ใครเคยทำหมันมาแล้วอยากมีลูกอีกครั้งมีวิธีไหนบ้าง ผ่าตัดแก้หมัน หรือทำเด็กหลอดแก้ว?

สำหรับคนที่เคยมีลูกแล้วและเคยผ่าตัดทําหมันไปแล้วนั้น เมื่อวันหนึ่งเวลาเปลี่ยนไปเกิดเปลี่ยนใจหรือว่าแต่งงานไปมีครอบครัวใหม่อยากจะมีลูกอีกครั้ง หลายๆคนคงคิดถึงวิธีการผ่าตัดแก้หมันเป็นอันดับแรก แต่จริงๆแล้วการผ่าตัดแก้หมันจะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลับมามีลูกได้อีกครั้งได้มากน้อยแค่ไหน มีอะไรที่ควรรู้ มีอะไรที่ควรต้องกังวลก่อนตัดสินใจเลือกใช้วิธีการนี้ และถ้าไม่ผ่าตัดแก้หมันมีจะมีวิธีการอื่นๆที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหรือไม่ เรามาหาคำตอบกันในบทความนี้ 


สำหรับการผ่าตัดแก้หมันในผู้หญิงนั้น โอกาสผ่าตัดสำเร็จอยู่ที่ 60-70 % ก่อนที่จะเริ่มผ่าตัดควรจะสำรวจตัวเองว่าพร้อมที่จะสามารถตั้งครรภ์ธรรมชาติได้ไหม ได้แก่ 
1.    อายุที่ดีควรจะไม่มากเกิน 35 ปี 
2.    ตรวจดูในมดลูกว่ามีเนื้องอกหรือซีสต์
3.    ตรวจฮอร์โมนประเมินว่ารังไข่ยังมีฟองไข่ตั้งต้นเยอะไหม
4.    ตรวจน้ำเชื้อฝ่ายชายก่อน น้ำเชื้อควรจะต้องคุณภาพดี
และเมื่อผ่าตัดเสร็จแก้หมันแล้วควรจะระวังในเรื่องของการมีพังผืดในช่องท้องจากกการผ่าตัด ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการท้องนอกมดลูกได้ 

ส่วนการผ่าตัดในผู้ชายนั้นไม่เป็นที่นิยมมากนักเนื่องจากโอกาสสำเร็จค่อนข้างน้อยเพราะท่อนำอสุจิมีขนาดเล็กมาก หมอทางเดินปัสสวะส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วง่ายกว่าไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดด้วย  

แล้วถามว่ามีวิธีการอื่นที่มีประสิทธิภาพมากว่ากว่าการแก้หมันไหม คำตอบก็คือมี วิธีการนั้นก็คือการทำเด็กหลอกแก้ว ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง 70 – 80 % เลยทีเดียว 

การทำ ICSI ในผู้หญิงที่ทำหมันแล้วนั้นไม่จำเป็นต้องมีท่อนำไข่ โดยที่หมอหมอจะใช้ใช้วิธีเอาเข็มเจาะดูดฟองไข่ผ่านจากทางช่องคลอดออกมาโดยตรง ไม่ต้องอาศัยท่อนำไข่ แล้วนํามาปฏิสนธิกับอสุจิในห้องปฎิบัติการ โดยจะคัดเลือกตัวอสุจิที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด 1 ตัว เพื่อผสมกับไข่ 1 ใบ จนเกิดเป็นตัวอ่อน เพาะเลี้ยงจนได้ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิส (Blastocyst)  ซึ่งเป็นระยะที่พร้อมในการฝังตัวในโพรงมดลูก หลังจากนั้นเราถึงทำการย้ายตัวอ่อนที่ได้มา ผ่านทางช่องคลอดผ่านปากมดลูกเข้าไปในโพรงมดลูก

สําหรับผู้ชายที่ทำหมันหมอจะใช้วิธีการที่เรียกว่า  PESA หรือ TESE โดยการเจาะตรงจากอัณฑะ เพื่อนำตัวอสุจิออกมาโดยตรงเพื่อนำไปทำ ICSI เพราะว่าจำนวนอสุจิที่เจาะออกมาได้นั้น มีจำนวนน้อยจึงเพียงพอกับการทำ ICSI เท่านั้น            

แต่ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหน ควรปรึกษาแพทย์ให้กระจ่างชัดเจนก่อน ไม่ว่าจะวิธีไหนต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจดำเนินการเพื่อไม่ให้เสียเงิน เสียเวลา และเจ็บตัวโดยที่ไม่เกิดผลลัพท์ตามที่คาดหวังเอาไว้

บทความโดย 
หมอเต้-นายแพทย์ วรวัฒน์ ศิริปุณย์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก
ติดตามสารดีๆ เพิ่มเติมได้ทาง Tiktok  : หมอเต้ เคล็ดไม่ลับมีลูกง่าย 
https://www.tiktok.com/@doctor.tae?is_from_webapp=1&sender_device=pc
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่