุดของผมคือ การเป็นผู้ชนะ ผมอยากเป็นอันดับหนึ่งของอะไรสักอย่าง ผมอยากเป็นนักเทรดระดับสุดยอดของโลก ถ้าคุณสามารถเป็นคนระดับสุดยอดได้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป เพราะมันจะบินเข้ามาหาคุณทางหน้าต่างแบบง่ายๆ
Q: สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการขาดทุนหนัก คืออะไรบ้าง?
A: ผมได้รู้ว่าไม่มีใครสามารถทำร้ายผมได้ นอกจากตัวผมเอง
โบรกเกอร์ของผมยังคงได้ค่าคอมฯแต่ผมหมดตัว
ตอนนี้ผมเชื่อหมดใจว่าการขาดทุนหมดตัวคือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นมือใหม่
Q: ดีที่สุด? ยังไง?
A: เพราะมันได้สอนให้ผมเคารพตลาดหุ้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้มากเท่าการหมดตัวอีกแล้ว
ปล. ยังไม่จบนะครับ ด้วยความที่พันทิพกำหนดให้กระทู้หนึ่งมีไม่เกิน 10,000 ตัวอักษร ผมจึงพิมพ์ได้เท่านี้
อยากอ่านที่เหลือ ไปที่
https://www.zyo71.com/2019/02/mark-minervini-stock-around-clock.html นะครับ
"ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง
ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง"
ให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง?
1. คุณคือผู้รับผิดชอบชีวิตทางการเงินและอนาคตของคุณเอง:
ไม่มีใคร จะใส่ใจหรือทุ่มเทให้กับเงินและอนาคตของคุณมากกว่าตัวคุณเอง
คุณ ต้องเป็นผู้ริเริ่ม วางแผน และลงมือด้วยตัวเอง
คุณ ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว
2. ความสำเร็จทางการเงินมาจากความพยายามของคุณ:
ไม่มีใคร สามารถทำให้คุณรวยได้โดยไม่ต้องลงแรง
คุณ ต้องเป็นผู้สร้างโอกาสและคว้ามันไว้
ความสำเร็จ เกิดขึ้นจากการทุ่มเท เรียนรู้ และลงมือทำ อย่างต่อเนื่อง
3. การเรียนรู้และเติบโต:
ประสบการณ์ ทั้งดีและร้าย ล้วนเป็นบทเรียนอันล้ำค่า
คุณ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด
พัฒนาตัวเอง อย่างต่อเนื่อง
แสวงหาความรู้ และโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
แนะนำแหล่งความรู้สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่
คอร์สหุ้นออนไลน์ฟรี
https://www.zyo71.com/2021/11/free-full-trading-course-by-zyo.html
ผลงานของผม
https://www.zyo71.com/p/blog-page.html
อ่านบทความฟรี คลังความรู้เกี่ยวกับการเทรด
https://www.zyo71.com/p/index.html
ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณเล่นหุ้นรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง
ประโยค "ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง" เป็นของพี่ Mark Minervini ที่ผมเอามาจากหนังสือ Trade like a Stock Market Wizards ครับ
มันสะท้อนสำนึกรับผิดชอบ และการตระหนักรู้ รวมถึงตอกย้ำกับตัวเองว่า "ฉันต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จของตนเอง"
ผมหวังลึก ๆ ว่า ประโยคนี้ อาจเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเทรดของคุณ เหมือนที่ผมเคยเปลี่ยนได้เมื่อหลายปีก่อน
ถ้าคุณเก็ท หมายความว่าคุณ Coming of age ของ Learning curve การเทรดแล้ว
คุณกำลังสลัดความไร้เดียงสา(ของโลกการเก็งกำไร) ไปเป็นผู้ใหญ่ที่มองโลกด้วยมุมใหม่และสมจริงกว่าเดิม
ถ้ายังไม่เก็ท ลองอ่านเนื้อหาที่พี่มาร์ค ให้สัมภาษณ์ลงหนังสือ Stock Market Wizards ดูครับ
(Jack D . Schwager เกริ่น) ถ้ามองเผินๆ สิ่งที่ Mark Minervini พูดบางอย่าง
มันเหมือนว่าเขาเป็นคนอวดดี เพราะเขาคิดว่าเจ๋งกว่าตลาด
ทั้งๆที่จริงแล้วเขามีความเคารพต่อตลาด และยอมรับว่าผิดพลาดจากการเทรดทั้งหมดเกิดจากปรัชญาของตนทั้งสิ้น
แต่ทั้งนี้, เขาก็ยังยืนยันตรงไปตรงมากว่า เขาดีกว่าคนทั่วไป
ในช่วง 5 ปีแรกของการเข้ามาเทรด เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงขาดทุนจนหมดตัว
แต่ด้วยควาที่เขามีความสุขในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมาก
จึงทำให้คนที่เรียนจบแค่ชั้นมัธยม(อย่างเขา)
เอาชนะคนที่จบปริญญาเอก(ที่พยายามออกแบบระบบเทรดที่ซับซ้อนเพื่อชนะตลาด)
แบบมวยคนละชั้น
หลังจากที่ออกจากโรงเรียน มิเนอร์วินี หาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นมือกลอง ซึ่งเขาไม่ค่อยอยากจะเล่าถึงเรื่องนี้มากนัก แม้จะพยายามขอร้องแค่ไหนก็ตาม แค่เพียงบอกสั้นๆว่าเคยเป็นมือกลองให้วงดนตรีหลายวง, นักดนตรีรับจ้างในห้องอัด, และเคยปรากฎในมิวสิควิดีโอของ MTV, และยังเป็นเจ้าของห้องอัดเสียงด้วย
มิเนอร์วินีให้ความสนใจตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 1980 ในตอนที่ยังวัยรุ่น
หลังจากที่คิดจะเทรดแบบขำๆ ก็กลายเป็นความหลงไหล จึงผันตัวเองมาเป็น full time trader ตัดสินใจขายสตูดิโออัดเสียงเพื่อเอาเงินมาเทรดหุ้น
และก็หมดตัวจากนั้นไม่นาน
เขาบอกว่าสาเหตุมาจากการเชื่อฟังคนอื่น(โบรกเกอร์) ผลการเทรดของเขาขึ้นอยู่กับคำแนะนำของคนอื่น จึงได้ขาดทุนหมดตัว
พอคิดได้หลังจากที่หมดตัว จึงเริ่มต้นโปรแกรมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ค้นคว้า อย่างเข้มข้น
หลังจากที่ใช้เวลาในการเรียนรู้ วิจัย และมีประสบการณ์ในตลาดหุ้น หมดตัวอีกหลายครั้ง
มิเนอร์วินีก็สามารถพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ได้มาตรฐาน
โดยเขาแบ่งพอร์ตหุ้นไปหลายก้อนเพื่อทดสอบระบบที่ได้ศักษามาเพื่อหากลยุทธ์ที่ดีที่สุด
ช่วงกลางปี 1994 จึงเกิดความมั่นใจ เจอแนวทางที่ใช่
เชื่อว่าแนวทางการเทรดนั้นดีพอที่จะทำเงินจากตลาดได้แน่นอนแล้ว
จึงได้รวบรวมเงินก้อนใหญ่เพื่อเทรดแบบจัดหนักตามกลยุท์ธเดียว
และห้าปีจากนั้น กำไรของเขาก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยประจำปีของเขาในช่วงดังกล่าว สูงถึง 220% รวมถึงการทำได้ 155% จนได้เป็นแชมป์ US Investing Championship ปี 1997
แม้ว่าเขาจะสามารถทำกำไรได้สูงมาก แต่ขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เกิดจากเทรดของเขากลับต่ำมาก บางไตรมาสแทบจะเสียไม่เกิด 1%
ปี 2000, มิเนอรวินีเปิด hedge fund ของตนเอง ชื่อ the Quantech Fund, LP โดยใช้หลักการคัดเลือกหุ้นตามแนวทางของเขาเอง
(ช่วงสอบถาม)
Q = Jack D. Schwager, A = Mark Minervini
Q: อะไรคือตัวกระตุ้นให้คุณอยากซื้อหุ้นสักตัว?
A: เริ่มจากการสแกนเพื่อหาหุ้นที่มีลักษณะคล้ายในอดีต ที่หากเข้าสูตรแบบนี้แล้วมันจะมีโอกาสวิ่งแรง ผมใช้คอนเซ็ปจากหนังสือชื่อ Superperformance Stocks ที่เขียนโดย Richard Love
Q: จุดร่วมของหุ้นที่จะซิ่งแรงมีอะไรบ้าง?
A: พวกมันมักจะโนเนม กว่า 80% ของทั้งหมด เพิ่งเข้าตลาดมาไม่ถึง 10 ปี แต่ผมจะเลี่ยงหุ้นราคาต่ำกว่า $12 ส่วนใหญ่จะซื้อตั้งแต่ $20 ขึ้น
ปรัชญาพื้นฐานของผมคือ สร้างพอร์ตของคุณด้วยหุ้นที่ดีที่สุดที่ตลาดนำเสนอให้ และตัดขาดทุนให้เร็วที่สุดเมื่อรู้ว่าคิดผิด
Q: มีคุณสมบัติอื่นๆของหุ้นผู้ชนะอีกบ้างมั้ย?
A: มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อคือ หุ้นซิ่งมักจะถูกซื้อขายด้วย PE ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนที่มันจะเป็นผู้ชนะ
นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าซื้อหุ้น PE สูงๆ เขาชอบตัวที่อัตราส่วนต่ำๆ หลีกเลี่ยงตัวที่สูงเกินไป ทำให้เขาพลาดตัวที่วิ่งดีกว่าตลาดไปในที่สุด
การเทรดไม่ใช่วิทยาศาสตร์เพียว มีคนพยายามคิดสูตรเพื่อชนะตลาด แต่ผมบอกเลยว่าวิทยาศาสตร์อาจช่วยเพิ่มความน่าจะเป็น แต่คุณต้องเพิ่มศิลปะการเทรดเข้ามาด้วย ซึ่งแนวทางการชนะตลาดมีหลากหลายมาก คุณต้องพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวคุณเองให้ได้ ไม่ต้องรู้ว่าผมใช้สูตรอะไรหรอก คุณต้องหาให้ได้ว่าแบบไหนมันเหมาะกับนิสัยของคุณ ไม่ต้องลอก แต่ขอให้รู้แค่ว่าปรัชญาการเทรดของผมคืออะไร, หลักการ, เทคนิคบริหารเงินทุน แล้วเอาไปปรับใช้ลองใช้ให้เหมาะกับตัวคุณ แบบนี้ถึงจะเข้าท่า และมีประโยชน์มากกว่า
Q: ทำไมคุณถึงมองว่านักเทรดทั่วไปเสียเวลากับการเลือกหุ้นมากไป?
A: ผมคิดว่านักเทรดทั่วไปใช้เวลาในการค้นหากลยุทธ์ในการเข้าซื้อมากเกินไป แต่ไม่ให้ให้เวลาเรื่อการบริหารเงินทุนมากพอ
สมมุติว่าคุณเอารายชื่อหุ้นที่มีค่า Relative strength สูงกว่าค่าเฉลี่ยสองร้อยตัว มากางไว้ แล้วปาเป้าวันละสามดอกเพื่อเลือกหุ้นเล่น โดยตั้งเกณฑ์ว่าถ้าราคาหุ้นทำให้คุณขาดทุน 10% จะขายออกทันที ผมบอกเลยว่าคุณมีโอกาสทำเงินได้ เพราะคุณได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของหุ้นที่มีโอกาสชนะยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็สามารถลดการขาดทุนหนักของตัวเองได้ด้วย
นี่เป็นตัวอย่างที่ผมยกมาให้ดูแบบสุดขีดไปหน่อย
แต่พูดง่ายๆคือ ถ้าคุณเทรดแบบไม่มีกลยุทธ์ ในพอร์ตของคุณจะเต็มไปด้วยหุ้นที่ขาดทุนถึง 90%
ดังนั้น ให้คุณคิดใหม่ คือ ให้เลือกซื้อเฉพาะหุ้นที่มีโอกาสในการวิ่งขึ้นดีๆ ไกลๆ มันจะทำให้คุณมีโอกาสกำไรมากกว่า ถ้าซื้อแล้วมันไม่วิ่ง แต่ร่วงให้คุณขาดทุน 10% ก็ขายออก เอาไปเข้าหุ้นที่มีศักยภาพดีในการวิ่งขึ้นดีๆ ไกลๆ ตัวใหม่
Q: หลักการดู Relative Strength ของคุณคืออะไร?
A: แนวทางการใช้ค่านี้ของผมคือ ผมจะมองหาหุ้นที่สามารถยืนดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวมในช่วงที่ตลาดพักฐาน และมันจะเป็นตัวแรกๆที่ดีดขึ้นแรงหลังจากที่ตลาดฟื้นตัวกลับเป็นขาขึ้น พวกนี้คือ "หุ้นนำตลาด"
Q: ครั้งแรกๆที่คุณเล่นหุ้น แนวทางการเลือกเป็นยังไง?
A: ผมไม่มีหลักการอะไรเลย แค่ซื้อหุ้นที่เพิ่งทำจุดต่ำสุดใหม่ และซื้อตามคำแนะนำของโบรกเกอร์
มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของผม
ในช่วงปี 1980 โบรกเกอร์แนะให้ผมซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่า $20 จากนั้นมันก็ร่วงลงไป 4-5 จุด กังวลสิ จึงโทรไปขอคำปรึกษาจากโบรกเกอร์ เขาบอกว่าอย่าได้กังวล เพราะหุ้นตัวนั้นได้ลงไปอยู่ในช่วงลดราคา เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เพราะบริษัทเพิ่งได้พัฒนายาต้าน AIDS ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาของ PDA ให้ซื้อเพิ่มเพราะได้ราคาถูกลง
แต่ราคาหุ้นกลับร่วงลงแรงได้อีก แต่ผมก็ถัวจนหมดเงินไปแล้วตามคำแนะนำ ตอนจบของเรื่องนี้คือราคาหุ้นลงไปต่ำกว่า $1 ผมหมดตัวจากมัน
ผมเสียเงินให้กับหุ้นตัวเดียว 3-40,000 เหรียญ ซึ่งมันเป็นครึ่งหนึ่งของพอร์ตเลย
ที่แย่กว่านั้นคือ มันเป็นเงินที่ผมยืมเขามา
มันทำให้ผมรู้สึกจิตตกเป็นอย่างมาก ผมร้องให้แบบที่ไม่คยร้องหนักขนาดนั้นมาก่อน มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังไม่หมดศรัทธาต่อตลาดหุ้น เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นให้โอกาสทำเงินกับผมทุกวัน เพียงแค่ว่าผมต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นเพื่อระบุโอกาสนั้นให้ได้
นอกจากนี้ผมจะไม่ยอมเทรดตามความเห็นของคนอื่นอีก ถ้าผมเทรดตามแนวทางของตัวเอง ผมจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
Q: อะไรทำให้คุณยังคงเชื่อมั่นต่อตลาด?
A: มันเป็นบุคลิกของผมเอง ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดคือผมมี passion กับเกมการเทรด
ผมคิดว่านักเทรดส่วนใหญ่สามารถประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ถ้าเขามีความพยายามและให้เวลากับมันมากพอ
แต่ถ้าคุณอยากเป็นนักเทรดที่เก่งที่สุด คุณต้องมี passion กับมัน
คุณต้องรักการเทรด
ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้เป็นสุดยอดนักบาสเพราะเขาอยากเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าหรอกนะ แวนโก๊ะห์ก็ไม่ได้อยากเป็นจิตรกรเพราะอยากให้งานขายได้ในราคา 50 ล้านเหรียญหรอก
Q: คุณกำลังบอกว่า ความหลงไหลในตลาดหุ้นชักนำให้คุณเห็นโอกาสจากการเทรด?
A: เริ่มต้นผมถูกดึงดูดให้สนใจตลาดหุ้นเพราะเงิน แต่เมื่อได้เข้ามาเทรดจริง กลายเป็นว่าเงินเป็นเรื่องรอง
Q: แล้วอะไรเป็นเรื่องใหญ่?
A: ความท้าทายที่สุดของผมคือ การเป็นผู้ชนะ ผมอยากเป็นอันดับหนึ่งของอะไรสักอย่าง ผมอยากเป็นนักเทรดระดับสุดยอดของโลก ถ้าคุณสามารถเป็นคนระดับสุดยอดได้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป เพราะมันจะบินเข้ามาหาคุณทางหน้าต่างแบบง่ายๆ
Q: สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากการขาดทุนหนัก คืออะไรบ้าง?
A: ผมได้รู้ว่าไม่มีใครสามารถทำร้ายผมได้ นอกจากตัวผมเอง
โบรกเกอร์ของผมยังคงได้ค่าคอมฯแต่ผมหมดตัว
ตอนนี้ผมเชื่อหมดใจว่าการขาดทุนหมดตัวคือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นมือใหม่
Q: ดีที่สุด? ยังไง?
A: เพราะมันได้สอนให้ผมเคารพตลาดหุ้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้มากเท่าการหมดตัวอีกแล้ว
ปล. ยังไม่จบนะครับ ด้วยความที่พันทิพกำหนดให้กระทู้หนึ่งมีไม่เกิน 10,000 ตัวอักษร ผมจึงพิมพ์ได้เท่านี้
อยากอ่านที่เหลือ ไปที่ https://www.zyo71.com/2019/02/mark-minervini-stock-around-clock.html นะครับ
"ไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่ากับตัวคุณเอง
ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยได้ นอกจากตัวคุณเอง"
ให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง?
1. คุณคือผู้รับผิดชอบชีวิตทางการเงินและอนาคตของคุณเอง:
ไม่มีใคร จะใส่ใจหรือทุ่มเทให้กับเงินและอนาคตของคุณมากกว่าตัวคุณเอง
คุณ ต้องเป็นผู้ริเริ่ม วางแผน และลงมือด้วยตัวเอง
คุณ ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว
2. ความสำเร็จทางการเงินมาจากความพยายามของคุณ:
ไม่มีใคร สามารถทำให้คุณรวยได้โดยไม่ต้องลงแรง
คุณ ต้องเป็นผู้สร้างโอกาสและคว้ามันไว้
ความสำเร็จ เกิดขึ้นจากการทุ่มเท เรียนรู้ และลงมือทำ อย่างต่อเนื่อง
3. การเรียนรู้และเติบโต:
ประสบการณ์ ทั้งดีและร้าย ล้วนเป็นบทเรียนอันล้ำค่า
คุณ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด
พัฒนาตัวเอง อย่างต่อเนื่อง
แสวงหาความรู้ และโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
แนะนำแหล่งความรู้สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่
คอร์สหุ้นออนไลน์ฟรี https://www.zyo71.com/2021/11/free-full-trading-course-by-zyo.html
ผลงานของผม https://www.zyo71.com/p/blog-page.html
อ่านบทความฟรี คลังความรู้เกี่ยวกับการเทรด https://www.zyo71.com/p/index.html