พิจารณาตามนัยอริยสัจ การเกิดเป็นทุกข์ เรื่องของโสณะอุบาสก (ก่อนจะมาเป็นพระโสณะ)
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=119
ก็โสณะอุบาสกนั้นฟังธรรมในสำนักของท่านพระมหากัจจายนะ เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา ตั้งอยู่ในสรณะและศีลจึงให้สร้างวิหารในที่อันสมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ ใกล้ปวัตตบรรพต แล้วนิมนต์พระเถระให้อยู่ในวิหารนั้นบำรุงด้วยปัจจัยทั้ง ๔. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นอุปัฏฐากของท่านพระมหากัจจานะ.
เขาไปยังที่บำรุงของพระเถระตามเวลาอันสมควร และพระเถระก็ได้แสดงธรรมแก่เขา. ด้วยเหตุนั้น เขาจึงมีความสลดใจมาก เกิดความอุตสาหะในการประพฤติธรรมอยู่.
คราวหนึ่ง เขาไปเมืองอุชเชนีกับหมู่เกวียน เพื่อต้องการค้าขาย เมื่อพักหมู่เกวียนไว้ในดงระหว่างทาง เพราะกลัวคนจะแออัดกัน จึงหลีกไปนอนหลับเสีย ณ ส่วนสุดด้านหนึ่ง. ในเวลาใกล้รุ่ง หมู่เกวียนก็ลุกไปเสีย แม้คนเดียวก็ไม่ปลุกให้โสณะอุบาสกตื่น คนแม้ทั้งหมดไม่ได้นึกถึง ได้พากันไปเสีย.
เมื่อราตรีสว่างแล้ว เขาตื่นนอนแล้วลุกขึ้นไม่เห็นใครเลย จึงถือเอาทางที่หมู่เกวียนนั่นแหละไป เมื่อเดินไปนานๆ ก็แวะเข้าไปพักยังต้นไทรต้นหนึ่ง. ณ ต้นไทรนั้น เขาได้เห็นบุรุษคนหนึ่งมีร่างกายใหญ่โตดูผิดรูปร่าง ทั้งน่าเกลียด ตนเองแหละเคี้ยวกินเนื้อของตนที่หล่นจากกระดูก.
ครั้นเห็นแล้วจึงถามว่า ท่านเป็นใคร?
ป. ฉันเป็นเปรต ท่านผู้เจริญ
โส. เพราะเหตุไร ท่านจึงทำอย่างนี้?
ป. เพราะกรรมของตนเอง
โส. ก็กรรมนั้นเป็นอย่างไร?
เปรตเล่าว่า เมื่อชาติก่อน ฉันเป็นพ่อค้าโกงอยู่ในเมืองภารุกัจฉนคร หลอกลวงเอาของคนอื่นมาเคี้ยวกิน และเมื่อพระสมณะเข้าไปบิณฑบาต ก็ด่าว่า จงเคี้ยวกินเนื้อของพวกซิ เพราะกรรมนั้น ฉันจึงได้เสวยทุกข์นี้ในบัดนี้.
โสณะอุบาสกได้ฟังดังนั้น กลับได้ความสลดใจอย่างเหลือล้น. ต่อจากนั้น เมื่อเดินไป พบพวกเปรตเล็ก ๒ ตน มีโลหิตดำไหลออกจากปาก จึงถามเหมือนอย่างนั้นนั่นแล.
ฝ่ายเปรตเหล่านั้นก็ได้แจ้งกรรมของตนแก่โสณะนั้น.
ได้ยินว่า ในเวลาที่ยังเป็นเด็ก เปรตเหล่านั้นเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายสิ่งของ ในภารุกัจฉนคร เมื่อมารดาของตนนิมนต์พระขีณาสพทั้งหลายให้มาฉัน จึงไปยังเรือนแล้ว ด่าว่า ทำไม แม่จึงให้สิ่งของของพวกเราแก่พวกสมณะ ขอให้โลหิตดำจงไหลออกจากปากของพวกสมณะผู้บริโภคโภชนะ ที่แม่ให้แล้วเถิด. เพราะกรรมนั้น เด็กเหล่านั้นจึงไหม้ในนรกแล้ว ก็บังเกิดในกำเนิดเปรต ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้น จึงเสวยทุกข์นี้ในกาลนั้น.
โสณะอุบาสกฟังคำแม้นั้น ได้เกิดความสลดใจอย่างเหลือล้น. เขาไปยังกรุงอุชเชนี ตรวจตราถึงงานที่ตนจะพึงทำนั้นแล้ว จึงกลับมายังเรือนประจำตระกูล เข้าไปหาพระเถระ ได้รับการปฏิสันถารแล้ว จึงแจ้งข้อความนั้นแก่พระเถระ.
ฝ่ายพระเถระ เมื่อจะประกาศโทษในการเกิดทุกข์และอานิสงส์ในการดับทุกข์ แก่โสณะอุบาสกนั้น จึงแสดงธรรม. เขาไหว้พระเถระแล้ว ไปเรือนแล้วบริโภคอาหารมื้อเย็นแล้ว จึงเข้านอน พอหลับไปหน่อยหนึ่งเท่านั้น ก็ตื่นขึ้นนั่งบนที่นอนแล้ว เริ่มพิจารณาธรรมตามที่ตนได้สดับมา.
เมื่อเธอพิจารณาธรรมนั้น และหวนระลึกถึงอัตภาพของเปรตเหล่านั้น สังขารทุกข์ปรากฏเป็นของน่ากลัวเสียยิ่งนัก จิตก็น้อมไปในบรรพชา. ครั้นราตรีสว่าง เธอชำระร่างกายเสร็จแล้ว เข้าไปหาพระเถระ แจ้งอัธยาศัยของตนให้ทราบแล้ว ขอบรรพชา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล โสณกุฏิกัณณะอุบาสก อยู่ในที่ลับ ฯลฯ ขอพระผู้เป็นเจ้ามหากัจจานะ จงให้กระผมบวชเถอะขอรับ ดังนี้เป็นต้น
การเกิดช่างน่ากลัวยิ่งนัก....
ใครด่าตำหนิพระก็ระวังๆหน่อยนะครับ
การเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่พิจารณาว่าทุกข์
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=119
ก็โสณะอุบาสกนั้นฟังธรรมในสำนักของท่านพระมหากัจจายนะ เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา ตั้งอยู่ในสรณะและศีลจึงให้สร้างวิหารในที่อันสมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ ใกล้ปวัตตบรรพต แล้วนิมนต์พระเถระให้อยู่ในวิหารนั้นบำรุงด้วยปัจจัยทั้ง ๔. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นอุปัฏฐากของท่านพระมหากัจจานะ.
เขาไปยังที่บำรุงของพระเถระตามเวลาอันสมควร และพระเถระก็ได้แสดงธรรมแก่เขา. ด้วยเหตุนั้น เขาจึงมีความสลดใจมาก เกิดความอุตสาหะในการประพฤติธรรมอยู่.
คราวหนึ่ง เขาไปเมืองอุชเชนีกับหมู่เกวียน เพื่อต้องการค้าขาย เมื่อพักหมู่เกวียนไว้ในดงระหว่างทาง เพราะกลัวคนจะแออัดกัน จึงหลีกไปนอนหลับเสีย ณ ส่วนสุดด้านหนึ่ง. ในเวลาใกล้รุ่ง หมู่เกวียนก็ลุกไปเสีย แม้คนเดียวก็ไม่ปลุกให้โสณะอุบาสกตื่น คนแม้ทั้งหมดไม่ได้นึกถึง ได้พากันไปเสีย.
เมื่อราตรีสว่างแล้ว เขาตื่นนอนแล้วลุกขึ้นไม่เห็นใครเลย จึงถือเอาทางที่หมู่เกวียนนั่นแหละไป เมื่อเดินไปนานๆ ก็แวะเข้าไปพักยังต้นไทรต้นหนึ่ง. ณ ต้นไทรนั้น เขาได้เห็นบุรุษคนหนึ่งมีร่างกายใหญ่โตดูผิดรูปร่าง ทั้งน่าเกลียด ตนเองแหละเคี้ยวกินเนื้อของตนที่หล่นจากกระดูก.
ครั้นเห็นแล้วจึงถามว่า ท่านเป็นใคร?
ป. ฉันเป็นเปรต ท่านผู้เจริญ
โส. เพราะเหตุไร ท่านจึงทำอย่างนี้?
ป. เพราะกรรมของตนเอง
โส. ก็กรรมนั้นเป็นอย่างไร?
เปรตเล่าว่า เมื่อชาติก่อน ฉันเป็นพ่อค้าโกงอยู่ในเมืองภารุกัจฉนคร หลอกลวงเอาของคนอื่นมาเคี้ยวกิน และเมื่อพระสมณะเข้าไปบิณฑบาต ก็ด่าว่า จงเคี้ยวกินเนื้อของพวกซิ เพราะกรรมนั้น ฉันจึงได้เสวยทุกข์นี้ในบัดนี้.
โสณะอุบาสกได้ฟังดังนั้น กลับได้ความสลดใจอย่างเหลือล้น. ต่อจากนั้น เมื่อเดินไป พบพวกเปรตเล็ก ๒ ตน มีโลหิตดำไหลออกจากปาก จึงถามเหมือนอย่างนั้นนั่นแล.
ฝ่ายเปรตเหล่านั้นก็ได้แจ้งกรรมของตนแก่โสณะนั้น.
ได้ยินว่า ในเวลาที่ยังเป็นเด็ก เปรตเหล่านั้นเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายสิ่งของ ในภารุกัจฉนคร เมื่อมารดาของตนนิมนต์พระขีณาสพทั้งหลายให้มาฉัน จึงไปยังเรือนแล้ว ด่าว่า ทำไม แม่จึงให้สิ่งของของพวกเราแก่พวกสมณะ ขอให้โลหิตดำจงไหลออกจากปากของพวกสมณะผู้บริโภคโภชนะ ที่แม่ให้แล้วเถิด. เพราะกรรมนั้น เด็กเหล่านั้นจึงไหม้ในนรกแล้ว ก็บังเกิดในกำเนิดเปรต ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้น จึงเสวยทุกข์นี้ในกาลนั้น.
โสณะอุบาสกฟังคำแม้นั้น ได้เกิดความสลดใจอย่างเหลือล้น. เขาไปยังกรุงอุชเชนี ตรวจตราถึงงานที่ตนจะพึงทำนั้นแล้ว จึงกลับมายังเรือนประจำตระกูล เข้าไปหาพระเถระ ได้รับการปฏิสันถารแล้ว จึงแจ้งข้อความนั้นแก่พระเถระ.
ฝ่ายพระเถระ เมื่อจะประกาศโทษในการเกิดทุกข์และอานิสงส์ในการดับทุกข์ แก่โสณะอุบาสกนั้น จึงแสดงธรรม. เขาไหว้พระเถระแล้ว ไปเรือนแล้วบริโภคอาหารมื้อเย็นแล้ว จึงเข้านอน พอหลับไปหน่อยหนึ่งเท่านั้น ก็ตื่นขึ้นนั่งบนที่นอนแล้ว เริ่มพิจารณาธรรมตามที่ตนได้สดับมา.
เมื่อเธอพิจารณาธรรมนั้น และหวนระลึกถึงอัตภาพของเปรตเหล่านั้น สังขารทุกข์ปรากฏเป็นของน่ากลัวเสียยิ่งนัก จิตก็น้อมไปในบรรพชา. ครั้นราตรีสว่าง เธอชำระร่างกายเสร็จแล้ว เข้าไปหาพระเถระ แจ้งอัธยาศัยของตนให้ทราบแล้ว ขอบรรพชา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล โสณกุฏิกัณณะอุบาสก อยู่ในที่ลับ ฯลฯ ขอพระผู้เป็นเจ้ามหากัจจานะ จงให้กระผมบวชเถอะขอรับ ดังนี้เป็นต้น
การเกิดช่างน่ากลัวยิ่งนัก....
ใครด่าตำหนิพระก็ระวังๆหน่อยนะครับ