เราเกิดมาในจังหวัดแถบภาคอีสาน พ่อเป็นข้าราชการ แม่เป็นแม่บ้านอยู่บ้าน (อดีตเป็นแม่ค้าหาบเร่)
เราสนิทกับพ่อมาก ไปกับพ่อทุกที่ ไม่ว่าจะที่ทำงานหรือมหาลัยที่พ่อเรียนต่อ ไม่ได้อยู่ด้วยแค่ตอนที่เราไปเรียน
เราแทบไม่คุยไม่สนิทกับแม่เลยตั้งแต่จำความได้ เพราะแม่มีนิสัยใจร้อน ดุ และลงไม้ลงมือกับทุกคนทึ่แม่ไม่ชอบหน้า
บวกกับการที่แม่เราชอบบูลลี่หน้าตาผิวพรรณของเราตั้งแต่เด็ก (ตอนเด็กๆเราผิวคล้ำ) ส่วนแม่เราขาวสวยมาก
จนอายุ 11 ปี พ่อเราเสียชีวิตด้วยโรคร้าย พ่อได้ทำประกันไว้ให้เราและน้องไว้คนละหลักล้าน แต่แม่เราให้ทำเรื่องเข้าบัญชีแม่เพราะเห็นว่าเราและน้องยังเด็ก รักษาเงินไม่ได้ ตั้งแต่พ่อเราเสีย แม่ไม่อยู่บ้านเลยค่ะ แม่เราอ้างว่าอยากไปทำบุญที่วัด เราก็โอเค อยากให้แม่สบายใจ เพราะเราคิดว่าแม่คงเสียใจเรื่องพ่อ
แม่เราเข้าวัด นอนที่วัด ใช้เงินซื้อของเข้าวัดทุกวันไม่ต่ำกว่าวันละ 10,000 บาท เรากับน้องต้องอยู่บ้าน 2 คน (เราอายุ 11, น้อง 3 ขวบ) 1 อาทิตย์แม่จะกลับบ้านมาเพื่อเอาเงินสดให้เราไว้ใช้จ่ายในบ้านและเป็นค่าขนมไปโรงเรียนของเรากับน้อง อาทิตย์ละ 1,000 บาท อีกไม่กี่เดือนแม่ก็มาบอกเราว่ามีคนคุย ชอบคนนั้นชอบคนนี้ ณ เวลานั้นเราโอเคนะคะ ถ้าแม่มีแล้วมีความสุข (แต่สุดท้ายแม่ก็โดนหลอก) แต่ที่เราไม่โอเคคือหนึ่งในนั้นคือพี่ชายแท้ๆของพ่อ เรารับไม่ได้ค่ะ (แต่สุดท้ายแม่ก็เลิกราไป สาเหตุไม่ใช่เพราะเรา)
1 ปีต่อมาแม่มาบอกเราว่าเงินในบัญชีแทบไม่เหลือแล้ว อ้างว่าชีวิตมีแต่เรื่องใช้จ่าย ตอนนั้นเราอยู่ ม.2 จากชีวิตคุณหนู เราทำงานรับจ้างทุกอย่างเลยค่ะ เรียนเสร็จ เลิกเรียนไปรับจ้างเสิร์ฟร้านข้าวต้มกุ๊ย หยุดเสาร์-อาทิตย์ไปรับจ้างร้านซักรีด ช่วงดึกๆไปรับจ้างเปิดเพลงตามคลื่นวิทยุ (ตอนนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยรู้สึกสนุกมากเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ)
พอขึ้นม.ปลาย เรารับจ้างน้อยลง แต่เอาขนมที่แม่ทำไปขายที่โรงเรียนเกือบทุกวัน เราอยากเข้าคณะหรือมหาลัยดีๆ
จนเราสอบติดเภสัช (สมัยพ่อยังอยู่ พ่ออยากให้เรียนเภสัชค่ะ พ่อเราซีเรียสเรื่องเรียนมากๆ)
แต่แม่บอกเราว่าไม่มีเงินจะส่ง ให้เราจบแค่ม.ปลาย อยู่บ้าน เดี๋ยวก็มีผู้ชายเข้ามาหาเอง เราเสียใจกับคำพูดของแม่มากกกกก
เราตัดสินใจเข้ากรุงเทพ โดยบอกแม่ว่าจะหางานทำและเรียนด้วย ไม่ว่ายังไงก็จะเรียน
ชีวิตในกรุงเทพของเด็กต่างจังหวัดลำบากมากเลยค่ะ เราใช้ชีวิตแบบไม่มีเงินสักบาท (ยืมเพื่อนสมัยเรียนมา 2,000)
ก่อนเดินทางแม่ให้เงินเรา 20 บาท (จนทุกวันนี้ยังเก็บไว้)
เราเลือกม.เอกชนที่นึง คณะไม่ดังมาก (ค่าเทอมเท่าๆม.รัฐ) เพราะไม่ต้องสอบ ไม่ต้องอยู่หอใน ไม่ต้องฟิคเวลารับน้อง
เราต้องเวลาไปหาเงินด้วยค่ะ (ปล.กู้กยศ.ร่วมด้วย)
ตลอดเวลาที่เราเรียนมหาลัย แม่เราไม่เคยส่งเงินมาสักบาท ไม่เคยพยายามช่วยหาเงิน ไม่เคยส่งอาหารดีๆมาให้เรา เหมือนแม่คนอื่นๆ
แต่มีโทรมาหาบ้าง (2-3 เดือนโทรหาที) แต่ถ้าโทรมาทีไร มีเรื่องให้เราเสียเงินทุกที มีเรื่องต้องโอนให้แม่ตลอด
เราเหนื่อยมากเลยค่ะ เงินแต่บาทหายากมากๆ พาสทามชั่วโมงละ 38 บาท รับจ้างสอนพิเศษก็ไม่ค่อยมีมา บวกกับค่าใช้จ่ายค่าหอ ค่ากิน ค่าเรียน ค่ารถ
ท้อมากๆ เราลำบากถึงขั้นที่ไม่มีเงินพอจะซื้อข้าว ต้องแอบไปกินข้าวที่คนอื่นกินเหลือไว้ที่โรงอาหาร (พิมพ์มาถึงตรงนี้น้ำตาไหลเลยค่ะ)
เราไม่ทำงานอโคจร ไม่ทำงานกลางคืน (แต่ก็ทีทำบ้างพวกงานแฟมิลี่มาร์ชกะกลางคืน) รึเปล่าคะที่ทำให้ชีวิตลำบาก
ถามถึงเรื่องญาติ แม่เราไม่ให้ติดต่อใคร พูดใส่ไฟญาติทุกคน(ซึ่งเป็นมานานแล้ว) ว่าไม่มีใครอยากให้เรียน ไม่มีใครอยากเสียเงิน
ไม่มีใครชอบเรา ไม่มีใครอยากได้ภาระ
เราทำใจและร้องไห้ทุกวัน เราคิดถึงพ่อ เราไม่อยากอยู่ในโลกนี้ เราพยายามฆ่าตัวตายตั้งแต่มัธยม แต่ก็ไม่..
รู้สึกว่าระหว่างทางมันเหนื่อยและยากมาก อีกสาเหตุที่อยากจบชีวิต เพราะเราโดนแม่ทำร้ายร่างกายตั้งแต่มัธยม สาเหตุแม่อ้างว่าเราโดนของ
ผู้ชายคนเก่าๆของแม่ ทำของใส่เรา (แต่ไม่มีใครทำอะไรเรานะคะ)
จนถึงเรียนปี 4 เราแจ้งกับแม่ว่าไม่ไหวจะขอดรอป แอบเสียดายเวลาเหมือนกัน
แต่เราป่วย ทำงานไม่ได้ 1 เดือน++ ( แค่หนึ่งเดือนถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้แล้วค่ะ ชีวิตมีค่าใช้จ่ายรอบตัว ไหนว่าค่านู้นค่านี้ที่แม่ชอบมาขอตลอด
บวกกับทำอยู่คนเดียว สู้อยู่คนเดียวไม่มีใครซัพพอร์ต มันไปไม่ไหวจริงๆ
แม่บอกจะโทรไปขอยืมยาย เราตกใจมาก เพราะไหนบอกว่าไม่มีญาติคนไหนหวังดี (มีคำถามในหัวเต็มไปหมด)
อีก 1 วัน ยายโทรกลับมาหาเรา (ไม่ได้คุยกับยายหลายปีมากๆ) บอกว่าเอาที่ดินนาไปจำนอง จะขอช่วยเราเรื่องเรียน
น้ำตาไหลเลยค่ะ จากใจคนที่ไม่เคยมีใครคอยช่วยเหลือ
ยายถามข่าวคราว คำถามจากยายเป็นคำถามที่เราไม่เคยได้ยินจากแม่เลย เช่น กินข้าวรึยัง ไหวมั้ย เหนื่อยรึเปล่า
เราคิดถึงยาย อยากกลับไปเยี่ยมยายมากๆ แต่หลังไมค์แม่บอกว่า จะกลับเนี่ย มีเงินมีทองแล้วหรอ ญาติหน้าเงินทั้งนั้น
จะมาก็ต้องมีเงินมีทองไปให้ แม่คอยพูดให้เราเสียกำลังใจอยู่ตลอด
**ตั้งแต่วันที่พ่อเสีย เรารู้สึกว่าเราเหลือแค่แม่ ไม่แปลกที่เราจะฟังแค่แม่ค่ะ**
เราเรียนจบไป 2 ปี พ่อมาเข้าฝันเรา(จำเรื่องไม่ได้) บวกกับตลอดทั้งวันได้กลิ่นธูป กลิ่นฟอมาลีน (กลิ่นเดียวกับวันเผาศพพ่อ)
เราตัดสินใจกลับไปหายาย เพราะเป็นห่วงยาย ความเชื่อโบราณไม่ค่อยดี
สิ่งที่เราเห็น คือยายดูไม่ได้หวังเงินจากเราเลย เราคุยอะไรกับยาย แม่จะคอยหาเรื่องมาอยู่ใกล้ๆตลอดคอยแอบฟัง พิรุจสุดๆ
เรามีความสงสัย มีคำถามมาตลอดหลายปี แต่เราไม่เคยพูด เพราะคำว่าแม่
มาในวันนี้เราอายุ 27 ปีแล้วค่ะ เราเรียนจบมา 5 ปีด้วยเกียรตินิยม ทำงานไม่ตรงสายเพราะสายที่ทำตอนนี้เงินดีกว่า ชีวิตเราค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังเจอความลำบาก เจอวิบากกรรมต่างๆ วันนี้เรามีแฟน มีครอบครัวแฟนที่ดีกับเรา
และตอนนี้เอง เราก็มารู้ว่าจริงทุกอย่างว่าที่ผ่านมา คำพูดของแม่มีแต่เรื่องโกหก เงินที่แม่ขอจากเราว่าจะเอาไปจ่ายค่าไฟ ไปซ่อมรถ ซ่อมของ
ก็ไม่ได้ซ่อม ของพังวางอยู่ที่เดิม เงินที่เราช่วยยายเรื่องค่าเรียนน้องทุกเดือน ยายก็ไม่เคยได้รับ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องเงินมีอีกเยอะค่ะ
ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็มี เช่น แม่โกหกเราว่าความสัมพันธ์กับพ่อคือแม่ไม่ได้รักแต่โดนพ่อย่องเข้าห้องและข่มขืนวันแรกที่เจอ ยายรู้เข้าเลยได้แต่ง แต่ความจริงคือ แม่หอบของไปขายหน้าที่ทำงานพ่อ และพ่อก็เหมาขนมแม่บ่อยๆ ชอบพอกัน พ่อและคบกันมาหลายปีและแต่งงานปกติ(ยายเล่า) หรือจะเป็นเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่แม่มีพฤติกรรมเหมือนตัวเองโดนกระทำ ทำตัวน่าสงสาร
รวมๆแล้วตั้งแต่เราจำความได้จนถึงตอนนี้ เราไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่เป็นความจริงบ้าง จริงๆเราเองควรจะรู้มาตลอดและควรรู้มาตั้งนานแล้ว
ตั้งแต่ไปไหนก็ไปกับพ่อตลอด ไม่ได้อยู่กับแม่เลย ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกัน
หรือพฤติกรรมแม่ที่พ่อเอือม (ปกติพ่อเป็นคนไม่ค่อยพูด)
คือ ตอนเรา 3 ขวบแม่แกล้งให้เรารอแม่ที่สนามเด็กเล่นที่นึง แม่บอกเดี๋ยวมา เราก็รอ ตั้งแต่บ่าย3 จนมืดแม่ก็ยังไม่มา เรากลัวมากกกก เพราะที่นั่นไม่มีไฟเลย เราจำได้ว่าเราเดินตามหาแม่แต่ไม่เจอ เดินถามคนแถวตลาด ทุกคนก็งงว่าลูกใคร เพราะตอน 3 ขวบเราพูดไม่เป็นประโยค
เราเดินไปร้องไห้ไป พูดแต่คำว่าแม่แม่ เดินไปเรื่อยๆจนเราเจอร้านขนมเค้กที่พ่อชอบพามา(สมัยนั้นร้านเค้กขายหนังสือพิมพ์ด้วย พ่อเลยมาบ่อย)
คนที่มาเดินตลาดก็รุมดู ไม่รู้ว่าเราลูกใคร เรานั่งรอในร้านเค้ก สักพักใหญ่ๆพ่อขับรถมาตามหาเรา คนในตลาดก็รุมด่าพ่อเราว่าทิ้งลูก พ่อเราโกรธมากกกก
พอขึ้นรถ พ่อใจเย็นและถามเราว่าอยู่ที่นี่ได้ยังไง เราตอบไม่เป็นประโยค
แต่จำได้ว่า..พ่อดูเข้าใจในสิ่งที่เราพูด ว่าแม่พามาเล่นที่สนามเด็กเล่น และบอกให้รอ จนมืดก็ไม่กลับมาสักที
พอเราเริ่มโตขึ้น พ่อได้พูดเรื่องนี้กับเราอีกที พ่อบอกว่า..วันนั้นพ่อเลิกงาน 4 โมงเย็นกลับมาแล้วไม่เจอเรา พ่อเลยถามแม่ว่าลูกไปไหน แม่ก็ตีหน้ามึนไม่รู้ว่าเราหายไปไหน พ่อตามหาทั่วบ้านก็ไม่เจอ ในหมู่บ้านก็ไม่เจอ (แม่เราปั่นหัวพ่อว่าอาจจะเป็นแก๊งลักเด็ก : ตอนนั้นกำลังระบาด)
พ่อไปแจ้งตำรวจ ตามหาเราจน 2 ทุ่มก็เจอเราที่ร้านเค้ก
พ่อกลับมาคุยกับแม่ เพราะเราบอกพ่อว่าแม่พามา แม่ก็ปฏิเสธบอกเราเดินไปเอง (ระยะทางจากบ้านไปสนามเด็กเล่น 8 กิโลเมตร)
พ่อรับไม่ได้เพราะเป็นครั้งที่ 3 ที่แม่มีพฤติกรรมแปลกๆกับลูก
ครั้งที่ 1 : แม่เอาส้มตำให้เรากินหลังเราเกิดมาไม่ถึงเดือน ( พ่อบอกว่าเราท้องเสียจนหัวใจหยุดเต้น และนอนในตู้อบเป็นอาทิตย์)
ครั้งที่ 2 : ตอนเราเริ่มคลานได้ แม่วางเราไว้แถวบันได เรากลิ้งตกบันได แต่โชคดีที่มีหลังคารถรับไว้ได้ (บ้านสมัยนั้นจอดรถรถอยู่ใต้บันได)
ครั้งที่ 3 : สร้างเรื่องว่ามีแก๊งค์ลักเด็ก
จากวันนั้นพ่อก็เอาเราไปด้วยทุกที่ เราเลยสนิทกับพ่อมากๆค่ะ ได้นิสัยพ่อมาเต็มๆ
คำถามในวันนี้ : เราควรทำยังไงต่อไปดีคะ ทุกวันนี้เราเหมือนคนบ้าเลย รู้ความจริงอยู่แล้วแต่ฟังแม่ตัวเองบ่นในเรื่องที่ไม่จริงอยู่ (ไม่แปลกใจทำไมเราเชื่อแม่อย่างสนิทใจ เพราะคำพูดดูน่าเชื่อนี่เอง) ถ้าเป็นคนอื่นจะไม่เท่าไหร่แต่นี่คือคนที่เราเรียกว่าแม่
ขอแค่ความจริงยังให้ไม่ได้เลยค่ะ เฉไฉไปเรื่อย (ไม่ใช่แค่กับเรา เป็นกับทุกคน)
ปล. เราไม่ได้อยู่กับแม่มา 10 ปีแล้วตั้งแต่ออกมาเรียนมหาลัย มีแค่โทรคุย ไปหาบ้างนานๆครั้ง
กับดักความกตัญญูกับบุคคลที่เราเรียกว่าแม่
เราสนิทกับพ่อมาก ไปกับพ่อทุกที่ ไม่ว่าจะที่ทำงานหรือมหาลัยที่พ่อเรียนต่อ ไม่ได้อยู่ด้วยแค่ตอนที่เราไปเรียน
เราแทบไม่คุยไม่สนิทกับแม่เลยตั้งแต่จำความได้ เพราะแม่มีนิสัยใจร้อน ดุ และลงไม้ลงมือกับทุกคนทึ่แม่ไม่ชอบหน้า
บวกกับการที่แม่เราชอบบูลลี่หน้าตาผิวพรรณของเราตั้งแต่เด็ก (ตอนเด็กๆเราผิวคล้ำ) ส่วนแม่เราขาวสวยมาก
จนอายุ 11 ปี พ่อเราเสียชีวิตด้วยโรคร้าย พ่อได้ทำประกันไว้ให้เราและน้องไว้คนละหลักล้าน แต่แม่เราให้ทำเรื่องเข้าบัญชีแม่เพราะเห็นว่าเราและน้องยังเด็ก รักษาเงินไม่ได้ ตั้งแต่พ่อเราเสีย แม่ไม่อยู่บ้านเลยค่ะ แม่เราอ้างว่าอยากไปทำบุญที่วัด เราก็โอเค อยากให้แม่สบายใจ เพราะเราคิดว่าแม่คงเสียใจเรื่องพ่อ
แม่เราเข้าวัด นอนที่วัด ใช้เงินซื้อของเข้าวัดทุกวันไม่ต่ำกว่าวันละ 10,000 บาท เรากับน้องต้องอยู่บ้าน 2 คน (เราอายุ 11, น้อง 3 ขวบ) 1 อาทิตย์แม่จะกลับบ้านมาเพื่อเอาเงินสดให้เราไว้ใช้จ่ายในบ้านและเป็นค่าขนมไปโรงเรียนของเรากับน้อง อาทิตย์ละ 1,000 บาท อีกไม่กี่เดือนแม่ก็มาบอกเราว่ามีคนคุย ชอบคนนั้นชอบคนนี้ ณ เวลานั้นเราโอเคนะคะ ถ้าแม่มีแล้วมีความสุข (แต่สุดท้ายแม่ก็โดนหลอก) แต่ที่เราไม่โอเคคือหนึ่งในนั้นคือพี่ชายแท้ๆของพ่อ เรารับไม่ได้ค่ะ (แต่สุดท้ายแม่ก็เลิกราไป สาเหตุไม่ใช่เพราะเรา)
1 ปีต่อมาแม่มาบอกเราว่าเงินในบัญชีแทบไม่เหลือแล้ว อ้างว่าชีวิตมีแต่เรื่องใช้จ่าย ตอนนั้นเราอยู่ ม.2 จากชีวิตคุณหนู เราทำงานรับจ้างทุกอย่างเลยค่ะ เรียนเสร็จ เลิกเรียนไปรับจ้างเสิร์ฟร้านข้าวต้มกุ๊ย หยุดเสาร์-อาทิตย์ไปรับจ้างร้านซักรีด ช่วงดึกๆไปรับจ้างเปิดเพลงตามคลื่นวิทยุ (ตอนนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยรู้สึกสนุกมากเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ)
พอขึ้นม.ปลาย เรารับจ้างน้อยลง แต่เอาขนมที่แม่ทำไปขายที่โรงเรียนเกือบทุกวัน เราอยากเข้าคณะหรือมหาลัยดีๆ
จนเราสอบติดเภสัช (สมัยพ่อยังอยู่ พ่ออยากให้เรียนเภสัชค่ะ พ่อเราซีเรียสเรื่องเรียนมากๆ)
แต่แม่บอกเราว่าไม่มีเงินจะส่ง ให้เราจบแค่ม.ปลาย อยู่บ้าน เดี๋ยวก็มีผู้ชายเข้ามาหาเอง เราเสียใจกับคำพูดของแม่มากกกกก
เราตัดสินใจเข้ากรุงเทพ โดยบอกแม่ว่าจะหางานทำและเรียนด้วย ไม่ว่ายังไงก็จะเรียน
ชีวิตในกรุงเทพของเด็กต่างจังหวัดลำบากมากเลยค่ะ เราใช้ชีวิตแบบไม่มีเงินสักบาท (ยืมเพื่อนสมัยเรียนมา 2,000)
ก่อนเดินทางแม่ให้เงินเรา 20 บาท (จนทุกวันนี้ยังเก็บไว้)
เราเลือกม.เอกชนที่นึง คณะไม่ดังมาก (ค่าเทอมเท่าๆม.รัฐ) เพราะไม่ต้องสอบ ไม่ต้องอยู่หอใน ไม่ต้องฟิคเวลารับน้อง
เราต้องเวลาไปหาเงินด้วยค่ะ (ปล.กู้กยศ.ร่วมด้วย)
ตลอดเวลาที่เราเรียนมหาลัย แม่เราไม่เคยส่งเงินมาสักบาท ไม่เคยพยายามช่วยหาเงิน ไม่เคยส่งอาหารดีๆมาให้เรา เหมือนแม่คนอื่นๆ
แต่มีโทรมาหาบ้าง (2-3 เดือนโทรหาที) แต่ถ้าโทรมาทีไร มีเรื่องให้เราเสียเงินทุกที มีเรื่องต้องโอนให้แม่ตลอด
เราเหนื่อยมากเลยค่ะ เงินแต่บาทหายากมากๆ พาสทามชั่วโมงละ 38 บาท รับจ้างสอนพิเศษก็ไม่ค่อยมีมา บวกกับค่าใช้จ่ายค่าหอ ค่ากิน ค่าเรียน ค่ารถ
ท้อมากๆ เราลำบากถึงขั้นที่ไม่มีเงินพอจะซื้อข้าว ต้องแอบไปกินข้าวที่คนอื่นกินเหลือไว้ที่โรงอาหาร (พิมพ์มาถึงตรงนี้น้ำตาไหลเลยค่ะ)
เราไม่ทำงานอโคจร ไม่ทำงานกลางคืน (แต่ก็ทีทำบ้างพวกงานแฟมิลี่มาร์ชกะกลางคืน) รึเปล่าคะที่ทำให้ชีวิตลำบาก
ถามถึงเรื่องญาติ แม่เราไม่ให้ติดต่อใคร พูดใส่ไฟญาติทุกคน(ซึ่งเป็นมานานแล้ว) ว่าไม่มีใครอยากให้เรียน ไม่มีใครอยากเสียเงิน
ไม่มีใครชอบเรา ไม่มีใครอยากได้ภาระ
เราทำใจและร้องไห้ทุกวัน เราคิดถึงพ่อ เราไม่อยากอยู่ในโลกนี้ เราพยายามฆ่าตัวตายตั้งแต่มัธยม แต่ก็ไม่..
รู้สึกว่าระหว่างทางมันเหนื่อยและยากมาก อีกสาเหตุที่อยากจบชีวิต เพราะเราโดนแม่ทำร้ายร่างกายตั้งแต่มัธยม สาเหตุแม่อ้างว่าเราโดนของ
ผู้ชายคนเก่าๆของแม่ ทำของใส่เรา (แต่ไม่มีใครทำอะไรเรานะคะ)
จนถึงเรียนปี 4 เราแจ้งกับแม่ว่าไม่ไหวจะขอดรอป แอบเสียดายเวลาเหมือนกัน
แต่เราป่วย ทำงานไม่ได้ 1 เดือน++ ( แค่หนึ่งเดือนถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้แล้วค่ะ ชีวิตมีค่าใช้จ่ายรอบตัว ไหนว่าค่านู้นค่านี้ที่แม่ชอบมาขอตลอด
บวกกับทำอยู่คนเดียว สู้อยู่คนเดียวไม่มีใครซัพพอร์ต มันไปไม่ไหวจริงๆ
แม่บอกจะโทรไปขอยืมยาย เราตกใจมาก เพราะไหนบอกว่าไม่มีญาติคนไหนหวังดี (มีคำถามในหัวเต็มไปหมด)
อีก 1 วัน ยายโทรกลับมาหาเรา (ไม่ได้คุยกับยายหลายปีมากๆ) บอกว่าเอาที่ดินนาไปจำนอง จะขอช่วยเราเรื่องเรียน
น้ำตาไหลเลยค่ะ จากใจคนที่ไม่เคยมีใครคอยช่วยเหลือ
ยายถามข่าวคราว คำถามจากยายเป็นคำถามที่เราไม่เคยได้ยินจากแม่เลย เช่น กินข้าวรึยัง ไหวมั้ย เหนื่อยรึเปล่า
เราคิดถึงยาย อยากกลับไปเยี่ยมยายมากๆ แต่หลังไมค์แม่บอกว่า จะกลับเนี่ย มีเงินมีทองแล้วหรอ ญาติหน้าเงินทั้งนั้น
จะมาก็ต้องมีเงินมีทองไปให้ แม่คอยพูดให้เราเสียกำลังใจอยู่ตลอด
**ตั้งแต่วันที่พ่อเสีย เรารู้สึกว่าเราเหลือแค่แม่ ไม่แปลกที่เราจะฟังแค่แม่ค่ะ**
เราเรียนจบไป 2 ปี พ่อมาเข้าฝันเรา(จำเรื่องไม่ได้) บวกกับตลอดทั้งวันได้กลิ่นธูป กลิ่นฟอมาลีน (กลิ่นเดียวกับวันเผาศพพ่อ)
เราตัดสินใจกลับไปหายาย เพราะเป็นห่วงยาย ความเชื่อโบราณไม่ค่อยดี
สิ่งที่เราเห็น คือยายดูไม่ได้หวังเงินจากเราเลย เราคุยอะไรกับยาย แม่จะคอยหาเรื่องมาอยู่ใกล้ๆตลอดคอยแอบฟัง พิรุจสุดๆ
เรามีความสงสัย มีคำถามมาตลอดหลายปี แต่เราไม่เคยพูด เพราะคำว่าแม่
มาในวันนี้เราอายุ 27 ปีแล้วค่ะ เราเรียนจบมา 5 ปีด้วยเกียรตินิยม ทำงานไม่ตรงสายเพราะสายที่ทำตอนนี้เงินดีกว่า ชีวิตเราค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังเจอความลำบาก เจอวิบากกรรมต่างๆ วันนี้เรามีแฟน มีครอบครัวแฟนที่ดีกับเรา
และตอนนี้เอง เราก็มารู้ว่าจริงทุกอย่างว่าที่ผ่านมา คำพูดของแม่มีแต่เรื่องโกหก เงินที่แม่ขอจากเราว่าจะเอาไปจ่ายค่าไฟ ไปซ่อมรถ ซ่อมของ
ก็ไม่ได้ซ่อม ของพังวางอยู่ที่เดิม เงินที่เราช่วยยายเรื่องค่าเรียนน้องทุกเดือน ยายก็ไม่เคยได้รับ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องเงินมีอีกเยอะค่ะ
ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็มี เช่น แม่โกหกเราว่าความสัมพันธ์กับพ่อคือแม่ไม่ได้รักแต่โดนพ่อย่องเข้าห้องและข่มขืนวันแรกที่เจอ ยายรู้เข้าเลยได้แต่ง แต่ความจริงคือ แม่หอบของไปขายหน้าที่ทำงานพ่อ และพ่อก็เหมาขนมแม่บ่อยๆ ชอบพอกัน พ่อและคบกันมาหลายปีและแต่งงานปกติ(ยายเล่า) หรือจะเป็นเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่แม่มีพฤติกรรมเหมือนตัวเองโดนกระทำ ทำตัวน่าสงสาร
รวมๆแล้วตั้งแต่เราจำความได้จนถึงตอนนี้ เราไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่เป็นความจริงบ้าง จริงๆเราเองควรจะรู้มาตลอดและควรรู้มาตั้งนานแล้ว
ตั้งแต่ไปไหนก็ไปกับพ่อตลอด ไม่ได้อยู่กับแม่เลย ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกัน
หรือพฤติกรรมแม่ที่พ่อเอือม (ปกติพ่อเป็นคนไม่ค่อยพูด)
คือ ตอนเรา 3 ขวบแม่แกล้งให้เรารอแม่ที่สนามเด็กเล่นที่นึง แม่บอกเดี๋ยวมา เราก็รอ ตั้งแต่บ่าย3 จนมืดแม่ก็ยังไม่มา เรากลัวมากกกก เพราะที่นั่นไม่มีไฟเลย เราจำได้ว่าเราเดินตามหาแม่แต่ไม่เจอ เดินถามคนแถวตลาด ทุกคนก็งงว่าลูกใคร เพราะตอน 3 ขวบเราพูดไม่เป็นประโยค
เราเดินไปร้องไห้ไป พูดแต่คำว่าแม่แม่ เดินไปเรื่อยๆจนเราเจอร้านขนมเค้กที่พ่อชอบพามา(สมัยนั้นร้านเค้กขายหนังสือพิมพ์ด้วย พ่อเลยมาบ่อย)
คนที่มาเดินตลาดก็รุมดู ไม่รู้ว่าเราลูกใคร เรานั่งรอในร้านเค้ก สักพักใหญ่ๆพ่อขับรถมาตามหาเรา คนในตลาดก็รุมด่าพ่อเราว่าทิ้งลูก พ่อเราโกรธมากกกก
พอขึ้นรถ พ่อใจเย็นและถามเราว่าอยู่ที่นี่ได้ยังไง เราตอบไม่เป็นประโยค
แต่จำได้ว่า..พ่อดูเข้าใจในสิ่งที่เราพูด ว่าแม่พามาเล่นที่สนามเด็กเล่น และบอกให้รอ จนมืดก็ไม่กลับมาสักที
พอเราเริ่มโตขึ้น พ่อได้พูดเรื่องนี้กับเราอีกที พ่อบอกว่า..วันนั้นพ่อเลิกงาน 4 โมงเย็นกลับมาแล้วไม่เจอเรา พ่อเลยถามแม่ว่าลูกไปไหน แม่ก็ตีหน้ามึนไม่รู้ว่าเราหายไปไหน พ่อตามหาทั่วบ้านก็ไม่เจอ ในหมู่บ้านก็ไม่เจอ (แม่เราปั่นหัวพ่อว่าอาจจะเป็นแก๊งลักเด็ก : ตอนนั้นกำลังระบาด)
พ่อไปแจ้งตำรวจ ตามหาเราจน 2 ทุ่มก็เจอเราที่ร้านเค้ก
พ่อกลับมาคุยกับแม่ เพราะเราบอกพ่อว่าแม่พามา แม่ก็ปฏิเสธบอกเราเดินไปเอง (ระยะทางจากบ้านไปสนามเด็กเล่น 8 กิโลเมตร)
พ่อรับไม่ได้เพราะเป็นครั้งที่ 3 ที่แม่มีพฤติกรรมแปลกๆกับลูก
ครั้งที่ 1 : แม่เอาส้มตำให้เรากินหลังเราเกิดมาไม่ถึงเดือน ( พ่อบอกว่าเราท้องเสียจนหัวใจหยุดเต้น และนอนในตู้อบเป็นอาทิตย์)
ครั้งที่ 2 : ตอนเราเริ่มคลานได้ แม่วางเราไว้แถวบันได เรากลิ้งตกบันได แต่โชคดีที่มีหลังคารถรับไว้ได้ (บ้านสมัยนั้นจอดรถรถอยู่ใต้บันได)
ครั้งที่ 3 : สร้างเรื่องว่ามีแก๊งค์ลักเด็ก
จากวันนั้นพ่อก็เอาเราไปด้วยทุกที่ เราเลยสนิทกับพ่อมากๆค่ะ ได้นิสัยพ่อมาเต็มๆ
คำถามในวันนี้ : เราควรทำยังไงต่อไปดีคะ ทุกวันนี้เราเหมือนคนบ้าเลย รู้ความจริงอยู่แล้วแต่ฟังแม่ตัวเองบ่นในเรื่องที่ไม่จริงอยู่ (ไม่แปลกใจทำไมเราเชื่อแม่อย่างสนิทใจ เพราะคำพูดดูน่าเชื่อนี่เอง) ถ้าเป็นคนอื่นจะไม่เท่าไหร่แต่นี่คือคนที่เราเรียกว่าแม่
ขอแค่ความจริงยังให้ไม่ได้เลยค่ะ เฉไฉไปเรื่อย (ไม่ใช่แค่กับเรา เป็นกับทุกคน)
ปล. เราไม่ได้อยู่กับแม่มา 10 ปีแล้วตั้งแต่ออกมาเรียนมหาลัย มีแค่โทรคุย ไปหาบ้างนานๆครั้ง