เปิดตัวเลข ส.ว.ได้ไปต่อ สู่การเลือกระดับจังหวัด 23,645 ราย จากผู้สมัคร 46,206 ราย
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4619385
เปิดตัวเลขผู้ผ่านการเลือก ส.ว.อำเภอเข้าสู่การเลือกระดับจังหวัด 23,645 ราย จากผู้สมัครทั้งหมด 46,206 ราย นอกนั้นหลุดจากขั้นตอนตรวจคุณสมบัติ – เพิกถอนชื่อ -ไม่มารายงานตัว และไม่ถูกเลือก
เมื่อวันที่10 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ระดับอำเภอทั่วประเทศ ในวันนี้มียอดจำนวนผู้สมัคร ส.ว.ที่คุณสมบัติผ่านตามที่กฎหมายกำหนดจำนวน 46,206 ราย เป็นชาย 26,727 ราย เป็นหญิง 19,479 ราย
ทั้งนึ้มีจำนวนผู้มีสิทธิเข้ากระบวนการเลือก หลังการเพิ่มชื่อ ถอนชื่อแล้ว จำนวน 45,753 ราย เป็นชาย 26,436 ราย เป็นหญิง 19,317 ราย
และในการเลือกระดับอำเภอ ตามเวลาที่ผู้อำนวยการเลือกให้มาถึงสถานที่เลือกตามเวลากำหนด มีจำนวนผู้มารายงานตัวรอบแรก จำนวน 43,818 ราย เป็นชาย 25,459 ราย เป็นหญิง 18,359 ราย
เมื่อผ่านการเลือกระดับอำเภอ มีจำนวนผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ รอบแรก จำนวน 32,190 ราย เป็นชาย 19,754 ราย เป็นหญิง 12,436 ราย และเมื่อผ่านการเลือกรอบที่สอง ซึ่งเป็นการเลือกไขว้ มีจำนวนผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัด จำนวน 23,645 ราย เป็นชาย 15,077 ราย เป็นหญิง 8,568 ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จำนวนผู้ได้รับเลือกจากระดับอำเภอ ไประดับจังหวัด แยกเป็นรายกลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง จำนวน 1,332 ราย กลุ่มที่ 2 กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จำนวน 1,171 ราย กลุ่มที่ 3 กลุ่มการศึกษา จำนวน 1,975 ราย กลุ่มที่ 4 กลุ่มการสาธารณสุข จำนวน 1,024 ราย
กลุ่มที่ 5 กลุ่มอาชีพทำนา จำนวน 1,460 ราย กลุ่มที่ 6 กลุ่มอาชีพทำสวน จำนวน 1,565 ราย กลุ่มที่ 7 กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างของบุคคลซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ จำนวน 1,261 ราย
กลุ่มที่ 8 กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม จำนวน 765 ราย กลุ่มที่ 9 กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 1,057 ราย กลุ่มที่ 10 กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่น จำนวน 808 ราย
กลุ่มที่ 11 กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว จำนวน 707 ราย กลุ่มที่ 12 กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม จำนวน 443 ราย กลุ่มที่ 13 กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ จำนวน 671 ราย
กลุ่มที่ 14 กลุ่มสตรี จำนวน 1,800 ราย
กลุ่มที่ 15 กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น จำนวน 1,987 ราย กลุ่มที่ 16 กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา จำนวน 1,103 ราย
กลุ่มที่ 17 กลุ่มประชาสังคม กลุ่มองค์กรสาธารณประโยชน์ จำนวน 1,163 ราย กลุ่มที่ 18 กลุ่มสื่อสารมวลชน จำนวน 616 ราย กลุ่มที่ 19 กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 1,465 ราย และ กลุ่มที่ 20 กลุ่มอื่น ๆ จำนวน 1,275 ราย รวมทั้งหมด จำนวน 23,645 ราย
โดยวันนี้ สำนักงาน กกต. จะรันหมายเลขผู้สมัครใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการเลือกตั้งระดับจังหวัด เมื่อแล้วเสร็จก็จะเผยแพร่รายชื่อผ่านทางเว็บไซต์และapplication smart word ในวันถัดไป
แฉกลโกงเลือก สว. เมืองสามหมอก นักการเมืองจ้าง 2,500 ลงสมัคร เลือกคนของตน เข้าสู่สภาสูง.
https://www.khaosod.co.th/politics/news_8278619
แฉกลโกงเลือก สว. เมืองสามหมอก นักการเมือง จ้าง 2,500 คนลงสมัคร เลือกคนของตน เข้าสู่สภาสูง หวังหนุนขั้วการเมืองสายตนเองสมใจนึก เชื่อชูคอสลอนเกิน 70 เปอร์เซ็นต์
10 มิ.ย. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ ที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน พบกลโกงของนักการเมืองระดับประเทศ ด้วยการจ้างคนของตัวเองลงสมัคร เพื่อให้เลือกคนของนักการเมือง ที่วางตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว
และคาดว่า จะมีการส่งคนลงสมัครเพื่อเลือกคนของนักการเมืองทุกอำเภอ งานนี้ฟันธงได้เลยว่า ที่นั่งในสภาสูง จะมีแต่คนของนักการเมืองเข้าไปนั่งชูคอสลอนไม่ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
กลโกงที่ว่าก็คือ มีผู้สมัครรายหนึ่ง ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีคนของนักการเมืองระดับประเทศรายหนึ่งของแม่ฮ่องสอน ได้มีการทาบทามจ้างคนลงสมัคร สว. โดยจ่ายเงินให้หัวละ 5,000 บาท โดยรวมไปถึงค่าสมัครด้วย หมายถึงค่าสมัคร ลงรับเลือกตั้ง สว. คนละ 2,500 บาท หักค่าถ่ายรูปอีก คนละ 400 บาท นักรบรับจ้างเหล่านั้นจะได้เงินเข้ากระเป๋าจำนวน 2,100 บาท รวมไปถึงถ้างานสำเร็จได้มีการรับปากว่า จะพาไปเที่ยวทะเลอีกด้วย
นักการเมืองเหล่านี้จะมีการส่งคนของตัวเองลงสมัครในแทบทุกสาขาอาชีพ ทั้งนี้ระเบียบของ กกต.ในการเลือกตั้ง สว.คือ ในรอบแรก ให้ผู้สมัครเลือกตนเองได้ 1 คะแนน และเลือกคนอื่นได้อีก 1 คะแนน แต่ถ้าหากผู้สมัครในสาขานั้น ๆ ไม่เกิน 5 คน ก็ไม่ต้องเลือกและผ่านเข้ารอบ 2 คือเลือกไว้กันในสายเดียวกัน
ซึ่งทาง กกต. ได้มีการวางระเบียบไว้อย่างแน่นหนา แต่ พวกนักการเมือง รู้ทันจึงวางคนไว้ทุกสาขาอาชีพ ถึงแม้จะมีการจับฉลากแบ่งสาย ก็ยังมีคนของนักการเมืองอยู่ในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งมีอยู่ 20 กลุ่ม โดยมีการสั่งให้คนเหล่านั้นที่ถูกจ้างมาให้เลือกคนของนักการเมืองเท่านั้น และไม่ต้องเลือกตัวเอง ทั้งพบว่า ในวันเลือกตั้งเมื่อ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในสายเดียวกัน มีกลุ่มอาชีพกลุ่มหนึ่ง เทคะแนนให้กับผู้สมัครรายหนึ่ง ที่อยู่ต่างสาขาอาชีพถึง 5 คะแนนเลยทีเดียว
เมื่อถึงตอนเลือกตั้งไขว้ในสายเดียวกัน กกต.ได้มีการวางระเบียบไว้ว่า ทุกคนสามารถเลือกผู้สมัครคนอื่นได้ 4 คน ยกเว้นตัวเอง ดังนั้น เมื่อมีการจับคู่ของผู้สมัคร ทุกคนจะได้คะแนนเท่ากันหมด คือได้คนละ 4 คะแนน เมื่อได้คะแนนเท่ากัน ทุกคนก็จะมีการจับฉลากเพื่อคัดเอาคนที่ผ่าน รวมรอบระดับอำเภอไม่เกิน 3 คน เพื่อเข้ารอบไปสู่การเลือกระดับจังหวัด
ซึ่งในการเลือกตั้งระดับอำเภอของอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน พบว่า มีผู้สมัครหลายราย มีคะแนนเกิน 4 คะแนน บางรายสูงผิดปกติ ถามว่าคะแนนที่เกินมาได้มาจากไหน ถ้าไม่มีคนของตนเองส่งเข้าไปในกลุ่มนั้นๆ
ทั้งนี้ ผู้ที่มาลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในครั้งนี้ ได้พบว่า ไม่ง่ายอย่างที่คิด จากการสังเกตุที่คณะกรรมการการเลือก สมาชิกวุฒิสภา ให้เวลาผู้สมัครแนะนำตัวเอง เพื่อให้แต่ละท่านได้รู้จัก เพื่อที่จะได้ลงคะแนนรับเลือกนั้น ปรากฎว่า บางกลุ่มไม่ได้สนใจในการที่จะไปแนะนำตัว นั่งอยู่กับที่นั่งจนถึงเวลาเลือก
ซึ่งทางคณะกรรมการการเลือก ให้ทุกคนสามารถที่จะจดบันทึกหมายเลขที่จะเลือกเข้าคูหาการเลือกได้ บางกลุ่มจะมีหัวหน้าทีมในกลุ่มเขียนโพยให้ อยู่แล้วจึงไม่ได้สนใจ และเวลาเราเข้าไปแนะนำตัว ก็จะไม่ค่อยจะพูด และรับปากส่งเดชว่า จะลงให้ท้ายที่สุดเวลานับคะแนนมาเรากลับไม่ได้คะแนนจากกลุ่มเขาเลยแม้แต่คะแนนเดียว
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งจากนักการเมือง ไม่ใช่แค่ที่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น หลายจังหวัดน่าจะเจอปัญหาแบบเดียวกัน แต่พูดอะไรไม่ได้ เนื่องจาก กกต. ไม่จัดการแบบจริง ๆ จัง ๆ ได้แต่เพียงบอกว่า ไม่มีใครมากร้องเรียน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ หรือ ปล่อยให้พรรคการเมือง มาครอบงำ
บุกทำเนียบร้องนายกฯพรุ่งนี้ สิบล้อไม่ทน ดีเซลแพง
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_730007/
สร้างความกังวลให้กับเศรษฐกิจไทยอยู่ไม่น้อยกับราคาน้ำมัน “ดีเซล” ที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะกั๊กไว้ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตรก็ตาม
ล่าสุด สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย นัดระดมพลครั้งใหญ่บุกทำเนียบรัฐบาล 11 มิถุนายน 2567จี้ถามนายกรัฐมนตรี “นาย
เศรษฐา ทวีสิน” ถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง พร้อมเรียกร้องให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาท/ลิตร
โดย
“นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง” ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ที่ครั้งหนึ่งนั้น เขาคือผู้นำทัพสิงห์รถบรรทุก บุกกระทรวงพลังงานขับไล่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ในสมัยรัฐบาลนายกฯลุงตู่ออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงได้ ซึ่ง “นายอภิชาติ” กล่าวกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่าการไปทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีรู้ว่าผู้ประกอบการเดือดร้อนจากราคาน้ำมันดีเซลที่ทะลุ 30 บาทซึ่งที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือถือถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว 3 ครั้ง แต่ก็ไม่มีคำตอบเรื่องการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง
“นาย
อภิชาติ” กล่าวอีกว่า สุดท้ายแล้ว ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงไม่ได้ทางผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องขึ้นค่าขนส่ง 9% ตามที่ราคาน้ำมันดีเซลขึ้นมา 3 บาทแตะ 33 บาทแล้วถ้าราคาน้ำมันดีเซลทะลุ 33 บาท ขึ้นไปที่ 35 บาท ค่าขนส่งก็จะปรับขึ้น 15% และเมื่อถามว่า ณ วันนี้เชื่อมือรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและราคาน้ำมันแพงหรือไม่ “นายอภิชาติ” กล่าวว่า ไม่เชื่อแล้ว
“นาย
อภิชาติ” กล่าวอีกว่า ปัจจุบันแม้ไม่มีการปรับราคาค่าขนส่งขึ้น งานยังไม่มีซึ่งวันนี้ได้รับรายงานจากสมาชิกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคเหนือ ว่า ต้องนำรถคืนให้กับไฟแนนซ์ไปร่วม 1,000 คัน เพราะรับภาระต้นทุนไม่ไหว
ขณะที่ราคาน้ำมันขายปลีก ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2567 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องถิ่นของปตท. พบว่า
ดีเซล อยู่ที่ลิตรละ 32.94 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 37.35 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 36.98 บาท
E20 อยู่ที่ลิตรละ 35.24 บาท
E85 อยู่ที่ลิตรละ 34.99 บาท
เบนซิน อยู่ที่ลิตรละ 45.24 บาท
จากนี้ต่อไป จะต้องจับตาท่าทีของรัฐบาลในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงอย่างใกล้ชิดเพราะทั้งหมดนี้ เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ที่ในวันนี้ต้องเผชิญกับค่าครองชีพสูงซึ่งถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ เชื่อแน่ว่า คำกล่าวที่ว่า “
แพง จน พัง ทั้งแผ่นดิน” ที่เคยกล่าวไว้ในช่วงพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ก็จะกลับมาหลอกหลอนในยุคที่ตนเองเป็นรัฐบาลนั่นเอง
JJNY : เปิดตัวเลข ส.ว.ได้ไปต่อ สู่การเลือกระดับจังหวัด│แฉกลโกงเลือกสว.│บุกทำเนียบร้อง สิบล้อไม่ทน ดีเซลแพง│“มาครง”ยุบสภา
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4619385
เปิดตัวเลขผู้ผ่านการเลือก ส.ว.อำเภอเข้าสู่การเลือกระดับจังหวัด 23,645 ราย จากผู้สมัครทั้งหมด 46,206 ราย นอกนั้นหลุดจากขั้นตอนตรวจคุณสมบัติ – เพิกถอนชื่อ -ไม่มารายงานตัว และไม่ถูกเลือก
เมื่อวันที่10 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ระดับอำเภอทั่วประเทศ ในวันนี้มียอดจำนวนผู้สมัคร ส.ว.ที่คุณสมบัติผ่านตามที่กฎหมายกำหนดจำนวน 46,206 ราย เป็นชาย 26,727 ราย เป็นหญิง 19,479 ราย
ทั้งนึ้มีจำนวนผู้มีสิทธิเข้ากระบวนการเลือก หลังการเพิ่มชื่อ ถอนชื่อแล้ว จำนวน 45,753 ราย เป็นชาย 26,436 ราย เป็นหญิง 19,317 ราย
และในการเลือกระดับอำเภอ ตามเวลาที่ผู้อำนวยการเลือกให้มาถึงสถานที่เลือกตามเวลากำหนด มีจำนวนผู้มารายงานตัวรอบแรก จำนวน 43,818 ราย เป็นชาย 25,459 ราย เป็นหญิง 18,359 ราย
เมื่อผ่านการเลือกระดับอำเภอ มีจำนวนผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอ รอบแรก จำนวน 32,190 ราย เป็นชาย 19,754 ราย เป็นหญิง 12,436 ราย และเมื่อผ่านการเลือกรอบที่สอง ซึ่งเป็นการเลือกไขว้ มีจำนวนผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัด จำนวน 23,645 ราย เป็นชาย 15,077 ราย เป็นหญิง 8,568 ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จำนวนผู้ได้รับเลือกจากระดับอำเภอ ไประดับจังหวัด แยกเป็นรายกลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง จำนวน 1,332 ราย กลุ่มที่ 2 กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จำนวน 1,171 ราย กลุ่มที่ 3 กลุ่มการศึกษา จำนวน 1,975 ราย กลุ่มที่ 4 กลุ่มการสาธารณสุข จำนวน 1,024 ราย
กลุ่มที่ 5 กลุ่มอาชีพทำนา จำนวน 1,460 ราย กลุ่มที่ 6 กลุ่มอาชีพทำสวน จำนวน 1,565 ราย กลุ่มที่ 7 กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างของบุคคลซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ จำนวน 1,261 ราย
กลุ่มที่ 8 กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม จำนวน 765 ราย กลุ่มที่ 9 กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 1,057 ราย กลุ่มที่ 10 กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่น จำนวน 808 ราย
กลุ่มที่ 11 กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว จำนวน 707 ราย กลุ่มที่ 12 กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม จำนวน 443 ราย กลุ่มที่ 13 กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ จำนวน 671 ราย
กลุ่มที่ 14 กลุ่มสตรี จำนวน 1,800 ราย
กลุ่มที่ 15 กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น จำนวน 1,987 ราย กลุ่มที่ 16 กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา จำนวน 1,103 ราย
กลุ่มที่ 17 กลุ่มประชาสังคม กลุ่มองค์กรสาธารณประโยชน์ จำนวน 1,163 ราย กลุ่มที่ 18 กลุ่มสื่อสารมวลชน จำนวน 616 ราย กลุ่มที่ 19 กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 1,465 ราย และ กลุ่มที่ 20 กลุ่มอื่น ๆ จำนวน 1,275 ราย รวมทั้งหมด จำนวน 23,645 ราย
โดยวันนี้ สำนักงาน กกต. จะรันหมายเลขผู้สมัครใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการเลือกตั้งระดับจังหวัด เมื่อแล้วเสร็จก็จะเผยแพร่รายชื่อผ่านทางเว็บไซต์และapplication smart word ในวันถัดไป
แฉกลโกงเลือก สว. เมืองสามหมอก นักการเมืองจ้าง 2,500 ลงสมัคร เลือกคนของตน เข้าสู่สภาสูง.
https://www.khaosod.co.th/politics/news_8278619
แฉกลโกงเลือก สว. เมืองสามหมอก นักการเมือง จ้าง 2,500 คนลงสมัคร เลือกคนของตน เข้าสู่สภาสูง หวังหนุนขั้วการเมืองสายตนเองสมใจนึก เชื่อชูคอสลอนเกิน 70 เปอร์เซ็นต์
10 มิ.ย. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ ที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน พบกลโกงของนักการเมืองระดับประเทศ ด้วยการจ้างคนของตัวเองลงสมัคร เพื่อให้เลือกคนของนักการเมือง ที่วางตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว
และคาดว่า จะมีการส่งคนลงสมัครเพื่อเลือกคนของนักการเมืองทุกอำเภอ งานนี้ฟันธงได้เลยว่า ที่นั่งในสภาสูง จะมีแต่คนของนักการเมืองเข้าไปนั่งชูคอสลอนไม่ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
กลโกงที่ว่าก็คือ มีผู้สมัครรายหนึ่ง ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีคนของนักการเมืองระดับประเทศรายหนึ่งของแม่ฮ่องสอน ได้มีการทาบทามจ้างคนลงสมัคร สว. โดยจ่ายเงินให้หัวละ 5,000 บาท โดยรวมไปถึงค่าสมัครด้วย หมายถึงค่าสมัคร ลงรับเลือกตั้ง สว. คนละ 2,500 บาท หักค่าถ่ายรูปอีก คนละ 400 บาท นักรบรับจ้างเหล่านั้นจะได้เงินเข้ากระเป๋าจำนวน 2,100 บาท รวมไปถึงถ้างานสำเร็จได้มีการรับปากว่า จะพาไปเที่ยวทะเลอีกด้วย
นักการเมืองเหล่านี้จะมีการส่งคนของตัวเองลงสมัครในแทบทุกสาขาอาชีพ ทั้งนี้ระเบียบของ กกต.ในการเลือกตั้ง สว.คือ ในรอบแรก ให้ผู้สมัครเลือกตนเองได้ 1 คะแนน และเลือกคนอื่นได้อีก 1 คะแนน แต่ถ้าหากผู้สมัครในสาขานั้น ๆ ไม่เกิน 5 คน ก็ไม่ต้องเลือกและผ่านเข้ารอบ 2 คือเลือกไว้กันในสายเดียวกัน
ซึ่งทาง กกต. ได้มีการวางระเบียบไว้อย่างแน่นหนา แต่ พวกนักการเมือง รู้ทันจึงวางคนไว้ทุกสาขาอาชีพ ถึงแม้จะมีการจับฉลากแบ่งสาย ก็ยังมีคนของนักการเมืองอยู่ในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งมีอยู่ 20 กลุ่ม โดยมีการสั่งให้คนเหล่านั้นที่ถูกจ้างมาให้เลือกคนของนักการเมืองเท่านั้น และไม่ต้องเลือกตัวเอง ทั้งพบว่า ในวันเลือกตั้งเมื่อ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในสายเดียวกัน มีกลุ่มอาชีพกลุ่มหนึ่ง เทคะแนนให้กับผู้สมัครรายหนึ่ง ที่อยู่ต่างสาขาอาชีพถึง 5 คะแนนเลยทีเดียว
เมื่อถึงตอนเลือกตั้งไขว้ในสายเดียวกัน กกต.ได้มีการวางระเบียบไว้ว่า ทุกคนสามารถเลือกผู้สมัครคนอื่นได้ 4 คน ยกเว้นตัวเอง ดังนั้น เมื่อมีการจับคู่ของผู้สมัคร ทุกคนจะได้คะแนนเท่ากันหมด คือได้คนละ 4 คะแนน เมื่อได้คะแนนเท่ากัน ทุกคนก็จะมีการจับฉลากเพื่อคัดเอาคนที่ผ่าน รวมรอบระดับอำเภอไม่เกิน 3 คน เพื่อเข้ารอบไปสู่การเลือกระดับจังหวัด
ซึ่งในการเลือกตั้งระดับอำเภอของอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน พบว่า มีผู้สมัครหลายราย มีคะแนนเกิน 4 คะแนน บางรายสูงผิดปกติ ถามว่าคะแนนที่เกินมาได้มาจากไหน ถ้าไม่มีคนของตนเองส่งเข้าไปในกลุ่มนั้นๆ
ทั้งนี้ ผู้ที่มาลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในครั้งนี้ ได้พบว่า ไม่ง่ายอย่างที่คิด จากการสังเกตุที่คณะกรรมการการเลือก สมาชิกวุฒิสภา ให้เวลาผู้สมัครแนะนำตัวเอง เพื่อให้แต่ละท่านได้รู้จัก เพื่อที่จะได้ลงคะแนนรับเลือกนั้น ปรากฎว่า บางกลุ่มไม่ได้สนใจในการที่จะไปแนะนำตัว นั่งอยู่กับที่นั่งจนถึงเวลาเลือก
ซึ่งทางคณะกรรมการการเลือก ให้ทุกคนสามารถที่จะจดบันทึกหมายเลขที่จะเลือกเข้าคูหาการเลือกได้ บางกลุ่มจะมีหัวหน้าทีมในกลุ่มเขียนโพยให้ อยู่แล้วจึงไม่ได้สนใจ และเวลาเราเข้าไปแนะนำตัว ก็จะไม่ค่อยจะพูด และรับปากส่งเดชว่า จะลงให้ท้ายที่สุดเวลานับคะแนนมาเรากลับไม่ได้คะแนนจากกลุ่มเขาเลยแม้แต่คะแนนเดียว
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งจากนักการเมือง ไม่ใช่แค่ที่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น หลายจังหวัดน่าจะเจอปัญหาแบบเดียวกัน แต่พูดอะไรไม่ได้ เนื่องจาก กกต. ไม่จัดการแบบจริง ๆ จัง ๆ ได้แต่เพียงบอกว่า ไม่มีใครมากร้องเรียน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ หรือ ปล่อยให้พรรคการเมือง มาครอบงำ
บุกทำเนียบร้องนายกฯพรุ่งนี้ สิบล้อไม่ทน ดีเซลแพง
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_730007/
สร้างความกังวลให้กับเศรษฐกิจไทยอยู่ไม่น้อยกับราคาน้ำมัน “ดีเซล” ที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะกั๊กไว้ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตรก็ตาม
ล่าสุด สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย นัดระดมพลครั้งใหญ่บุกทำเนียบรัฐบาล 11 มิถุนายน 2567จี้ถามนายกรัฐมนตรี “นายเศรษฐา ทวีสิน” ถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง พร้อมเรียกร้องให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาท/ลิตร
โดย “นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง” ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ที่ครั้งหนึ่งนั้น เขาคือผู้นำทัพสิงห์รถบรรทุก บุกกระทรวงพลังงานขับไล่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ในสมัยรัฐบาลนายกฯลุงตู่ออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงได้ ซึ่ง “นายอภิชาติ” กล่าวกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่าการไปทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีรู้ว่าผู้ประกอบการเดือดร้อนจากราคาน้ำมันดีเซลที่ทะลุ 30 บาทซึ่งที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือถือถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว 3 ครั้ง แต่ก็ไม่มีคำตอบเรื่องการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง
“นายอภิชาติ” กล่าวอีกว่า สุดท้ายแล้ว ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงไม่ได้ทางผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องขึ้นค่าขนส่ง 9% ตามที่ราคาน้ำมันดีเซลขึ้นมา 3 บาทแตะ 33 บาทแล้วถ้าราคาน้ำมันดีเซลทะลุ 33 บาท ขึ้นไปที่ 35 บาท ค่าขนส่งก็จะปรับขึ้น 15% และเมื่อถามว่า ณ วันนี้เชื่อมือรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและราคาน้ำมันแพงหรือไม่ “นายอภิชาติ” กล่าวว่า ไม่เชื่อแล้ว
“นายอภิชาติ” กล่าวอีกว่า ปัจจุบันแม้ไม่มีการปรับราคาค่าขนส่งขึ้น งานยังไม่มีซึ่งวันนี้ได้รับรายงานจากสมาชิกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคเหนือ ว่า ต้องนำรถคืนให้กับไฟแนนซ์ไปร่วม 1,000 คัน เพราะรับภาระต้นทุนไม่ไหว
ขณะที่ราคาน้ำมันขายปลีก ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2567 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องถิ่นของปตท. พบว่า
ดีเซล อยู่ที่ลิตรละ 32.94 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 37.35 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 36.98 บาท
E20 อยู่ที่ลิตรละ 35.24 บาท
E85 อยู่ที่ลิตรละ 34.99 บาท
เบนซิน อยู่ที่ลิตรละ 45.24 บาท
จากนี้ต่อไป จะต้องจับตาท่าทีของรัฐบาลในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงอย่างใกล้ชิดเพราะทั้งหมดนี้ เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ที่ในวันนี้ต้องเผชิญกับค่าครองชีพสูงซึ่งถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ เชื่อแน่ว่า คำกล่าวที่ว่า “แพง จน พัง ทั้งแผ่นดิน” ที่เคยกล่าวไว้ในช่วงพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ก็จะกลับมาหลอกหลอนในยุคที่ตนเองเป็นรัฐบาลนั่นเอง