มนุษย์เงินเดือนสาหัส! หนี้บ้าน-รถ-บัตรเครดิตท่วม แบงก์ชาติอ้างรักษาระบบ ปล่อยแบงก์พาณิชย์เป็นเสือนอนกิน

วิกฤติหนี้มนุษย์เงินเดือน บ้าน-รถยนต์-บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล ยอดรวมสูงกว่า 10 ล้านล้านบาท ปัญหาใหญ่และหนักสุดของหนี้ในระบบเศรษฐกิจไทย จากอัตราดอกเบี้ยมหาโหด ไร้หน่วยงานกำกับดูแลจริงจัง เจอวิกฤติจากโควิดระบาดซ้ำเติม ขณะแบงก์ชาติปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์เป็นเสือนอนกิน มุ่งแต่รักษาเสถียรภาพของระบบธนาคารจนเกินเหตุ กลายเป็นรักษาความมั่งคั่งให้แบงก์พาณิชย์ มากกว่าช่วยแก้ความเดือดร้อนให้ประชาชน
 
ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้ชำแหละถึงปมปัญหาหนี้ครัวเรือนอีกประเภท ที่ถือได้ว่าใกล้ตัวที่สุด ที่ผู้ที่มีรายได้รายเดือน หรือมนุษย์เงินเดือนรู้จักกันดี นั่นก็คือ สินเชื่อบ้าน เช่าซื้อรถยนต์ หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล

ปัจจุบันยอดรวมหนี้ก้อนนี้ ณ ปัจจุบันพบว่าสูงถึงกว่า 10 ล้านล้านบาท โดยหนี้เหล่านี้เมื่อเจาะเข้าไปดูในรายละเอียด ก็ต้องบอกว่า โหดจริงๆ
ยกตัวอย่าง เช่น “สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์” นั้นขาดกฎหมายคุ้มครองสิทธิลูกหนี้อย่างรุนแรง ทำให้เมื่อขาดผ่อน 3 งวด ลูกหนี้ก็โดนบีบยึดรถขายไม่มีผ่อนปรน บวกกับคิดดอกเบี้ย เงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) ซึ่งจะคำนวณดอกเบี้ยที่ลูกค้าต้องชำระจากเงินต้นทั้งก้อนที่คงที่ตลอดอายุของสัญญาแม้ว่าลูกหนี้จะได้ทยอยผ่อนชำระเงินต้นบางส่วนไปเรื่อย ๆ แล้วก็ตาม แทนที่จะคิดดอกเบี้ยลดต้นลดดอก ทำให้ลูกหนี้แบกดอกเบี้ยเกินจำเป็น
ส่วน “หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล” ก็มีการ เปิดช่องให้สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยสูงถึง 25% กลายเป็นหนี้เสียแล้วกว่า 6 ล้านบัญชี มูลหนี้รวม 3 แสนล้านบาท
ขณะที่  “คลินิกแก้หนี้” ที่เริ่มมา 4-5 ปี ช่วยลูกหนี้ได้แค่ 110,000 บัญชี หรือแค่ 1.69% เท่านั้น
 
“สินเชื่อบ้าน” นั้นคือตัวร้าย และเป็นที่รับรู้กันมานานว่าถูกแบงก์โขกดอกเบี้ยสูงลิบ
ณ วันนี้ใครที่ผ่อนบ้านรู้ดี ดอกเบี้ยลอยตัวแบงก์คิดที่ 5.8% ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยบ้าน-ดอกเบี้ยนโยบายของไทยสูงสุดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านถึง 4.72% !?!
นอกจากนี้ยังมีปัญหาลูกหนี้จ่ายค่างวดก็เหมือนจ่ายแต่ดอกเบี้ย ส่วนเงินต้นนั้นไม่ลด พร้อมกับแบงก์คิดทุกเม็ด หากผิดนัดชำระจะนำไปคำนวณเป็นยอดสุดท้ายของเงินกู้ทั้งหมด พอต้องชำระต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มหลายเท่า
คำถามก็คือ แบงก์ชาติ ปล่อยให้แบงก์พาณิชย์ทำตัวเป็นเสือนอนกินเรื่องนี้มายาวนานเท่าไหร่แล้ว และ ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างเลยหรือ?
 
ปมปัญหา สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์-สินเชื่อบ้าน-บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลนี่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ และหนักหนาที่สุดของเรื่อง “หนี้ระบบเศรษฐกิจไทย” เวลานี้ก็ว่าได้ เรามาเจาะลึกทีละเรื่องกัน
หนี้เช่าซื้อรถยนต์
“หนี้เช่าซื้อรถยนต์” ไม่เคยมีหน่วยงานรัฐเข้ามากำกับดูแลเป็นการเฉพาะ โดยหนี้เช่าซื้อรถยนต์ ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566มีจำนวนรวม 6.5 ล้านคัน มูลหนี้รวม 2.61 ล้านล้านบาท
ในช่วงวิกฤติโควิด ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เดือดร้อนมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง นั่นเพราะที่ผ่านมาสินเชื่อเช่าซื้อไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ที่เป็นหน่วยงานรัฐเข้ามากำกับดูแลเป็นการเฉพาะ เมื่อเกิดวิกฤติโควิดส่งผลกระทบทำให้รายได้ของประชาชนลดลงในวงกว้าง ส่งผลทำให้ไม่สามารถผ่อนจ่ายงวดรถได้
 
โครงสร้างของสินเชื่อเช่าซื้อนี้ เจ้าหนี้ยังเป็นเจ้าของรถซึ่งตามข้อกฎหมาย ถ้าเกิดการผิดนัดชำระติดต่อกัน 3 งวด เจ้าหนี้สามารถยึดรถที่ให้เช่าซื้อคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 ได้ แม้ว่าลูกหนี้ได้จ่ายชำระหนี้มามากแล้วจนเหลือเพียงไม่กี่งวด บางรายเหลืองวดผ่อนเพียง 2-3 งวด แต่ก็ถูกยึดรถออกขายโดยไม่มีการผ่อนปรน ซึ่งประเทศไทยไม่มีข้อกฎหมายที่คุ้มครองลูกหนี้ที่ได้ผ่อนจ่ายค่างวดมามากแล้วเช่นเดียวกับประเทศอื่น
ประเด็นสำคัญอีกประการคือการคิดอัตราดอกเบี้ย แม้กฎหมายจะให้คิดลดต้นลดดอก แต่ในทางปฎิบัติมีช่องว่างให้เจ้าหนี้เอาเปรียบลูกหนี้ เช่น หากชำระก่อนก็ไม่ลดดอกเบี้ยหรือ ถ้าเอาเงินมาโปะยอดที่เหลือเพื่อปิดบัญชี ก็ยังคิดดอกเบี้ยส่วนที่เหลือทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องคิดก็ได้
ปี 2566 ที่ผ่านมา ณ ไตรมาส 3 พบว่า จำนวนลูกหนี้เช่าซื้อรถที่ผิดนัดชำระหนี้ติดต่อกัน 3 งวดและกลายเป็นหนี้เสีย จนถูกเจ้าหนี้ยึดคืนมีสูงถึง 694,088 ราย หรือคิดเป็นรถเกือบ 7 แสนคันมูลหนี้รวม 207,440 ล้านบาท
 
ขณะที่ ตัวเลขล่าสุดของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ณ เดือนมีนาคม 2567 ชี้ให้เห็นปัญหาประชาชนที่ถูกยึดรถรุนแรงขึ้น โดยข้อมูลตัวเลขประชาชนที่ผิดนัดชำระหนี้เป็น NPL เข้าข่ายที่จะถูกยึดรถจาก 7 แสนบัญชี เพิ่มขึ้นสูงไปถึง 770,000 บัญชีหรือ ปรับเพิ่มขึ้นถึง 20.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลหนี้ที่เป็น NPL ก็ปรับเพิ่มจาก 207,000 ล้านบาท ขึ้นเป็น สูงถึง 238,000 ล้านบาท(หรือเพิ่มขึ้นกว่า 31,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน)
จนปัจจุบันแม้จะผ่านมาถึงเกือบครึ่งทาง ปี 2567 แล้ว แต่ วันนี้สถานการณ์สินเชื่อเช่าซื้อรถก็ไม่ได้ดีขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่เปราะบางของครัวเรือนไทย เพราะโดยปกติแล้วครัวเรือนจะไม่ปล่อยให้หนี้เช่ารถมีงวดค้างชำระเช่นนี้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล
ประเภทหนี้ถัดมา เรามาดู ปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน หนี้กลุ่มนี้ถือเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับประชาชนรายย่อยจำนวนมาก
 
ข้อมูลจากเครดิตบูโรชี้ว่าปัจจุบันคนไทยมีการใช้บัตรเครดิต 23.8 ล้านบัญชีมูลหนี้ 546,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้มี 6 ล้านบัญชีที่ไม่ได้เปิดใช้
ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันมี 31.7 ล้านบัญชีมูลหนี้ 2.58 ล้านล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ ถ้ารวมหนี้ 2 ประเภทเข้าด้วยกันจะมีจำนวนบัญชีรวม 55.5 ล้านบัญชี มูลหนี้รวม 3.12 ล้านล้านบาท
หนี้บัตรเครดิต และ หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล คือ ศูนย์กลางของปัญหาที่ทำให้คนไทยจำนวนมากนับล้านคนติดอยู่ใน “กับดักหนี้” และเป็น “ขนมหวาน” ที่แบงก์ชอบมาก
 
ถ้ามองย้อนกลับไปที่ปฐมบทการเกิดขึ้นของบัตรเครดิต สินเชื่อประเภทนี้มีลักษณะคล้าย“เงินทดรองจ่าย” ที่มีวัตถุประสงค์ช่วยให้ไม่ต้องใช้เงินสด จะเหมาะสมสำหรับผู้ที่สามารถชำระหนี้คืนทั้งก้อน หรือทั้ง 100% เมื่อมีบิลเรียกเก็บมาเพราะถ้าไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ครบทั้งจำนวน หรือสามารถชำระหนี้เพียงอัตราขั้นต่ำ จะถูกคิดดอกเบี้ยบนจำนวนเงินทั้งก้อน
ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ลูกหนี้กลุ่มที่ชำระหนี้ได้เพียงบางส่วนนี้อาจมีจำนวนมากถึง 50% ของทั้งหมดหรือนับเป็นสิบ ๆ ล้านบัญชี
ในต่างประเทศเช่นในอังกฤษ Regulator FCA กำหนดเกณฑ์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีเช่นนี้เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในวังวนของปัญหาหนี้บัตร (Persistent debt) โดยกรณีที่ลูกหนี้จ่ายอัตราขั้นต่ำเป็นระยะเวลา 18 เดือน เจ้าหนี้จะต้องแปลงหนี้บัตรเป็น Term Loan หรือ เงินกู้ที่มีอายุการกู้ที่แน่นอน มีระยะเวลาผ่อนชำระ 3-4 ปี และปรับลดดอกเบี้ยลง
 
ปัจจุบันพบว่า มีลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันกลายเป็นหนี้เสีย หรือ NPL ไปแล้วจำนวนรวม 6.41 ล้านบัญชี มูลหนี้รวม 319,000 ล้านบาท
ปัญหาสำคัญของลูกหนี้กลุ่มนี้ที่เผชิญอยู่ก็คือ เมื่อแรกขอสินเชื่อ ขอในฐานะสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน แต่ในทางปฎิบัติหลังจากเป็นหนี้เสียแล้วพบว่า เจ้าหนี้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกหนี้เป็นจำนวนมากเพื่อยึดบ้านและที่ดิน ซึ่งจริง ๆ แล้วในกรณีที่ต้องการจะยึดบ้านหรือที่ดิน เจ้าหนี้จะไม่สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูงถึง 25% ต่อปี แต่จะต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำลงให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของสินเชื่อ (Risk-based Pricing)
“โครงการคลินิกแก้หนี้” ที่ริเริ่มโดยธนาคารแห่งประเทศไทยและมีเจ้าหนี้ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเข้าร่วมกว่า 35 แห่ง ว่าไปแล้วก็เป็นโครงการที่ดีเป็น sandbox ต้นแบบการไกล่เกลี่ยแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่จะช่วยตอบโจทย์ของเจ้าหนี้และลูกหนี้
 
Cr. https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000047398

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่