โอ้โห คงไม่ต้องบอกอะไรมากกับหนังเรื่องนี้เลย เพราะมันดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แบบดีไม่ไหวแล้ว คือผมว่าทุกสถาบันครอบครัวต้องได้มาดูหนังเรื่องนี้ และถ้ามีพ่อแม่พี่น้อง ยิ่งต้องสมควรพาไปดู เพราะมันทัชใจอย่างมาก และมันลึกซึ้งสุด เรียลสุด กระแทกใจจนถึงกระดูดดำแบบกัดกินถึงความทรงจำต่างๆที่เคยผ่านมาในชีวิตในตอนที่เราใช้ชีวิตกับปู่ย่าตายายของเราเลย เชื่อไหมเวลาดูความทรงจำต่างๆมันพลั่งพลูไหลเป็นสายน้ำเข้ามาแบบไม่หยุดไม่หย่อน ใครอยากฟังรีวิวเต็มๆของผมว่าผมน้ำตาคลอให้กับท่าไหนของหนังบ้าง ... มาผมเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
เรื่องย่อ
เอ็มเด็กหนุ่มที่ไม่มีงานทำ กลับพบคำตอบที่จะช่วยให้ตนเองมีเงินใช้ได้สบายๆจากการดูเเลผู้สูงอายุ เพื่อหวังเอาสมบัติ เเละเป็นที่หนึ่งในวงตระกูล เอ็มจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับอาม่าเพื่อหวังเอาใจเเละทำคะเเนน เเต่สุดท้ายเอ็มกลับค้นพบความทรงจำต่างๆ ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมอยู่กับอาม่าของเขา โดยที่บางทีเขาก็หลงลืมมันไป
บทภาพยนตร์
คือไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาบอกจริงๆว่าบทเขียนมาดีและถึงมาก คือคุณลองนึกภาพปู่ย่าตายาย อากง อาหม่าเหล่าอึ้ม คือภาพของบทมันเขียนตัวละครให้ออกมาดูเรียลที่เรียลจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ได้ประสบพบเจอมา โดยที่คุณอาจะไม่ต้องเป็นคนไทยเชื้อสายจีนก็ได้ แต่มันจะมีโมเม้นต่างๆ ถูกหยอดเข้ามาเป็นจังหวะๆ เรื่อยๆ ไม่ขาดสายเลย และผมเชื่อว่ามันจะต้องมีจังหวะใดจังหวะหนึ่งที่เข้าไปกระแทกที่ยอดอกของคุณแล้วอุทานว่า เห้ย นี่แม่เรานี่หว่า เห้ยนั่นยายเราเลย อ้าวนี่อา น้า หรือ หลานเรานี่นา มันฟิวนั้นเลยทุกคน หนังเรื่องนี้เขียนบทครอบครัวให้ออกมามีทุกองค์ประกอบที่ในชีวิตของคุณ คุณจะต้องเจอมาสักเหตุการณ์ มันไม่ปล่อยให้คุณว่างเว้นจากโมเม้นเหล่านี้เลยครับผมบอกเลย แล้วเชื่อไหม บทไม่ได้สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรเลย มันเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนเราตามดูชีวิตของ ตัวละครอาม่ากับหลานเอ็มใช้ชีวิตไปเรื่อยๆเลย แต่สิ่งที่พิเศษของบทคือ ไอ้ความเรื่อยๆเนี่ยแหละที่ทำให้เราเข้าถึงชีวิตของคนจริงๆ ที่เราเห็นได้จากประสบการณ์ตรงของเราทั้งนั้นเลยครับ
ประโยคกระแทกใจทุกคำพูดเลย แม่เจ้าเว้ยยย!!
คือหนังเรื่องนี้โดดเด่นตรงประโยคคำพูดสุดๆครับ ประโยคที่ผมว่าคือสิ่งที่ทุกคนได้ยินมาตลอดเวลาเราอยู่กับคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งเอาจริงๆมันก็แสนธรรมดามากกกก แต่พิเศษใส่ไข่สุดเมื่อได้ยินผ่านหนังเรื่องนี้
“กินอะไรมาหรือยัง”
โอ้โหผมนี่น้ำตาคลอเลย คือจะพูดไงดีล่ะ ทุกครั้งที่กลับไปหายาย ตา หรือญาติผู้ใหญ่ คำนี้คือเดอะเบสที่ติดปาก ตายายเรามาก กินไรมายังลูก, หิวไหม, เดี๋ยวทำอะไรให้กินเอาไหม, สบายดีไหม, เจ็บไข้หรือเปล่า คือมันธรรมดา ธรรมดาสุดๆ แต่พอได้ยินทีไรมันสัมผัสๆได้ถึงเซฟโซนของบ้าน มันอบอุ่น มันปลอดภัย และมันคือความทรงจำอันมีค่ามาก แค่คำไม่กี่คำประโยค ที่ไม่ต้องปั้นแต่งให้สวยหรูดูแพง แต่มันทรงพลัง มันตอบทุกความห่วงใยที่มีให้กันโดยที่ไม่ต้องหยิบยื่นของมีค่าให้กันเลย
“ถ้าอีไม่กลับมาได้ยิ่งดี เพราะนั่นแปลว่าอียังสบายดี”
อีกคำที่กระแทกหน้าอีกรอบ ผมเชื่อว่าลูกหลานหลายบ้านเป็นที่บางครั้งเราวุ่นกับการงานจนไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเราก็เข้าใจทั้งสองฝ่าย อีกฝ่ายก็ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี หาเลี้ยงตนเองได้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้หวังอะไรมาก หวังแค่ปีละครั้งที่จะได้เจอหน้า และคุยกันบ้างก็ยังดี
ซึ่งพออาม่าพูดประโยคนี้ปั๊บ ผมคลอเบ้าเป็นครั้งที่สองเลย ผมเชื่อว่าคนแก่ หรือพ่อแม่พวกเรา เขารู้ชีวิตลูกๆแต่ละคนดี รู้ว่าลูกคนไหนทุกข์ คนไหนสุข คนไหนขัดสนหรือคนไหนมั่งมี เพราะเขาเลี้ยงพวกเรามาเป็นสิบๆปี ทำไมจะไม่รู้นิสัยของลูกแต่ละคน เขาไม่ได้คาดหวังให้เราต้องทำอะไรให้เขามาก เพียงแค่เติบโตไปอย่างมีคุณภาพ และเลี้ยงตัวเองได้ก็พอแล้ว
“พอเอ็งมาอยู่ด้วย ก็สนุกดีนะ”
เป็นประโยคที่อาม่าพูดกับเอ็มตอนเอ็มมากินอยู่หลับนอนที่บ้านอาม่า มันสื่อถึงว่าลึกๆแล้วอาม่าเหงา แต่ด้วยความเป็นคนแก่เขาปากหนัก อะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้เขาจะไม่ค่อยพูดหรือแสดงออกไปให้คนอื่นรับรู้เยอะ ผมว่าคนแก่ในบ้านหลายๆบ้านเป็น คือไม่แสดงออกทางคำพูดหรืออารมณ์ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมันมีโอกาสอะไรบางอย่างทำให้พวกเขาเหล่านั้นเอ่ยปากพูดถึงสิ่งที่ต้องการออกมา และผมคิดว่าใจหนึ่งที่เขาไม่อยากจะพูดเพราะบางทีเขาเห็นพวกเราปวดหัวกับชีวิตมากพออยู่แล้ว ไม่อยากจะหาเรื่องอะไรให้เราปวดหัวเพิ่มอีก เลยทำได้แค่เพียงนิ่งเฉย ไม่แสดงความต้องการของตนเองออกมาให้เป็นที่กระทบจิตใจของลูกๆ
คำสัญญาไม่มีวันลืม แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแสนนาน
อันนี้คือที่สุด ในเรื่อง อาม่าจำทุกรายละเอียดที่เคยพูดไว้กับลูกหลานได้หมดทุกคน แม้ลูกหลานจะลืมไปแล้วก็ตาม มันคือเรื่องจริงไม่อิงนิยายเลย คนแก่อย่าคิดว่าเขาจะหลงๆลืมๆไปหมดทุกคน บางคนจำแม่นไปถึงก้นบึ้งหัวใจ เคยไหมเวลาพ่อแม่ หรือตายายชอบพูดว่า แต่ก่อนเราชอบกินอันนี้ ของโปรดเราเป็นอันนั้น แต่ก่อนเราชอบบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ชอบสิ่งนั้น แต่ชอบสิ่งนี้ คือไอ้ประโยครูปแบบนี้ มันถูกบันทึกลงไปในความทรงจำระดับลึกของคนเฒ่าคนแก่บางคน เขาจะจดจำทุกรายละเอียดของพวกเราได้ทั้งหมด และถ้ายิ่งเป็นคำสัญญาด้วยแล้ว ยิ่งจำ จำแบบเป็นสิบๆปีก็ยังจำ และอดทนรอคอยเก่งมาก เก่งชนิดที่ว่าเป็นพวกเราสองสามวันก็ลืมไปแล้ว แต่พวกเขาจำไม่เคยลืม และพยายามรักษาสัญญามาโดยตลอด โดยที่บางทีเราก็ลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยพูดอะไรออกไปบ้าง
ไม่เคยโกรธลูกหลานเลย แม้ว่าชีวิตจะตกต่ำถึงเพียงไหน
อันนี้อาจจะไม่ได้เป็นกันทุกคน แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถึงเขาจะโกรธจริงๆ แต่ในความโกรธนั้นมันมีคำว่า “ห่วง” แฝงอยู่ แน่นอนลูกหลานอาม่าในเรื่องมันก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกคน บางคนคิดแต่ครอบครัวตัวเอง บางคนเป็นนี้ บางคนไม่ทำงานทำการ อาม่าก็ด่าบ้างบ่นบ้างไปตามภาษาคนแก่ ซึ่งบางทีเขาก็ด่าๆไปเพราะอารมณ์แบบนั้นแหละ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรแฝงอยู่ในนั้น ผมเคยเป็นคนๆหนึ่งซึ่งก็เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาที่เคยต้องมีปากเสียงกับพ่อแม่สักครั้ง แต่สิ่งที่ผมมานั่งคิดได้ตอนหลังเลยคือ ทุกครั้งที่โกรธกัน แต่มีสิ่งๆหนึ่งที่แม่ผมไม่เคยลืมเลยคือ ทำกับข้าวให้ผมกิน บนโต๊ะจะไม่เคยว่างจากอาหารเลย แม้เราจะไม่คุยกันก็ตาม แต่การกระทำมันสื่อออกมาชัดเจนว่า เขาก็ยังห่วงเราเสมอ ต่อให้ตอนนั้นเราจะทำไม่ดี หรือว่าร้ายใส่เข้าแค่ไหนก็ตาม แต่ความเป็นแม่ก็ยังห่วงลูกอยู่วันยังค่ำ นี่นึกไปน้ำตาก็จะคลอออกมาอีกแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย 5555555
สะท้อนสังคมผู้สูงอายุในไทยได้อย่างชัดเจนและเรียล
หนังเรื่องนี้สะท้อนสังคนผู้สูงวัยในไทยมาก ทั้งเรื่องของการเลี้ยงดูของลูกหลาน โดยในเรื่องจะนำเสนอให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ใครที่ลูกหลานได้ดิบได้ดี หรือเป็นตะกูลที่รวย ชีวิตบั้นปลายแสนจะสุขสบาย มีสุขภาพกายและใจที่ดี แต่ถ้าบ้านไหนลูกหลานไม่ดีและไม่ร่ำรวย ก็ต้องใช้ชีวิตแบบเดียวดายและยากลำบาก หลายคนอาจมองว่าทำไมหนังต้องนำเสนออะไรที่ตอกย้ำคุณภาพชีวิตคนแบบนี้ แต่ผมต้องบอกว่า มันคือเรื่องจริงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ เพราะหนังเอาความจริงมาพูดทั้งหมด
“ลื้อก็หว่านพืชหวังผลเหมือนกันใช่ไหม”
คำๆนี้มันเป็นคำตลกร้ายในเรื่องมาก ผมว่าหลายๆคนก็คงเห็นมาจากตัวอย่างแล้ว ที่เอ็ม หลานม่า เข้าไปดูแลอาม่าเพื่อหวังทรัพสมบัติของอาม่า จะบอกว่าเอ็มเป็นคนชั่วไหม ก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะถึงเอ็มจะหวังผลจริงๆ แต่เอ็มก็ยังดูแลอาม่าแบบดูแลจริงๆ ดูแลในขณะที่ลูกๆของอาม่าเองก็ดูแลแบบเอ็มไม่ได้ เพราะงั้นเอ็มไม่ได้ผิดที่จะคิดหว่านพืชหวังผล แต่มันสำคัญตรงที่ว่าเอ็มหว่านพืชไปในทิศทางไหนเพื่อจะหวังผลนั้นต่างหาก ซึ่งเอ็มเป็นคนหว่านพืชชั้นเลิศให้อาม่าเป็นอย่างดี และผมก็มองว่าเอ็มมันก็มนุษย์คนหนึ่งสีเทาๆ ที่ก็อยากมีเงินมีทองใช้กับคนอื่นเขาบ้างก็เท่านั้น แต่สิ่งที่เอ็มมีและผมชอบมากคือ เอ็มเป็นคนซื่อตรง และความคิดเป็นเส้นตรง อยากได้อะไรก็พูดแบบนั้น ไม่ชอบอะไรก็บอกไปเลย ซึ่งมันทำให้ตัวละครเอ็มดูไม่มีพิษมีภัยใดๆเลยในเรื่อง
วัฒนธรรมจีนในสังคมไทย
หนังเรื่องนี้ยังสะท้อนวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายจีนได้ดีไม่แพ้กันกับดราม่าที่ปูมา เอาจริงๆเราได้เห็นไปแล้วกับ ซีรีส์เลือดค้นคนจาง ที่อากงหรืออาม่า จะรักลูกหลานไม่เท่ากัน แต่ในหนังเรื่อง หลานม่า จะมาจับประเด็นของฝ่ายหญิงชัดเจนที่สุด เพราะผู้หญิงที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมนี้เป็นคนที่ต้องเหนื่อยยากลำบากที่สุด และไม่มีคำว่าได้อะไรมาง่ายๆ ในเรื่องเราจะสัมผัสได้เลยว่าตัวละครหญิงทั้งหมด ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แม่เอ็มต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ อาม่าก็ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรมากมายเพื่อที่จะแบ่งให้ลูกหลานตนเองเยอะ
โมเม้นชีวิตประจำวันที่เราเคยเจอ
หนังเรื่องหลานม่า จะชอบหยอดวิถีชีวิตประจำวันของคนแก่ในแบบไทยๆให้เราเห็นแบบทำการบ้านมาดีมาก ทั้งเรื่องการต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐตั้งแต่ตี4 ตี5 เพื่อจองคิวหมอ การไหว้เจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องไหว้ให้ถูก ห้ามผิด! การเอาของฝากไปฝากคนรู้จัก หรือเจ้าหน้าที่ธนาคาร หมอพยาบาล ที่คอยดูแลเป็นประจำ อะไรแบบนี้มันทำให้ตัวหนังสมจริงและเราสัมผัสได้จริงๆของวิถีชีวิตคนแก่ ที่ในแต่ละวันเขาได้ไปทำอย่างนั้น อย่างนี้มา และผมเชื่อว่าคุณแค่เดินออกไปหน้าปากซอยบ้านคุณ คุณก็จะเจอกับภาพคนเฒ่าคนชรา ที่ใช้ชีวิตตามแบบที่หนังนำเสนอออกมา
หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นๆว่า หนังมันพาเราย้อนวัยไปในช่วงชีวิตที่เราเคยใช้ร่วมกันกับปู่ย่า ตายาย อากงอาม่าของเรามา บ้านไม้เก่าๆ ข้าวของวางเกะกะที่สะสมจนกองพะเนิน อาหารที่หมกอยู่ในตู้เย็นนานปีจนจำไม่ได้แล้วว่าซื้อมาตอนไหน กล่องยาและถุงยาโรคประจำตัวที่มีติดตัวไว้ตลอด สิ่งเหล่านี้ถูกนำเสนอในหนังอย่างละเอียดละเมียดละไมมาก เรียกได้ว่าตอนที่ดูกลิ่นบ้าน กลิ่นของอดีตมันตีเข้าหน้าคนดูออกมาได้ หนังทำได้ถึงขั้นนั้นเลย
“รู้ไหมการที่จะบอกได้ว่าเราอยู่กับพวกเขานานแค่ไหน ก็คืออยู่จนไม่ได้กลิ่นเลยยังไงล่ะ”
เป็นอีกประโยคที่ผมชอบมากเหมือนกัน และมันจริงด้วย เคยไหมเวลาไปบ้านย่าบ้านยาย สิ่งที่เรามักพูดติดตลกตลอดว่า “ก็เนี่ยมีแต่กลิ่นคนแก่” 555555 แต่นั่นแหละแปลว่าเราอยู่กับพวกเขาไม่มากพอ ผมเชื่อว่ามีหลายคนต้องเคยไปสถานที่ใดสถานที่หนึ่งแล้วจำกลิ่นของมันได้ตอนไปใหม่ๆ แต่พออยู่ไปสักพัก กลิ่นมันหายไปไหนก็ไม่รู้ นั่นเพราะแปลว่าเราอยู่นาน นานพอที่ร่างกายเราคุ้นชินและปรับตัวกับกลิ่นๆนั้นได้แล้ว เราจึงไม่ได้กลิ่น เรื่องหลานม่ากำลังบอกคนดูเป็นนัยๆว่า เราได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ หรือตายายเรา นานแค่ไหน นานพอที่จะทำให้เราคุ้นชินกับกลิ่นเหล่าหรือยัง
รีวิวไม่สปอย หลานม่า หนังที่บังคับให้ทุกคนในครอบครัวต้องไปดูให้ได้!
โอ้โห คงไม่ต้องบอกอะไรมากกับหนังเรื่องนี้เลย เพราะมันดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แบบดีไม่ไหวแล้ว คือผมว่าทุกสถาบันครอบครัวต้องได้มาดูหนังเรื่องนี้ และถ้ามีพ่อแม่พี่น้อง ยิ่งต้องสมควรพาไปดู เพราะมันทัชใจอย่างมาก และมันลึกซึ้งสุด เรียลสุด กระแทกใจจนถึงกระดูดดำแบบกัดกินถึงความทรงจำต่างๆที่เคยผ่านมาในชีวิตในตอนที่เราใช้ชีวิตกับปู่ย่าตายายของเราเลย เชื่อไหมเวลาดูความทรงจำต่างๆมันพลั่งพลูไหลเป็นสายน้ำเข้ามาแบบไม่หยุดไม่หย่อน ใครอยากฟังรีวิวเต็มๆของผมว่าผมน้ำตาคลอให้กับท่าไหนของหนังบ้าง ... มาผมเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
เรื่องย่อ
เอ็มเด็กหนุ่มที่ไม่มีงานทำ กลับพบคำตอบที่จะช่วยให้ตนเองมีเงินใช้ได้สบายๆจากการดูเเลผู้สูงอายุ เพื่อหวังเอาสมบัติ เเละเป็นที่หนึ่งในวงตระกูล เอ็มจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับอาม่าเพื่อหวังเอาใจเเละทำคะเเนน เเต่สุดท้ายเอ็มกลับค้นพบความทรงจำต่างๆ ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมอยู่กับอาม่าของเขา โดยที่บางทีเขาก็หลงลืมมันไป
บทภาพยนตร์
คือไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาบอกจริงๆว่าบทเขียนมาดีและถึงมาก คือคุณลองนึกภาพปู่ย่าตายาย อากง อาหม่าเหล่าอึ้ม คือภาพของบทมันเขียนตัวละครให้ออกมาดูเรียลที่เรียลจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ได้ประสบพบเจอมา โดยที่คุณอาจะไม่ต้องเป็นคนไทยเชื้อสายจีนก็ได้ แต่มันจะมีโมเม้นต่างๆ ถูกหยอดเข้ามาเป็นจังหวะๆ เรื่อยๆ ไม่ขาดสายเลย และผมเชื่อว่ามันจะต้องมีจังหวะใดจังหวะหนึ่งที่เข้าไปกระแทกที่ยอดอกของคุณแล้วอุทานว่า เห้ย นี่แม่เรานี่หว่า เห้ยนั่นยายเราเลย อ้าวนี่อา น้า หรือ หลานเรานี่นา มันฟิวนั้นเลยทุกคน หนังเรื่องนี้เขียนบทครอบครัวให้ออกมามีทุกองค์ประกอบที่ในชีวิตของคุณ คุณจะต้องเจอมาสักเหตุการณ์ มันไม่ปล่อยให้คุณว่างเว้นจากโมเม้นเหล่านี้เลยครับผมบอกเลย แล้วเชื่อไหม บทไม่ได้สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรเลย มันเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนเราตามดูชีวิตของ ตัวละครอาม่ากับหลานเอ็มใช้ชีวิตไปเรื่อยๆเลย แต่สิ่งที่พิเศษของบทคือ ไอ้ความเรื่อยๆเนี่ยแหละที่ทำให้เราเข้าถึงชีวิตของคนจริงๆ ที่เราเห็นได้จากประสบการณ์ตรงของเราทั้งนั้นเลยครับ
ประโยคกระแทกใจทุกคำพูดเลย แม่เจ้าเว้ยยย!!
คือหนังเรื่องนี้โดดเด่นตรงประโยคคำพูดสุดๆครับ ประโยคที่ผมว่าคือสิ่งที่ทุกคนได้ยินมาตลอดเวลาเราอยู่กับคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งเอาจริงๆมันก็แสนธรรมดามากกกก แต่พิเศษใส่ไข่สุดเมื่อได้ยินผ่านหนังเรื่องนี้
“กินอะไรมาหรือยัง”
โอ้โหผมนี่น้ำตาคลอเลย คือจะพูดไงดีล่ะ ทุกครั้งที่กลับไปหายาย ตา หรือญาติผู้ใหญ่ คำนี้คือเดอะเบสที่ติดปาก ตายายเรามาก กินไรมายังลูก, หิวไหม, เดี๋ยวทำอะไรให้กินเอาไหม, สบายดีไหม, เจ็บไข้หรือเปล่า คือมันธรรมดา ธรรมดาสุดๆ แต่พอได้ยินทีไรมันสัมผัสๆได้ถึงเซฟโซนของบ้าน มันอบอุ่น มันปลอดภัย และมันคือความทรงจำอันมีค่ามาก แค่คำไม่กี่คำประโยค ที่ไม่ต้องปั้นแต่งให้สวยหรูดูแพง แต่มันทรงพลัง มันตอบทุกความห่วงใยที่มีให้กันโดยที่ไม่ต้องหยิบยื่นของมีค่าให้กันเลย
“ถ้าอีไม่กลับมาได้ยิ่งดี เพราะนั่นแปลว่าอียังสบายดี”
อีกคำที่กระแทกหน้าอีกรอบ ผมเชื่อว่าลูกหลานหลายบ้านเป็นที่บางครั้งเราวุ่นกับการงานจนไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเราก็เข้าใจทั้งสองฝ่าย อีกฝ่ายก็ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี หาเลี้ยงตนเองได้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้หวังอะไรมาก หวังแค่ปีละครั้งที่จะได้เจอหน้า และคุยกันบ้างก็ยังดี
ซึ่งพออาม่าพูดประโยคนี้ปั๊บ ผมคลอเบ้าเป็นครั้งที่สองเลย ผมเชื่อว่าคนแก่ หรือพ่อแม่พวกเรา เขารู้ชีวิตลูกๆแต่ละคนดี รู้ว่าลูกคนไหนทุกข์ คนไหนสุข คนไหนขัดสนหรือคนไหนมั่งมี เพราะเขาเลี้ยงพวกเรามาเป็นสิบๆปี ทำไมจะไม่รู้นิสัยของลูกแต่ละคน เขาไม่ได้คาดหวังให้เราต้องทำอะไรให้เขามาก เพียงแค่เติบโตไปอย่างมีคุณภาพ และเลี้ยงตัวเองได้ก็พอแล้ว
“พอเอ็งมาอยู่ด้วย ก็สนุกดีนะ”
เป็นประโยคที่อาม่าพูดกับเอ็มตอนเอ็มมากินอยู่หลับนอนที่บ้านอาม่า มันสื่อถึงว่าลึกๆแล้วอาม่าเหงา แต่ด้วยความเป็นคนแก่เขาปากหนัก อะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้เขาจะไม่ค่อยพูดหรือแสดงออกไปให้คนอื่นรับรู้เยอะ ผมว่าคนแก่ในบ้านหลายๆบ้านเป็น คือไม่แสดงออกทางคำพูดหรืออารมณ์ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมันมีโอกาสอะไรบางอย่างทำให้พวกเขาเหล่านั้นเอ่ยปากพูดถึงสิ่งที่ต้องการออกมา และผมคิดว่าใจหนึ่งที่เขาไม่อยากจะพูดเพราะบางทีเขาเห็นพวกเราปวดหัวกับชีวิตมากพออยู่แล้ว ไม่อยากจะหาเรื่องอะไรให้เราปวดหัวเพิ่มอีก เลยทำได้แค่เพียงนิ่งเฉย ไม่แสดงความต้องการของตนเองออกมาให้เป็นที่กระทบจิตใจของลูกๆ
คำสัญญาไม่มีวันลืม แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแสนนาน
อันนี้คือที่สุด ในเรื่อง อาม่าจำทุกรายละเอียดที่เคยพูดไว้กับลูกหลานได้หมดทุกคน แม้ลูกหลานจะลืมไปแล้วก็ตาม มันคือเรื่องจริงไม่อิงนิยายเลย คนแก่อย่าคิดว่าเขาจะหลงๆลืมๆไปหมดทุกคน บางคนจำแม่นไปถึงก้นบึ้งหัวใจ เคยไหมเวลาพ่อแม่ หรือตายายชอบพูดว่า แต่ก่อนเราชอบกินอันนี้ ของโปรดเราเป็นอันนั้น แต่ก่อนเราชอบบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ชอบสิ่งนั้น แต่ชอบสิ่งนี้ คือไอ้ประโยครูปแบบนี้ มันถูกบันทึกลงไปในความทรงจำระดับลึกของคนเฒ่าคนแก่บางคน เขาจะจดจำทุกรายละเอียดของพวกเราได้ทั้งหมด และถ้ายิ่งเป็นคำสัญญาด้วยแล้ว ยิ่งจำ จำแบบเป็นสิบๆปีก็ยังจำ และอดทนรอคอยเก่งมาก เก่งชนิดที่ว่าเป็นพวกเราสองสามวันก็ลืมไปแล้ว แต่พวกเขาจำไม่เคยลืม และพยายามรักษาสัญญามาโดยตลอด โดยที่บางทีเราก็ลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยพูดอะไรออกไปบ้าง
ไม่เคยโกรธลูกหลานเลย แม้ว่าชีวิตจะตกต่ำถึงเพียงไหน
อันนี้อาจจะไม่ได้เป็นกันทุกคน แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถึงเขาจะโกรธจริงๆ แต่ในความโกรธนั้นมันมีคำว่า “ห่วง” แฝงอยู่ แน่นอนลูกหลานอาม่าในเรื่องมันก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกคน บางคนคิดแต่ครอบครัวตัวเอง บางคนเป็นนี้ บางคนไม่ทำงานทำการ อาม่าก็ด่าบ้างบ่นบ้างไปตามภาษาคนแก่ ซึ่งบางทีเขาก็ด่าๆไปเพราะอารมณ์แบบนั้นแหละ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรแฝงอยู่ในนั้น ผมเคยเป็นคนๆหนึ่งซึ่งก็เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาที่เคยต้องมีปากเสียงกับพ่อแม่สักครั้ง แต่สิ่งที่ผมมานั่งคิดได้ตอนหลังเลยคือ ทุกครั้งที่โกรธกัน แต่มีสิ่งๆหนึ่งที่แม่ผมไม่เคยลืมเลยคือ ทำกับข้าวให้ผมกิน บนโต๊ะจะไม่เคยว่างจากอาหารเลย แม้เราจะไม่คุยกันก็ตาม แต่การกระทำมันสื่อออกมาชัดเจนว่า เขาก็ยังห่วงเราเสมอ ต่อให้ตอนนั้นเราจะทำไม่ดี หรือว่าร้ายใส่เข้าแค่ไหนก็ตาม แต่ความเป็นแม่ก็ยังห่วงลูกอยู่วันยังค่ำ นี่นึกไปน้ำตาก็จะคลอออกมาอีกแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย 5555555
สะท้อนสังคมผู้สูงอายุในไทยได้อย่างชัดเจนและเรียล
หนังเรื่องนี้สะท้อนสังคนผู้สูงวัยในไทยมาก ทั้งเรื่องของการเลี้ยงดูของลูกหลาน โดยในเรื่องจะนำเสนอให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ใครที่ลูกหลานได้ดิบได้ดี หรือเป็นตะกูลที่รวย ชีวิตบั้นปลายแสนจะสุขสบาย มีสุขภาพกายและใจที่ดี แต่ถ้าบ้านไหนลูกหลานไม่ดีและไม่ร่ำรวย ก็ต้องใช้ชีวิตแบบเดียวดายและยากลำบาก หลายคนอาจมองว่าทำไมหนังต้องนำเสนออะไรที่ตอกย้ำคุณภาพชีวิตคนแบบนี้ แต่ผมต้องบอกว่า มันคือเรื่องจริงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ เพราะหนังเอาความจริงมาพูดทั้งหมด
“ลื้อก็หว่านพืชหวังผลเหมือนกันใช่ไหม”
คำๆนี้มันเป็นคำตลกร้ายในเรื่องมาก ผมว่าหลายๆคนก็คงเห็นมาจากตัวอย่างแล้ว ที่เอ็ม หลานม่า เข้าไปดูแลอาม่าเพื่อหวังทรัพสมบัติของอาม่า จะบอกว่าเอ็มเป็นคนชั่วไหม ก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะถึงเอ็มจะหวังผลจริงๆ แต่เอ็มก็ยังดูแลอาม่าแบบดูแลจริงๆ ดูแลในขณะที่ลูกๆของอาม่าเองก็ดูแลแบบเอ็มไม่ได้ เพราะงั้นเอ็มไม่ได้ผิดที่จะคิดหว่านพืชหวังผล แต่มันสำคัญตรงที่ว่าเอ็มหว่านพืชไปในทิศทางไหนเพื่อจะหวังผลนั้นต่างหาก ซึ่งเอ็มเป็นคนหว่านพืชชั้นเลิศให้อาม่าเป็นอย่างดี และผมก็มองว่าเอ็มมันก็มนุษย์คนหนึ่งสีเทาๆ ที่ก็อยากมีเงินมีทองใช้กับคนอื่นเขาบ้างก็เท่านั้น แต่สิ่งที่เอ็มมีและผมชอบมากคือ เอ็มเป็นคนซื่อตรง และความคิดเป็นเส้นตรง อยากได้อะไรก็พูดแบบนั้น ไม่ชอบอะไรก็บอกไปเลย ซึ่งมันทำให้ตัวละครเอ็มดูไม่มีพิษมีภัยใดๆเลยในเรื่อง
วัฒนธรรมจีนในสังคมไทย
หนังเรื่องนี้ยังสะท้อนวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายจีนได้ดีไม่แพ้กันกับดราม่าที่ปูมา เอาจริงๆเราได้เห็นไปแล้วกับ ซีรีส์เลือดค้นคนจาง ที่อากงหรืออาม่า จะรักลูกหลานไม่เท่ากัน แต่ในหนังเรื่อง หลานม่า จะมาจับประเด็นของฝ่ายหญิงชัดเจนที่สุด เพราะผู้หญิงที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมนี้เป็นคนที่ต้องเหนื่อยยากลำบากที่สุด และไม่มีคำว่าได้อะไรมาง่ายๆ ในเรื่องเราจะสัมผัสได้เลยว่าตัวละครหญิงทั้งหมด ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แม่เอ็มต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ อาม่าก็ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรมากมายเพื่อที่จะแบ่งให้ลูกหลานตนเองเยอะ
โมเม้นชีวิตประจำวันที่เราเคยเจอ
หนังเรื่องหลานม่า จะชอบหยอดวิถีชีวิตประจำวันของคนแก่ในแบบไทยๆให้เราเห็นแบบทำการบ้านมาดีมาก ทั้งเรื่องการต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐตั้งแต่ตี4 ตี5 เพื่อจองคิวหมอ การไหว้เจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องไหว้ให้ถูก ห้ามผิด! การเอาของฝากไปฝากคนรู้จัก หรือเจ้าหน้าที่ธนาคาร หมอพยาบาล ที่คอยดูแลเป็นประจำ อะไรแบบนี้มันทำให้ตัวหนังสมจริงและเราสัมผัสได้จริงๆของวิถีชีวิตคนแก่ ที่ในแต่ละวันเขาได้ไปทำอย่างนั้น อย่างนี้มา และผมเชื่อว่าคุณแค่เดินออกไปหน้าปากซอยบ้านคุณ คุณก็จะเจอกับภาพคนเฒ่าคนชรา ที่ใช้ชีวิตตามแบบที่หนังนำเสนอออกมา
หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นๆว่า หนังมันพาเราย้อนวัยไปในช่วงชีวิตที่เราเคยใช้ร่วมกันกับปู่ย่า ตายาย อากงอาม่าของเรามา บ้านไม้เก่าๆ ข้าวของวางเกะกะที่สะสมจนกองพะเนิน อาหารที่หมกอยู่ในตู้เย็นนานปีจนจำไม่ได้แล้วว่าซื้อมาตอนไหน กล่องยาและถุงยาโรคประจำตัวที่มีติดตัวไว้ตลอด สิ่งเหล่านี้ถูกนำเสนอในหนังอย่างละเอียดละเมียดละไมมาก เรียกได้ว่าตอนที่ดูกลิ่นบ้าน กลิ่นของอดีตมันตีเข้าหน้าคนดูออกมาได้ หนังทำได้ถึงขั้นนั้นเลย
“รู้ไหมการที่จะบอกได้ว่าเราอยู่กับพวกเขานานแค่ไหน ก็คืออยู่จนไม่ได้กลิ่นเลยยังไงล่ะ”
เป็นอีกประโยคที่ผมชอบมากเหมือนกัน และมันจริงด้วย เคยไหมเวลาไปบ้านย่าบ้านยาย สิ่งที่เรามักพูดติดตลกตลอดว่า “ก็เนี่ยมีแต่กลิ่นคนแก่” 555555 แต่นั่นแหละแปลว่าเราอยู่กับพวกเขาไม่มากพอ ผมเชื่อว่ามีหลายคนต้องเคยไปสถานที่ใดสถานที่หนึ่งแล้วจำกลิ่นของมันได้ตอนไปใหม่ๆ แต่พออยู่ไปสักพัก กลิ่นมันหายไปไหนก็ไม่รู้ นั่นเพราะแปลว่าเราอยู่นาน นานพอที่ร่างกายเราคุ้นชินและปรับตัวกับกลิ่นๆนั้นได้แล้ว เราจึงไม่ได้กลิ่น เรื่องหลานม่ากำลังบอกคนดูเป็นนัยๆว่า เราได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ หรือตายายเรา นานแค่ไหน นานพอที่จะทำให้เราคุ้นชินกับกลิ่นเหล่าหรือยัง