เคยได้ยินคนบอกว่า เวลาคนถามว่ามีลูกแล้วมีความสุขไหม นั้นให้ไปถามลูกดูก่อน หากลูกมีความสุข คนเป็นพ่อแม่ถึงค่อยกล้าตอบว่ามีความสุข (เพราะถ้าคนเป็นลูกทุกข์ คนเป็นพ่อแม่ก็ไม่น่าควรจะมีความสุข)
ส่วนตัวคิดว่าไม่ต้องถาม เพราะช่วงเด็กน่าจะเป็นช่วงเรียนรู้ สร้างตัว น่าจะทุกข์มากกว่าสุขอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับพ่อแม่ที่โตแล้ว ออกไปทำงาน เครียดแค่ไหน ก็ยังสามารถเดินไปดูดบุหรี่ ลงไปซื้อกาแฟ แอบอู้ไถมือถือในห้องน้ำก็ยังได้
แต่นักเรียนนั้นไม่ใช่ เข้าเรียน 1 คาบ ก็นั่งไปเลยเกือบชั่วโมง ห้ามคุยกับใคร ไม่งั้นจะเจอชอล์คบิน หรือเรียนไม่เข้าใจยังไง ก็ต้องนั่งนิ่งตั้งใจฟัง นอกจากนี้วิชาเรียนที่ไม่ชอบก็ต้องเรียน
หรือพ่อแม่เจอที่ทำงานแย่ หัวหน้า Toxic เพื่อนร่วมงานไม่เป็นมิตร ก็ยังเลือกลาออกหาที่ใหม่ได้ แต่นักเรียนนี่ไม่ใช่ เจอแวดล้อมการเรียนแย่ยังไง การย้ายโรงเรียนก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายเลย
หรือตื่นไปโรงเรียน ต้องโดนบังคับปลุกแต่เช้าตรู่ก่อน 7 โมง เป็นฟิลลิ่งที่ทรมานมากๆ ในขณะที่คนเป็นพ่อแม่ตื่น 8 โมง 9 โมงชิลๆได้ เข้าทำงานสายยังได้เลย แต่นักเรียนนั้นไม่ใช่ เข้าสายนี่เรื่องใหญ่มาก เตรียมหูชา หรือโดนทำโทษได้เลย
หรืองานอดิเรก เด็กบางคนชอบเล่นมือถือ เล่นเกม ก็ต้องโดนห้าม เล่นเกมยังไงก็ต้องรู้สึกผิดเมื่อได้ยินพ่อแม่พูดขึ้นมาว่า “วันๆเล่นแต่เกม” "ทำไมไม่อ่านหนังสือ" ยากมากที่จะนั่งเล่นเกมได้อย่างสบายใจ ซ้ำยังต้องทำความเข้าใจด้วยเวลาเห็นพ่อแม่เล่นมือถือได้ แต่ตัวเองกลับโดนห้ามราวกับเป็นของแสลง
ฯลฯ เหล่านี้เลยคิดว่าวัยเด็กเป็นอะไรที่น่าจะทุกข์มากกว่าสุขอยู่แล้ว เลยคิดว่าไม่ค่อยแฟร์หากจะให้ไปถามลูกก่อนว่ามีความสุขไหม ควรจะไปถามตอนเขาอายุประมาณ 23 ปีขึ้นไปแล้วหรือเปล่า เพราะเขาออกจากห้องเรียนแล้ว สามารถเลือกงาน เลือกทำอะไรได้ตามที่ชอบแล้ว และเลือกไม่ทำอะไรที่ไม่อยากทำได้แล้ว และสามารถเลือกงานอดิเรกได้เอง โดยที่ไม่น่าจะมีใครต่อว่าเขาได้แล้ว
ดังนั้นผมคิดว่า เวลามีคนถามว่า มีลูกแล้วมีความสุขดีไหม คนเป็นพ่อแม่สามารถยึดความรู้สึกตัวเองแล้วตอบไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปถามลูกก่อน
เวลาคนถามว่ามีลูกแล้วมีความสุขไหม จำเป็นต้องไปถามลูกก่อนด้วยเหรอ
ส่วนตัวคิดว่าไม่ต้องถาม เพราะช่วงเด็กน่าจะเป็นช่วงเรียนรู้ สร้างตัว น่าจะทุกข์มากกว่าสุขอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับพ่อแม่ที่โตแล้ว ออกไปทำงาน เครียดแค่ไหน ก็ยังสามารถเดินไปดูดบุหรี่ ลงไปซื้อกาแฟ แอบอู้ไถมือถือในห้องน้ำก็ยังได้
แต่นักเรียนนั้นไม่ใช่ เข้าเรียน 1 คาบ ก็นั่งไปเลยเกือบชั่วโมง ห้ามคุยกับใคร ไม่งั้นจะเจอชอล์คบิน หรือเรียนไม่เข้าใจยังไง ก็ต้องนั่งนิ่งตั้งใจฟัง นอกจากนี้วิชาเรียนที่ไม่ชอบก็ต้องเรียน
หรือพ่อแม่เจอที่ทำงานแย่ หัวหน้า Toxic เพื่อนร่วมงานไม่เป็นมิตร ก็ยังเลือกลาออกหาที่ใหม่ได้ แต่นักเรียนนี่ไม่ใช่ เจอแวดล้อมการเรียนแย่ยังไง การย้ายโรงเรียนก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายเลย
หรือตื่นไปโรงเรียน ต้องโดนบังคับปลุกแต่เช้าตรู่ก่อน 7 โมง เป็นฟิลลิ่งที่ทรมานมากๆ ในขณะที่คนเป็นพ่อแม่ตื่น 8 โมง 9 โมงชิลๆได้ เข้าทำงานสายยังได้เลย แต่นักเรียนนั้นไม่ใช่ เข้าสายนี่เรื่องใหญ่มาก เตรียมหูชา หรือโดนทำโทษได้เลย
หรืองานอดิเรก เด็กบางคนชอบเล่นมือถือ เล่นเกม ก็ต้องโดนห้าม เล่นเกมยังไงก็ต้องรู้สึกผิดเมื่อได้ยินพ่อแม่พูดขึ้นมาว่า “วันๆเล่นแต่เกม” "ทำไมไม่อ่านหนังสือ" ยากมากที่จะนั่งเล่นเกมได้อย่างสบายใจ ซ้ำยังต้องทำความเข้าใจด้วยเวลาเห็นพ่อแม่เล่นมือถือได้ แต่ตัวเองกลับโดนห้ามราวกับเป็นของแสลง
ฯลฯ เหล่านี้เลยคิดว่าวัยเด็กเป็นอะไรที่น่าจะทุกข์มากกว่าสุขอยู่แล้ว เลยคิดว่าไม่ค่อยแฟร์หากจะให้ไปถามลูกก่อนว่ามีความสุขไหม ควรจะไปถามตอนเขาอายุประมาณ 23 ปีขึ้นไปแล้วหรือเปล่า เพราะเขาออกจากห้องเรียนแล้ว สามารถเลือกงาน เลือกทำอะไรได้ตามที่ชอบแล้ว และเลือกไม่ทำอะไรที่ไม่อยากทำได้แล้ว และสามารถเลือกงานอดิเรกได้เอง โดยที่ไม่น่าจะมีใครต่อว่าเขาได้แล้ว
ดังนั้นผมคิดว่า เวลามีคนถามว่า มีลูกแล้วมีความสุขดีไหม คนเป็นพ่อแม่สามารถยึดความรู้สึกตัวเองแล้วตอบไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปถามลูกก่อน