สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เรามีเรื่องคิดไม่ตก ทำให้มีปัญหาในความคิดและการใช้ชีวิตค่ะ มันเป็นปมที่สะสมมาเรื่อยๆตั้งแต่เด็ก อยากให้เพื่อนๆช่วยเราคิดหน่อยว่าเราควรจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง ขอแบบจริงจังไม่ดราม่านะคะ เพราะตอนนี้เครียดมากๆ ยาวหน่อยนะคะ
เราเป็นเด็ก ตจว.ที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ 6 ขวบ พ่อแม่รับราชการทั้งคู่ พ่อเป็นคนเจ้าชู้มากๆ ที่เลิกกันเพราะมีเมียน้อย ฝั่งพ่อ ปู่ย่าฐานะทางบ้านมีอันจะกินค่อนไปทางร่ำรวย พี่น้องฝั่งพ่อถ้าไม่รับราชการก็บริหารกิจการครอบครัวและเป็นที่รู้จักกันดีในอำเภอ ฝั่งแม่ ตายายอยู่อีกจังหวัดค่อนข้างยากจนเป็นชาวนา แม่เป็นลูกคนเดียวในจำนวน 9 คนที่ได้เรียนสูงที่สุด นอกนั้นไม่รับจ้างทั่วไปก็เป็นชาวนา หลังจากที่พ่อแม่เลิกกันแม่เอาเราไปอยู่ด้วยที่จังหวัดบ้านเกิด แต่ด้วยความที่แม่ต้องทำงานแบบเข้าเวรดึกและเวลาทำงานไม่แน่นอนจึงทำให้ทะลักทุเลพอควรสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยว ผ่านไป 1 ปีแม่ก็ตัดสินใจยกเราให้กับฝั่งพ่อไปเลยโดนให้เหตุผลว่าฝั่งพ่อน่าจะมีกำลังที่จะส่งเสียเราให้ได้เรียนสูงๆได้ พอเราย้ายมาอยู่กับฝั่งพ่อคนที่เลี้ยงเราจริงๆคือปู่ย่าและป้าๆ 3 คน เพราะพ่อต้องย้ายไปรับตำแหน่งต่างอำเภอเรื่อยๆ น่าจะครบทุกอำเภอในจังหวัดแล้วและอยู่กับเมียน้อยที่กลายมาเป็นแม่เลี้ยงเรา ด้วยความที่ฐานะปู่ย่าดีมากพวกท่านได้ซื้อบ้านไว้ใน กทม. เพื่อให้ลูกหลานทุกคนได้เข้าไปอยู่และเรียนหนังสือที่นั่นแทบจะทุกคนรวมทั้งเรา โดยมีป้าคนที่ 1 และ 2 ของเราอาศัยและเป็นผู้ปกครองตั้งแต่ ป.1 จนจบมัธยมปลาย เราจึงสนิทกับป้าๆมาก ตั้งแต่จำความได้แม่ไม่เคยมาหาเราเลยสักครั้งที่กรุงเทพ แม่แต่งงานใหม่ตอนเราอยู่ ป. 6 แม้กระทั่งตอนที่เราไม่สบายหนักมากจนต้องเข้า รพ. พ่อที่นานๆเจอกันมาเยี่ยมคนเดียว ช่วงจะเข้ามหาลัยครอบครัวปู่ย่ากิจการล้มเหลวเพราะป้าคนที่ 3 บริหารกิจการครอบครัวทำทุกอย่างพัง จากครอบครัวที่เคยร่ำรวยที่สุดครอบครัวหนึ่งกลับกลายเป็นหนี้ล้มละลาย ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสิน ป้าคนที่ทำธุรกิจพังมายืมเงินพ่อเราไปหมุนเพื่อใช้หนี้และไม่ยอมคืน คราวนี้กลายเป็นพังราบเป็นหน้ากลองทุกคน เราอยู่ กทม. จนจบ ม.6 ก็เอ็นติดมหาลัยที่ ตจว.
ชีวิตในมหาลัยเราก็ยากลำบากมากๆ จ่ายค่าเทอมเป็นคนสุดท้ายตลอด ฝ่ายทะเบียนต้องตามทวงเงินทุกเทอมปี 1 ยัน ปี 4 พ่อก็ต้องมาใช้หนี้แทนป้า เพราะพ่อก็ไปยืมมาอีกทอดหนึ่ง พ่อเราเลยบอกให้ป้าช่วยกันส่งเราเรียนจนจบ ถือเป็นการหักหนี้ไปในตัว คณะที่เราเรียนเป็นคณะที่เราใฝ่ฝันเป็นหลักสูตรอินเตอร์ค่าเทอมก็เป็นหลักหมื่น เราต้องดิ้นรนทั้งน้ำตากว่าจะเรียนจบ บางเทอมพ่อส่งบางเทอมป้าส่ง ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนป้าก็จะส่ง บางทีบอกไม่มีก็เล่นไม่ส่งแบบดื้อๆ ไม่คิดเลยว่าเราจะอยู่ยังไง เราเครียดมาก การเรียนถดถอยเพราะมัวแต่ไปทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียนเป็นโฮสเตสที่ร้านอาหาร กว่าจะเลิกงานก็ดึกมาก เช้าก็ต้องไปเรียนแต่ก็ต้องทนเผื่อเดือนไหนไม่มีใครส่งก็ยังพอมีเงินกินข้าว การเงินลุ่มๆดอนๆจนถึงปีสุดท้าย เราเลยโทรไปหาแม่ที่ ขอให้แม่ช่วยค่าเทอม แม่ด่าเราเละเลยบอกว่าจะเรียนไปทำไมนักหนาเป็นผู้หญิงอีกหน่อยก็มีผัวและจะคอยดูน้ำหน้าเราว่าเราจะไปได้กี่น้ำ เราไม่เคยเกเร ตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กจนโต คนที่เป็นแม่พูดกับลูกแบบนี้เหรอ ถ้าเราเกเรแล้วว่าเราแบบนี้ก็จะไม่ว่าสักคำ สุดท้ายแม่ก็โอนมาให้ในเทอมนั้นเทอมเดียว คำๆนั้นมันติดหัวเราสลัดไม่ออกเลย
จนในที่สุดเราก็เรียนจบได้งานที่ถือว่ามีการแข่งขันสูงมากกว่าจะเข้าได้ คราวนี้แหล่ะ ทั้งป้าๆ พ่อและแม่เลี้ยงต่างโทรมาหาเราเรื่องเงิน ให้เราส่งเค้าบ้าง เราได้เงินเดือน 12,000 ไม่รวมโบนัสและอื่นๆ สมัยนั้นถือว่าได้เยอะ ทุกคนโทรมากันตรงเวลาเป๊ะทุกสิ้นเดือน ตอนแรกเรารู้สึกอบอุ่นนะ โทรมาหาก็เรียกเราลูกจ๊ะลูกจ๋าทุกคน จนเราไม่มีเงินเก็บเลย ปู่ย่าก็แก่มากแล้วและป่วยด้วย ทุกคนแสดงตัวทวงบุญคุณว่าเป็นคนเลี้ยงเป็นส่งให้เรียน แต่แปลกที่ตอนเราเรียนไม่เห็นแย่งกันส่งเงินให้เราแฮะ เราต้องส่งเงินให้ป้าที่ ตจว. คนที่เลี้ยงปู่ย่าที่ป่วย ป้าๆที่เลี้ยงเราที่ กทม. พ่อและแม่เลี้ยง เรารู้สึกกดดันจนในที่สุดก็ผลักดันตัวเองจนได้มาอยู่ ตปท. เรื่องการขอเงินจากทุกคนก็ยิ่งหนักกว่าเดิม ป้าๆหวังให้เราปลดหนี้กิจการครอบครัวให้ จำนวนเงินก็เกือบๆ 10 ล้าน เราอยู่ ตปท. ทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า เสริฟในร้านอาหาร เลี้ยงเด็ก ทำความสะอาดบ้าน จนเราได้มาเจอแฟนและแต่งงานกัน ที่ไทยโทรมาขอเงินทุกๆ 2 อาทิตย์ โดยเฉพาะป้าคนที่อยู่กับปู่ย่า โดยหวังให้เราส่งเงินไปรักษาปู่ย่าเลี้ยงดูตัวป้าและลูกๆในวัยเรียนของป้าอีก 3 คน จนเราทะเลาะกับสามีเพราะแต่ละเดือนส่งให้ที่ไทย 90%เรากัดฟันส่งเป็น 10 ปี จนปู่กับย่าเสีย เราเลยบอกป้าๆไปตรงๆว่าเราไม่มีเงินส่งแล้วนะ ที่ผ่านมาเราก็ส่งมาตลอดโดยที่ไม่เคยได้มีเงินเก็บเลย ปู่ย่าเสียแล้วเราคงไม่ได้ส่งแล้ว เพราะตอนเราเรียนไม่มีใครมาส่งเสียเราสม่ำเสมอทุกเดือนขนาดนี้ พูดแค่นั้นแหล่ะ ป้าๆเค้าก็ไม่เคยโทรมาหาเราอีกเลยเพราะโกรธที่เราพูดตรงๆ เรารู้สึกโดดเดี่ยวมากเพราะป้าๆที่เคยสนิทกันพูดคุยกันมา พอวันหนึ่งที่เราหมดผลประโยชน์เค้าก็ไม่เคยเห็นหัวเราอีกเลย ใจลึกๆเรารู้สึกไม่เหลือใครจริงๆ เราเลยมานั่งทบทวนตัวเองว่าอย่างน้อยเราก็ยังเหลือพ่อแม่นิ ถึงแม้ไม่ผูกพันไม่สนิท ไม่เคยเลี้ยงดู แต่ยังไงเค้าก็เป็นพ่อแม่เรา เราเลยสลัดความโกรธ ความน้อยใจ ความเกลียดที่เคยมีต่อพ่อแม่ตอนเด็กๆ เลือกที่จะให้อภัยและเข้าหาพวกท่านเพื่อจะได้เติมเต็มความรักที่ขาดหายไปในวัยเด็ก เราจะโทรไปหาพ่อและแม่ทุกอาทิตย์ เพื่อทำให้ท่านรู้สึกว่าเรารักพวกท่าน ไม่ทอดทิ้งพวกท่านเหมือนที่พวกท่านทอดทิ้งเรา แต่มันกลับไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด พอคุยกับพ่อเค้าก็จะคุยกับเราไม่เกิน 10 นาทีบอกยุ่งตลอดติดงานโน่นนี่ เรื่องที่ทำให้คุยได้นานหน่อยคือเงิน เงิน เงิน ถ้าเราส่งเงินไปให้เราก็จะดีในสายตาเค้า เราจะโทรหาตลอดเค้าไม่เคยโทรหาเราทั้งๆที่โทรในไลน์หรือในเฟสก็โทรฟรี จะโทรหาเราตอนที่อยากให้เราส่งเงินให้ ส่งแต่ละที 5หมื่นถึง 1 แสน หลักพันไม่เอา เราก็กัดฟันทนไปเพราะอยากมีพ่อไว้ให้ได้คุยอวดกับคนอื่นบ้างจนพ่อเสียเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ป้าๆทั้ง 3 คน มางานศพมาคุยกับเราตรงๆว่าขอวัตถุมงคลต่างๆ ที่พ่อเราสะสมได้มั้ยเพราะพ่อก็ได้มาจากปู่ ช่างกล้ามาขอทั้งๆที่ศพพ่อเรายังไม่ทันเผา เรานี่สะอึกเลย ทีนี้พอเสร็จงานศพพ่อ เราตัดขาดญาติฝั่งพ่อแบบถาวร เพราะได้เห็นเนื้อแท้แล้วว่าในวันที่พ่อเราตายซึ่งก็เป็นน้องชายแท้ๆของพวกเค้า สิ่งที่เค้าแคร์ที่สุดไม่ใช่งานศพพ่อเราหรือเราซึ่งบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาทั้งร้องไห้เสียใจ แต่เป็นสมบัติของพ่อเราซึ่งเค้าไม่มีสิทธิ์ มาขอแบ่งแบบหน้าด้านๆเกินบรรยาย
ในชีวิตเราเลยรู้สึกว่าเหลือแม่แค่คนเดียว ทางฝั่งแม่เราก็พยายามโทรหาคุยกับแม่ทุกเรื่อง แม่ไม่เคยขอเราเรื่องเงินเลย เพราะตอนนี้แม่และพ่อเลี้ยงเราประสบความสำเร็จในชีวิตและมีอันจะกิน แต่หลายๆครั้งความคิดและคำพูดแม่ทำให้เรารู้สึก toxic ที่จะคุยด้วยและทุกครั้งที่คุยเหมือนแม่จะตอกย้ำแบบชัดเจนว่า ต่างคนต่างมีครอบมีครัวเป็นของตัวเองแล้วอย่าได้มายุ่งเกี่ยวเรื่องเงินทองกัน พอเรามีปัญหาเราอยากปรึกษาแม่ แม่จะโพร่งขึ้นมาก่อนเลยว่าถ้ามีปัญหาอะไรอย่ามาเล่าให้แม่ฟังนะ เพราะเดี๋ยวแม่คิดมากแล้วจะไม่สบายใจ ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินแม่ช่วยไม่ได้นะเพราะแม่ไม่มี ทั้งๆที่ธุรกิจที่แม่ทำเดือนหนึ่งได้เป็นแสน แม่เค้าจะภูมิใจและพูดกับญาติๆว่า นี่ขนาดลูกไม่เคยได้เลี้ยงเลยนะ ยังกลับมาหานางเลย มีลูกก็เลี้ยงบ้างทิ้งบ้าง อย่าไปเอาใจตามใจมาก คำพูดนั้นนางพูดออกมาได้ยังไง มันยิ่งตอกย้ำในตัวเองว่าแม่เราไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ความเป็นแม่เลย เราเหมือนน้ำท่วมปาก เวลามีปัญหาปรึกษาใครไม่ได้แม้แต่แม่ตัวเอง รู้สึกเหมือนโลกนี้ไม่มีใครเลยจริงๆ มันว่างเปล่า ชีวิตตั้งแต่เด็กยันโตทำไมมันเป็นแบบนี้ ยังดีที่สามีรักและเข้าใจเรา เค้าเป็นฝรั่งที่ฐานะปานกลางเรามีความสุขกันมากถึงจะปรึกษาและคุยกับเค้าได้ทุกเรื่องแต่มันก็ไม่ลึกซึ้งเหมือนคุยกับแม่ที่เป็น ผญ เหมือนกัน ทุกครั้งที่หลังจากที่เราได้คุยกับแม่เราจะรู้สึกเศร้าและร้องไห้เสมอ จนสามีเราบอกว่าทำไมไม่บอกแม่ไปตรงๆว่าคำพูดของแม่มันทำร้ายความรู้สึกเราแค่ไหน เราก็อยากจะบอกแต่แม่เป็นคนที่ไม่รับฟังอะไรใดๆทั้งสิ้น ไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเองเลย บางครั้งแม่ก็จะพูดขึ้นมาว่าทำไมไม่หาฝรั่งรวยๆ ล่ะ จะเอาทำไมคนนี้ เห็นมั้ยข้างบ้านมันหน้าตาขี้เหร่นี่ได้ผัวรวยมากมีเงินเกษียณกินเดือนละ 5 แสน ทำไมไม่ได้แบบเค้าทั้งๆที่ตัวเองก็หน้าตาดี งานที่ทำอยู่ปัจจุบันเงินเดือนถือว่าดีเลยแต่ไม่มั่นคง เราอยากเปลี่ยนสายงานแต่ต้องเรียนเพิ่มเติมก็เลยเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย สามีก็ไม่ว่าอะไร สนับสนุนทุกอย่าง สิ่งที่แม่พูดคือ เห็นเรียนมาตั้งนานเปลี่ยนงานไปมา ไม่เห็นจะสำเร็จอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็เปรียบเทียบเสียดสีเรากับคนอื่นว่าแต่งงานมาตั้งนานละทำไมไม่มีลูกเหมือนคนอื่นสักที รออะไรอยู่ เพื่อนๆเค้าลูกโตจะเป็นสาวกันหมดแล้ว พอเราบอกว่าเรามีปัญหามีลูกยาก รักษาและพยายามทำ IVF กันมา 3-4 ปี หมดเงินไปหลายล้านบาทแล้ว คำแรกที่แม่พูดคือ นั่นแหล่ะไม่มีบุญเหมือนคนอื่นเค้า
เมื่อต้นปีที่แล้วแม่เราได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง นอนอยู่ไอซียู 10 กว่าวัน เราต้องหยุดงาน หยุดเรียน 2 เดือน (ทำให้ต้องเรียนช้ากว่าเพื่อนเป็นปี) รวมค่าขาดรายได้ ดร็อปเรียน ค่าตั๋วนาทีสุดท้ายไปกลับ ประมาณ 6 แสนบาท ไม่เคยบ่นให้แม่ฟังสักคำ ดูแลแม่จนเริ่มนั่งเริ่มเดินได้พูดได้คำแรกที่ทักเราคือ ทำไมใส่แต่เสื้อผ้าเก่าๆมาจากเมืองนอก ทำไมไม่ใส่ทองเลย ทุกอย่างมีแต่คำติ เสียดสี เรารู้สึกว่าเค้าไม่ได้ซาบซึ้งในสิ่งที่เราทำให้เลย ถึงแม้แม่ไม่รบกวนเรื่องเงินทองจากเราแต่คำพูดแม่แต่ละคำทำให้เราร้องไห้และเสียใจอยู่เสมอ ทั้งๆที่เราไม่ใช่คนขี้น้อยใจหรืออ่อนแอเลย เจ็บปวดทรมาน
อธิบายไม่ถูก
เราคิดไม่ตก พอมีเค้าในชีวิตมันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด ถ้าโทรไปคุยกับแม่เราก็จะรู้สึกเครียดและเฟลไปเป็นอาทิตย์ เคยคิดเล่นๆ ถ้าจะเลิกโทรไปเลยดีมั้ย คือตอนนี้ไม่มีใครที่ไทยแล้วจริงๆ ญาติฝั่งพ่อก็ตัดออกไปหมดแล้ว เพื่อนๆว่าเราควรจะทำยังไงดี ทำใจและยอมรับในตัวแม่ให้ได้แล้วก็ต้องทนร้องไห้ต่อไปทุกครั้งที่โทรไปคุย หรือตัดเค้าออกไปจากชีวิตไปเลยเพราะเราก็ไม่ได้มีเค้าแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็กลัวเรามานั่งเสียใจเองในวันที่เค้าไม่อยู่แล้ว
มีแม่แบบนี้ ควรไปต่อหรือพอแค่นี้?
เราเป็นเด็ก ตจว.ที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ 6 ขวบ พ่อแม่รับราชการทั้งคู่ พ่อเป็นคนเจ้าชู้มากๆ ที่เลิกกันเพราะมีเมียน้อย ฝั่งพ่อ ปู่ย่าฐานะทางบ้านมีอันจะกินค่อนไปทางร่ำรวย พี่น้องฝั่งพ่อถ้าไม่รับราชการก็บริหารกิจการครอบครัวและเป็นที่รู้จักกันดีในอำเภอ ฝั่งแม่ ตายายอยู่อีกจังหวัดค่อนข้างยากจนเป็นชาวนา แม่เป็นลูกคนเดียวในจำนวน 9 คนที่ได้เรียนสูงที่สุด นอกนั้นไม่รับจ้างทั่วไปก็เป็นชาวนา หลังจากที่พ่อแม่เลิกกันแม่เอาเราไปอยู่ด้วยที่จังหวัดบ้านเกิด แต่ด้วยความที่แม่ต้องทำงานแบบเข้าเวรดึกและเวลาทำงานไม่แน่นอนจึงทำให้ทะลักทุเลพอควรสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยว ผ่านไป 1 ปีแม่ก็ตัดสินใจยกเราให้กับฝั่งพ่อไปเลยโดนให้เหตุผลว่าฝั่งพ่อน่าจะมีกำลังที่จะส่งเสียเราให้ได้เรียนสูงๆได้ พอเราย้ายมาอยู่กับฝั่งพ่อคนที่เลี้ยงเราจริงๆคือปู่ย่าและป้าๆ 3 คน เพราะพ่อต้องย้ายไปรับตำแหน่งต่างอำเภอเรื่อยๆ น่าจะครบทุกอำเภอในจังหวัดแล้วและอยู่กับเมียน้อยที่กลายมาเป็นแม่เลี้ยงเรา ด้วยความที่ฐานะปู่ย่าดีมากพวกท่านได้ซื้อบ้านไว้ใน กทม. เพื่อให้ลูกหลานทุกคนได้เข้าไปอยู่และเรียนหนังสือที่นั่นแทบจะทุกคนรวมทั้งเรา โดยมีป้าคนที่ 1 และ 2 ของเราอาศัยและเป็นผู้ปกครองตั้งแต่ ป.1 จนจบมัธยมปลาย เราจึงสนิทกับป้าๆมาก ตั้งแต่จำความได้แม่ไม่เคยมาหาเราเลยสักครั้งที่กรุงเทพ แม่แต่งงานใหม่ตอนเราอยู่ ป. 6 แม้กระทั่งตอนที่เราไม่สบายหนักมากจนต้องเข้า รพ. พ่อที่นานๆเจอกันมาเยี่ยมคนเดียว ช่วงจะเข้ามหาลัยครอบครัวปู่ย่ากิจการล้มเหลวเพราะป้าคนที่ 3 บริหารกิจการครอบครัวทำทุกอย่างพัง จากครอบครัวที่เคยร่ำรวยที่สุดครอบครัวหนึ่งกลับกลายเป็นหนี้ล้มละลาย ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสิน ป้าคนที่ทำธุรกิจพังมายืมเงินพ่อเราไปหมุนเพื่อใช้หนี้และไม่ยอมคืน คราวนี้กลายเป็นพังราบเป็นหน้ากลองทุกคน เราอยู่ กทม. จนจบ ม.6 ก็เอ็นติดมหาลัยที่ ตจว.
ชีวิตในมหาลัยเราก็ยากลำบากมากๆ จ่ายค่าเทอมเป็นคนสุดท้ายตลอด ฝ่ายทะเบียนต้องตามทวงเงินทุกเทอมปี 1 ยัน ปี 4 พ่อก็ต้องมาใช้หนี้แทนป้า เพราะพ่อก็ไปยืมมาอีกทอดหนึ่ง พ่อเราเลยบอกให้ป้าช่วยกันส่งเราเรียนจนจบ ถือเป็นการหักหนี้ไปในตัว คณะที่เราเรียนเป็นคณะที่เราใฝ่ฝันเป็นหลักสูตรอินเตอร์ค่าเทอมก็เป็นหลักหมื่น เราต้องดิ้นรนทั้งน้ำตากว่าจะเรียนจบ บางเทอมพ่อส่งบางเทอมป้าส่ง ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนป้าก็จะส่ง บางทีบอกไม่มีก็เล่นไม่ส่งแบบดื้อๆ ไม่คิดเลยว่าเราจะอยู่ยังไง เราเครียดมาก การเรียนถดถอยเพราะมัวแต่ไปทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียนเป็นโฮสเตสที่ร้านอาหาร กว่าจะเลิกงานก็ดึกมาก เช้าก็ต้องไปเรียนแต่ก็ต้องทนเผื่อเดือนไหนไม่มีใครส่งก็ยังพอมีเงินกินข้าว การเงินลุ่มๆดอนๆจนถึงปีสุดท้าย เราเลยโทรไปหาแม่ที่ ขอให้แม่ช่วยค่าเทอม แม่ด่าเราเละเลยบอกว่าจะเรียนไปทำไมนักหนาเป็นผู้หญิงอีกหน่อยก็มีผัวและจะคอยดูน้ำหน้าเราว่าเราจะไปได้กี่น้ำ เราไม่เคยเกเร ตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กจนโต คนที่เป็นแม่พูดกับลูกแบบนี้เหรอ ถ้าเราเกเรแล้วว่าเราแบบนี้ก็จะไม่ว่าสักคำ สุดท้ายแม่ก็โอนมาให้ในเทอมนั้นเทอมเดียว คำๆนั้นมันติดหัวเราสลัดไม่ออกเลย
จนในที่สุดเราก็เรียนจบได้งานที่ถือว่ามีการแข่งขันสูงมากกว่าจะเข้าได้ คราวนี้แหล่ะ ทั้งป้าๆ พ่อและแม่เลี้ยงต่างโทรมาหาเราเรื่องเงิน ให้เราส่งเค้าบ้าง เราได้เงินเดือน 12,000 ไม่รวมโบนัสและอื่นๆ สมัยนั้นถือว่าได้เยอะ ทุกคนโทรมากันตรงเวลาเป๊ะทุกสิ้นเดือน ตอนแรกเรารู้สึกอบอุ่นนะ โทรมาหาก็เรียกเราลูกจ๊ะลูกจ๋าทุกคน จนเราไม่มีเงินเก็บเลย ปู่ย่าก็แก่มากแล้วและป่วยด้วย ทุกคนแสดงตัวทวงบุญคุณว่าเป็นคนเลี้ยงเป็นส่งให้เรียน แต่แปลกที่ตอนเราเรียนไม่เห็นแย่งกันส่งเงินให้เราแฮะ เราต้องส่งเงินให้ป้าที่ ตจว. คนที่เลี้ยงปู่ย่าที่ป่วย ป้าๆที่เลี้ยงเราที่ กทม. พ่อและแม่เลี้ยง เรารู้สึกกดดันจนในที่สุดก็ผลักดันตัวเองจนได้มาอยู่ ตปท. เรื่องการขอเงินจากทุกคนก็ยิ่งหนักกว่าเดิม ป้าๆหวังให้เราปลดหนี้กิจการครอบครัวให้ จำนวนเงินก็เกือบๆ 10 ล้าน เราอยู่ ตปท. ทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า เสริฟในร้านอาหาร เลี้ยงเด็ก ทำความสะอาดบ้าน จนเราได้มาเจอแฟนและแต่งงานกัน ที่ไทยโทรมาขอเงินทุกๆ 2 อาทิตย์ โดยเฉพาะป้าคนที่อยู่กับปู่ย่า โดยหวังให้เราส่งเงินไปรักษาปู่ย่าเลี้ยงดูตัวป้าและลูกๆในวัยเรียนของป้าอีก 3 คน จนเราทะเลาะกับสามีเพราะแต่ละเดือนส่งให้ที่ไทย 90%เรากัดฟันส่งเป็น 10 ปี จนปู่กับย่าเสีย เราเลยบอกป้าๆไปตรงๆว่าเราไม่มีเงินส่งแล้วนะ ที่ผ่านมาเราก็ส่งมาตลอดโดยที่ไม่เคยได้มีเงินเก็บเลย ปู่ย่าเสียแล้วเราคงไม่ได้ส่งแล้ว เพราะตอนเราเรียนไม่มีใครมาส่งเสียเราสม่ำเสมอทุกเดือนขนาดนี้ พูดแค่นั้นแหล่ะ ป้าๆเค้าก็ไม่เคยโทรมาหาเราอีกเลยเพราะโกรธที่เราพูดตรงๆ เรารู้สึกโดดเดี่ยวมากเพราะป้าๆที่เคยสนิทกันพูดคุยกันมา พอวันหนึ่งที่เราหมดผลประโยชน์เค้าก็ไม่เคยเห็นหัวเราอีกเลย ใจลึกๆเรารู้สึกไม่เหลือใครจริงๆ เราเลยมานั่งทบทวนตัวเองว่าอย่างน้อยเราก็ยังเหลือพ่อแม่นิ ถึงแม้ไม่ผูกพันไม่สนิท ไม่เคยเลี้ยงดู แต่ยังไงเค้าก็เป็นพ่อแม่เรา เราเลยสลัดความโกรธ ความน้อยใจ ความเกลียดที่เคยมีต่อพ่อแม่ตอนเด็กๆ เลือกที่จะให้อภัยและเข้าหาพวกท่านเพื่อจะได้เติมเต็มความรักที่ขาดหายไปในวัยเด็ก เราจะโทรไปหาพ่อและแม่ทุกอาทิตย์ เพื่อทำให้ท่านรู้สึกว่าเรารักพวกท่าน ไม่ทอดทิ้งพวกท่านเหมือนที่พวกท่านทอดทิ้งเรา แต่มันกลับไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด พอคุยกับพ่อเค้าก็จะคุยกับเราไม่เกิน 10 นาทีบอกยุ่งตลอดติดงานโน่นนี่ เรื่องที่ทำให้คุยได้นานหน่อยคือเงิน เงิน เงิน ถ้าเราส่งเงินไปให้เราก็จะดีในสายตาเค้า เราจะโทรหาตลอดเค้าไม่เคยโทรหาเราทั้งๆที่โทรในไลน์หรือในเฟสก็โทรฟรี จะโทรหาเราตอนที่อยากให้เราส่งเงินให้ ส่งแต่ละที 5หมื่นถึง 1 แสน หลักพันไม่เอา เราก็กัดฟันทนไปเพราะอยากมีพ่อไว้ให้ได้คุยอวดกับคนอื่นบ้างจนพ่อเสียเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ป้าๆทั้ง 3 คน มางานศพมาคุยกับเราตรงๆว่าขอวัตถุมงคลต่างๆ ที่พ่อเราสะสมได้มั้ยเพราะพ่อก็ได้มาจากปู่ ช่างกล้ามาขอทั้งๆที่ศพพ่อเรายังไม่ทันเผา เรานี่สะอึกเลย ทีนี้พอเสร็จงานศพพ่อ เราตัดขาดญาติฝั่งพ่อแบบถาวร เพราะได้เห็นเนื้อแท้แล้วว่าในวันที่พ่อเราตายซึ่งก็เป็นน้องชายแท้ๆของพวกเค้า สิ่งที่เค้าแคร์ที่สุดไม่ใช่งานศพพ่อเราหรือเราซึ่งบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาทั้งร้องไห้เสียใจ แต่เป็นสมบัติของพ่อเราซึ่งเค้าไม่มีสิทธิ์ มาขอแบ่งแบบหน้าด้านๆเกินบรรยาย
ในชีวิตเราเลยรู้สึกว่าเหลือแม่แค่คนเดียว ทางฝั่งแม่เราก็พยายามโทรหาคุยกับแม่ทุกเรื่อง แม่ไม่เคยขอเราเรื่องเงินเลย เพราะตอนนี้แม่และพ่อเลี้ยงเราประสบความสำเร็จในชีวิตและมีอันจะกิน แต่หลายๆครั้งความคิดและคำพูดแม่ทำให้เรารู้สึก toxic ที่จะคุยด้วยและทุกครั้งที่คุยเหมือนแม่จะตอกย้ำแบบชัดเจนว่า ต่างคนต่างมีครอบมีครัวเป็นของตัวเองแล้วอย่าได้มายุ่งเกี่ยวเรื่องเงินทองกัน พอเรามีปัญหาเราอยากปรึกษาแม่ แม่จะโพร่งขึ้นมาก่อนเลยว่าถ้ามีปัญหาอะไรอย่ามาเล่าให้แม่ฟังนะ เพราะเดี๋ยวแม่คิดมากแล้วจะไม่สบายใจ ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินแม่ช่วยไม่ได้นะเพราะแม่ไม่มี ทั้งๆที่ธุรกิจที่แม่ทำเดือนหนึ่งได้เป็นแสน แม่เค้าจะภูมิใจและพูดกับญาติๆว่า นี่ขนาดลูกไม่เคยได้เลี้ยงเลยนะ ยังกลับมาหานางเลย มีลูกก็เลี้ยงบ้างทิ้งบ้าง อย่าไปเอาใจตามใจมาก คำพูดนั้นนางพูดออกมาได้ยังไง มันยิ่งตอกย้ำในตัวเองว่าแม่เราไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ความเป็นแม่เลย เราเหมือนน้ำท่วมปาก เวลามีปัญหาปรึกษาใครไม่ได้แม้แต่แม่ตัวเอง รู้สึกเหมือนโลกนี้ไม่มีใครเลยจริงๆ มันว่างเปล่า ชีวิตตั้งแต่เด็กยันโตทำไมมันเป็นแบบนี้ ยังดีที่สามีรักและเข้าใจเรา เค้าเป็นฝรั่งที่ฐานะปานกลางเรามีความสุขกันมากถึงจะปรึกษาและคุยกับเค้าได้ทุกเรื่องแต่มันก็ไม่ลึกซึ้งเหมือนคุยกับแม่ที่เป็น ผญ เหมือนกัน ทุกครั้งที่หลังจากที่เราได้คุยกับแม่เราจะรู้สึกเศร้าและร้องไห้เสมอ จนสามีเราบอกว่าทำไมไม่บอกแม่ไปตรงๆว่าคำพูดของแม่มันทำร้ายความรู้สึกเราแค่ไหน เราก็อยากจะบอกแต่แม่เป็นคนที่ไม่รับฟังอะไรใดๆทั้งสิ้น ไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเองเลย บางครั้งแม่ก็จะพูดขึ้นมาว่าทำไมไม่หาฝรั่งรวยๆ ล่ะ จะเอาทำไมคนนี้ เห็นมั้ยข้างบ้านมันหน้าตาขี้เหร่นี่ได้ผัวรวยมากมีเงินเกษียณกินเดือนละ 5 แสน ทำไมไม่ได้แบบเค้าทั้งๆที่ตัวเองก็หน้าตาดี งานที่ทำอยู่ปัจจุบันเงินเดือนถือว่าดีเลยแต่ไม่มั่นคง เราอยากเปลี่ยนสายงานแต่ต้องเรียนเพิ่มเติมก็เลยเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย สามีก็ไม่ว่าอะไร สนับสนุนทุกอย่าง สิ่งที่แม่พูดคือ เห็นเรียนมาตั้งนานเปลี่ยนงานไปมา ไม่เห็นจะสำเร็จอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็เปรียบเทียบเสียดสีเรากับคนอื่นว่าแต่งงานมาตั้งนานละทำไมไม่มีลูกเหมือนคนอื่นสักที รออะไรอยู่ เพื่อนๆเค้าลูกโตจะเป็นสาวกันหมดแล้ว พอเราบอกว่าเรามีปัญหามีลูกยาก รักษาและพยายามทำ IVF กันมา 3-4 ปี หมดเงินไปหลายล้านบาทแล้ว คำแรกที่แม่พูดคือ นั่นแหล่ะไม่มีบุญเหมือนคนอื่นเค้า
เมื่อต้นปีที่แล้วแม่เราได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง นอนอยู่ไอซียู 10 กว่าวัน เราต้องหยุดงาน หยุดเรียน 2 เดือน (ทำให้ต้องเรียนช้ากว่าเพื่อนเป็นปี) รวมค่าขาดรายได้ ดร็อปเรียน ค่าตั๋วนาทีสุดท้ายไปกลับ ประมาณ 6 แสนบาท ไม่เคยบ่นให้แม่ฟังสักคำ ดูแลแม่จนเริ่มนั่งเริ่มเดินได้พูดได้คำแรกที่ทักเราคือ ทำไมใส่แต่เสื้อผ้าเก่าๆมาจากเมืองนอก ทำไมไม่ใส่ทองเลย ทุกอย่างมีแต่คำติ เสียดสี เรารู้สึกว่าเค้าไม่ได้ซาบซึ้งในสิ่งที่เราทำให้เลย ถึงแม้แม่ไม่รบกวนเรื่องเงินทองจากเราแต่คำพูดแม่แต่ละคำทำให้เราร้องไห้และเสียใจอยู่เสมอ ทั้งๆที่เราไม่ใช่คนขี้น้อยใจหรืออ่อนแอเลย เจ็บปวดทรมาน
อธิบายไม่ถูก
เราคิดไม่ตก พอมีเค้าในชีวิตมันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด ถ้าโทรไปคุยกับแม่เราก็จะรู้สึกเครียดและเฟลไปเป็นอาทิตย์ เคยคิดเล่นๆ ถ้าจะเลิกโทรไปเลยดีมั้ย คือตอนนี้ไม่มีใครที่ไทยแล้วจริงๆ ญาติฝั่งพ่อก็ตัดออกไปหมดแล้ว เพื่อนๆว่าเราควรจะทำยังไงดี ทำใจและยอมรับในตัวแม่ให้ได้แล้วก็ต้องทนร้องไห้ต่อไปทุกครั้งที่โทรไปคุย หรือตัดเค้าออกไปจากชีวิตไปเลยเพราะเราก็ไม่ได้มีเค้าแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็กลัวเรามานั่งเสียใจเองในวันที่เค้าไม่อยู่แล้ว