ลำพองตนว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก จะปฏิบัติให้สำเร็จพระอรหันต์เมื่อไรก็ได้

#พระมหาสิวะผู้ทรงพระไตรปิฎก
#เจริญสมาธิ๓๐ปี
#เดินจงกรมจนส้นเท้าแตก
#แต่ก็ยังไม่บรรลุธรรม
#จึงร้องไห้คร่ำครวญ

พระเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกองค์หนึ่ง นามว่า “พระมหาสิวะ” เป็นผู้ยอดเยี่ยมทางด้านปริยัติมาก พระไตรปิฎกทุกตัวอักษรจำได้หมด สอนพระลูกศิษย์ถึง ๑๘ หมู่ใหญ่ เป็นจำนวนมากถึง ๓๐,๐๐๐ คน บรรดาพระลูกศิษย์เมื่อได้รับการถ่ายทอดธรรมะจากท่านแล้ว ต่างก็ปลีกตัวออกไปเจริญวิปัสสนา ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทุกองค์

ต่อมาพระลูกศิษย์ที่สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ได้เล็งญาณมาที่พระอาจารย์ของตน ก็พบความจริงว่าพระมหาสิวะยังมิได้สำเร็จมรรคผลอะไรเลย ทำตัวเหมือนดังแผ่นกระดานให้คนอื่นเหยียบย่ำ ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับตัวเอง พึงพอใจอยู่กับการแสดงธรรมะให้คนอื่นรับฟังเท่านั้น

พระลูกศิษย์จึงเหาะมาหา แต่ไม่ให้พระอาจารย์เห็น ในขณะนั้นท่านกำลังแสดงธรรมะอยู่ หวังจะเข้าไปกราบและสอบถามปัญหาธรรมะ เพื่อเตือนสติ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่ว่างและไม่เปิดโอกาสให้สอบถามปัญหา เมื่อไม่ได้รับโอกาส พระลูกศิษย์จึงจำใจต้องกราบลา โดยเหาะกลับไปให้พระอาจารย์เห็น

เมื่อเห็นเช่นนั้น พระมหาสิวะก็รู้ว่าพระลูกศิษย์องค์นี้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ประสงค์จะมาเตือนสติให้ท่านย้อนมาปฏิบัติ เพื่อจักสำเร็จมรรคผลบ้าง ท่านก็ลำพองตนว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก จะปฏิบัติให้สำเร็จพระอรหันต์เมื่อไรก็ได้ ไม่ใช่เรื่องยาก สอนให้คนอื่นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ ตัวเองก็ต้องทำได้เช่นกัน ขอเวลาแค่ ๓ วันเท่านั้น จะปฏิบัติให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เหมือนพระลูกศิษย์ให้ได้

พระมหาสิวะจึงเริ่มต้นปฏิบัติ หมายมั่นให้บรรลุมรรคผลภายใน ๓ วันให้จงได้ ตามแนวทางที่สั่งสอนพระลูกศิษย์มานับไม่ถ้วน ปรากฏว่า ๓ วันผ่านไปก็ไม่บรรลุ ๓ เดือนแล้วก็ยังไม่บรรลุ ปฏิบัติจนครบ ๓ ปีก็ยังไม่บรรลุ เมื่อถึงเวลานี้ ท่านคิดว่าการปฏิบัติยังไม่เข้มข้นเพียงพอ จึงถือเนสัชชิก ปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ คือ ไม่นอน มุ่งเจริญสติ โดยการเดินจงกรมอย่างเอาเป็นเอาตาย จนส้นเท้าแตก เลือดอาบ มุ่งมั่นจะปฏิบัติให้บรรลุให้ได้เหมือนพระลูกศิษย์ทั้งหลาย

แต่ปรากฏว่า ๑๐ ปีผ่านไปก็ยังไม่บรรลุ ๒๐ ปีผ่านไปก็ยังเหมือนเดิม ปฏิบัติจนครบ ๓๐ ปีก็ยังไม่บรรลุ พอถึงเวลานี้ท่านจึงโทมนัสอย่างยิ่ง ถึงกับรำพึงรำพันว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสบรรลุเป็นพระอรหันต์เสียแล้ว ทั้งที่ภาคทฤษฎีท่านรู้หมดทุกกระทงความ

พระมหาสิวะจึงร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ท่านร้องไห้ส่งเสียงดังจนเทพธิดาที่สถิตอยู่ ณ ที่นั้นได้ยิน เทพธิดาจึงร้องไห้ตามไปด้วย เพราะนางคิดว่าการร้องไห้แล้วจะทำให้สำเร็จมรรคผล เนื่องจากเห็นพระมหาสิวะเจริญวิปัสสนาอย่างเข้มแข็งแล้วร้องไห้

พระมหาสิวะจึงฉุกคิดขึ้นได้ว่า นางเทพธิดามาร้องไห้เพื่อเตือนสติ เพราะท่านไม่สำเร็จมรรคผลเสียที ทั้งที่ปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์มาถึง ๓๐ ปีแล้ว ท่านจึงปล่อยวางและผ่อนคลายความยึดมั่นของตน เนื่องจากความเพียรถ้ามีมากเกินไป ความฟุ้งซ่านก็จะเกิดขึ้นตามมา ปัญญาถ้ามีมากเกินไปก็ไม่ดี เมื่อคิดได้เช่นนี้ท่านจึงปรับอินทรีย์ใหม่ ให้มีสติกำกับมากยิ่งขึ้น

ในที่สุด พระมหาสิวะก็บรรลุพระอรหันต์ในวันที่เทพธิดามาร้องไห้นั่นเอง

เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ประสงค์ที่จะล้างเท้าและหาโอกาสนอนเสียที เพราะถือเนสัชชิกไม่ได้นอนมา ๓๐ ปีแล้ว บรรดาพระลูกศิษย์ทั้ง ๓๐,๐๐๐ องค์ ที่เป็นพระอรหันต์เมื่อทราบด้วยญาณแล้ว จึงเหาะมาเพื่อต้องการล้างเท้าให้พระอาจารย์ของตน แต่พระมหาสิวะก็ไม่ยินยอม เนื่องจากเห็นว่าพระลูกศิษย์เหล่านั้นบรรลุเป็นพระอรหันต์ก่อนท่าน

ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ได้เล็งญาณรู้แจ้งทั้งหมด จึงเหาะลงมาจากชั้นดาวดึงส์ เพื่อล้างเท้าให้กับพระมหาสิวะ เมื่อแจ้งความประสงค์แล้ว ท้าวสักกเทวราชได้ล้างเท้าให้ ปรากฏว่ารอยแตกส้นเท้าและฝ่าเท้าที่พระมหาสิวะเถระเดินจงกรมมา ๓๐ ปีนั้น หายสนิท ท้าวสักกเทวราชจึงอนุโมทนากับท่านแล้วเหาะกลับไป

พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ไว้ว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” แปลว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” แม้ในเรื่องของความรู้ที่มี (ปริยัติ) แม้ในเรื่องของการปฏิบัติ (ปฏิบัติ) และแม้ในเรื่องของผลการปฏิบัติ (ปฏิเวธ) โดยฝังจิตฝังใจเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่า “นี้ตัวเรา นี้ของเรา” ก็จะส่งผลเสียหายต่อการบรรลุมรรคผลได้ แต่เมื่อละความยึดมั่นถือมั่นลงได้แล้ว ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล เฉกเช่นพระมหาสิวะดังนี้นี่เอง

คัดลอก เรียบเรียง และสรุปจาก Tipitaka, machima, dhammajak, Wikipedia ถ่ายทอดต่อโดย มนต์ชัย เทียนทอง (ภาพจำลองจากจินตนาการ สร้างด้วย AI)

https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=247&p=2

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่