ปี 2024 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีทองของนักลงทุนที่ถือทองคำเลยก็ว่าได้ โดยราคาพุ่งทะยานแตะถึง 2,800 ดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนใครที่ลงทุนแล้วถือยาวคงได้กำไรกันเต็มไม้เต็มมือ แต่คำถามคือ พอมาถึงปี 2025 นี้ ทองคำยังน่าลงทุนอยู่หรือเปล่า? ในช่วงเวลานี้ เราอาจจะต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในทองคำ ดังนี้
1. การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั่วโลก
ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงถือเป็นผู้เล่นหลักที่ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน ปีที่แล้วธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำมากขึ้นถึงปีที่ 17 ติดต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์สำรองสำคัญในมุมมองของผู้กำหนดนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ ธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนา ยังคงเพิ่มการสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีบทบาทลดลง ทำให้นักลงทุนรายย่อยอย่างเรา ๆ ควรจับตาแนวทางของธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ให้ดี เพราะอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในปีนี้
2. การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ
แนวโน้มของทองคำมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้าม และในปัจจุบันที่ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการกำหนดราคา ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น
ในปี 2025 เราจะเจอปัจจัยใหม่ที่เข้ามาเสริม อย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและนโยบายการเงินโดยตรง ตัวอย่างเช่น หากนโยบายของประธานาธิบดีที่ชนะการเลือกตั้งมีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ราคาทองค่าสูงขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง ราคาทองคำก็อาจถูกกดดันได้เช่นกัน
3. พฤติกรรมราคาทองคำ
ถ้ามองย้อนกลับไปในปี 2024 จะเห็นว่าราคาทองคำปรับตัวขึ้นแบบต่อเนื่อง แถมทำจุดสูงสุดใหม่ได้ถึง 40 ครั้ง แต่ช่วงสิ้นปี ราคาทองค่าเริ่มมีการปรับฐานและเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นช่วงพักตัว
ตอนนี้ราคาทองคำอยู่ในจุดที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะดูเหมือนว่าทองคำกำลังอยู่ในช่วงเลือกทิศทางว่าจะขึ้นต่อหรือปรับฐานลง ถ้าราคาได้รับแรงสนับสนุนที่ดี ก็มีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง
แต่การเปลี่ยนทิศทางของราคาทองคำมักต้องอาศัยปัจจัยเร่ง เช่น เหตุการณ์สำคัญในตลาดหรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เราเลยต้องติดตามข่าวสารและสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างละเอียด
ตัวอย่างที่น่าสนใจจากรายงาน EBC Gold Yearbook คือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดหาทองคำครั้งที่สอง ต้นทุนการขุดทอง หรือแม้กระทั่งตำแหน่งการลงทุนของสถาบันใหญ่ ๆ ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
4. การเลือกโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำ
นอกจากการจับตาราคาทองค่า การเลือกโบรกเกอร์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะต้นทุนในการเทรด เช่น สเปรด หรือดอกเบี้ยข้ามคืน มีผลโดยตรงต่อกำไรของเรา
ตัวอย่างเช่น สเปรดเฉลี่ยในตลาดอยู่ที่ประมาณ 2.8-3.2 (เทรด 1 lot คิดเป็นต้นทุนประมาณ 28-32 ดอลลาร์) ในขณะที่ดอกเบี้ยข้ามคืนเฉลี่ยอยู่ที่ 18-24 ดอลลาร์ หากเทรดกับโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าก็จะช่วยลดต้นทุนได้มาก
อย่างเช่น โบรกเกอร์ EBC สเปรดทองคำอยู่ที่ประมาณ 1.6-2.1 และดอกเบี้ยข้ามคืนเฉลี่ยเพียง 10.8-12.3 ซึ่งถือว่าประหยัดไปได้เยอะ ใครที่กำลังมองหาโบรกเกอร์ใหม่ ลองเปรียบเทียมตัวเลือกดูค่ะ
ปล. ใครสนใจอ่านรายงาน EBC Gold Yearbook สามารถโหลดฟรีได้ที่
https://ebcfinsolutions.net/goldyearbook/en/
เพื่อน ๆ คิดว่าแนวโน้มทองคำปีนี้จะไปทางไหนกันคะ หรือมีความคิดเห็นหรือกลยุทธ์อะไรเกี่ยวกับการลงทุนทองค่าในปี 2025 นี้บ้าง มาแชร์กันได้นะคะ
คาดการณ์แนวโน้มทองคำในปี 2025 และกลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุน
1. การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั่วโลก
ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงถือเป็นผู้เล่นหลักที่ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน ปีที่แล้วธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำมากขึ้นถึงปีที่ 17 ติดต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์สำรองสำคัญในมุมมองของผู้กำหนดนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ ธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนา ยังคงเพิ่มการสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีบทบาทลดลง ทำให้นักลงทุนรายย่อยอย่างเรา ๆ ควรจับตาแนวทางของธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ให้ดี เพราะอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในปีนี้
2. การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ
แนวโน้มของทองคำมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้าม และในปัจจุบันที่ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการกำหนดราคา ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น
ในปี 2025 เราจะเจอปัจจัยใหม่ที่เข้ามาเสริม อย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและนโยบายการเงินโดยตรง ตัวอย่างเช่น หากนโยบายของประธานาธิบดีที่ชนะการเลือกตั้งมีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ราคาทองค่าสูงขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง ราคาทองคำก็อาจถูกกดดันได้เช่นกัน
3. พฤติกรรมราคาทองคำ
ถ้ามองย้อนกลับไปในปี 2024 จะเห็นว่าราคาทองคำปรับตัวขึ้นแบบต่อเนื่อง แถมทำจุดสูงสุดใหม่ได้ถึง 40 ครั้ง แต่ช่วงสิ้นปี ราคาทองค่าเริ่มมีการปรับฐานและเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นช่วงพักตัว
ตอนนี้ราคาทองคำอยู่ในจุดที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะดูเหมือนว่าทองคำกำลังอยู่ในช่วงเลือกทิศทางว่าจะขึ้นต่อหรือปรับฐานลง ถ้าราคาได้รับแรงสนับสนุนที่ดี ก็มีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง
แต่การเปลี่ยนทิศทางของราคาทองคำมักต้องอาศัยปัจจัยเร่ง เช่น เหตุการณ์สำคัญในตลาดหรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เราเลยต้องติดตามข่าวสารและสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างละเอียด
ตัวอย่างที่น่าสนใจจากรายงาน EBC Gold Yearbook คือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดหาทองคำครั้งที่สอง ต้นทุนการขุดทอง หรือแม้กระทั่งตำแหน่งการลงทุนของสถาบันใหญ่ ๆ ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
4. การเลือกโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำ
นอกจากการจับตาราคาทองค่า การเลือกโบรกเกอร์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะต้นทุนในการเทรด เช่น สเปรด หรือดอกเบี้ยข้ามคืน มีผลโดยตรงต่อกำไรของเรา
ตัวอย่างเช่น สเปรดเฉลี่ยในตลาดอยู่ที่ประมาณ 2.8-3.2 (เทรด 1 lot คิดเป็นต้นทุนประมาณ 28-32 ดอลลาร์) ในขณะที่ดอกเบี้ยข้ามคืนเฉลี่ยอยู่ที่ 18-24 ดอลลาร์ หากเทรดกับโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าก็จะช่วยลดต้นทุนได้มาก
อย่างเช่น โบรกเกอร์ EBC สเปรดทองคำอยู่ที่ประมาณ 1.6-2.1 และดอกเบี้ยข้ามคืนเฉลี่ยเพียง 10.8-12.3 ซึ่งถือว่าประหยัดไปได้เยอะ ใครที่กำลังมองหาโบรกเกอร์ใหม่ ลองเปรียบเทียมตัวเลือกดูค่ะ
ปล. ใครสนใจอ่านรายงาน EBC Gold Yearbook สามารถโหลดฟรีได้ที่https://ebcfinsolutions.net/goldyearbook/en/
เพื่อน ๆ คิดว่าแนวโน้มทองคำปีนี้จะไปทางไหนกันคะ หรือมีความคิดเห็นหรือกลยุทธ์อะไรเกี่ยวกับการลงทุนทองค่าในปี 2025 นี้บ้าง มาแชร์กันได้นะคะ