โรม แถลงตั้ง 5 ข้อสังเกต ยกฟ้องตุน มิน ลัต จี้ป.ป.ช.เร่งสอบบัญชีทรัพย์สิน ส.ว.อุปกิต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4478615
โรม แถลงตั้ง 5 ข้อสังเกต ยกฟ้องตุน มิน ลัต จี้ ป.ป.ช.เร่งสอบบัญชีทรัพย์สิน ส.ว.อุปกิต
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 มีนาคม ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวกรณีศาลอาญายกฟ้องคดี
ตุน มิน ลัต ซึ่งถูกกล่าวหาว่า มีความผิดฐานสมคบค้าและสมคบฟอกเงิน เนื่องจากคดีนี้จะมีผลต่อคดีของนาย
อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. โดยก่อนเริ่มการแถลงข่าว นาย
รังสิมันต์นำคลิปเสียง 5 คลิป มาเปิด พร้อมระบุว่า เป็นคลิปเกี่ยวกับการเลี่ยงภาษี และการวิ่งเต้นของผู้มีอำนาจ ซึ่งหวังว่า คลิปดังกล่าวจะถูกขยายผลทางคดีต่อไป
นายรั
งสิมันต์ยังกล่าวถึงความเชื่อมโยงกับคำพิพากษาของยกฟ้องในคดี
ตุน มิน ลัต ในความผิดคดียาเสพติด การฟอกเงิน และความผิดเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจากการตรวจสอบคำพิพากษา ตนไม่เห็นด้วยใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย
1. เรื่องบัญชีม้า และร้านโพยก๊วน ที่ตีความว่าการใช้บัญชีม้าไม่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน
2. ประเด็นการโอนเงินจากร้านโพยก๊วน ชเวซินโป ที่ศาลเห็นว่า ในมุมมองของคนทั่วไป การโอนเงินผ่านร้านโพยก๊วนอาจทำได้ดีกว่า ประหยัดกว่า เพราะไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมเหมือนผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ถูกกฎหมาย
3. การอ้างบริษัทใหญ่ๆ ว่ามีการรับเงินจากโพยก๊วนเช่นกัน และเทียบเคียงพฤติการณ์ของบริษัทเหล่านี้ว่ามีสถานะเช่นเดียวกันกับบริษัทเครือข่ายตุน มิน ลัต ทั้งที่เป็นการรับโอนเงินชำระค่าสินค้าหรือบริการ โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
4. การไม่ยื่นภาษีอย่างถูกต้องของเครือข่ายตุน มิน ลัต เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี
5. การหลักฐานของตำรวจไม่น่าเชื่อถือ เพราะตำรวจไม่ฟ้องเครือข่ายยาเสพติดมาพร้อมกัน รวมถึงต้องมีหลักฐานที่ชัดกว่าเส้นทางการเงิน ทั้ง 5 ประเด็นจึงกลายเป็นคำถามว่าคดียาเสพติดและการฟอกเงินควรจะมีบรรทัดฐานอย่างไร
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่า นาย
อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ได้ให้ลูกเขยถือหุ้นในบริษัทอัลลัวร์แทน ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ส.ว. จึงน่าสงสัยว่าแท้จริงแล้ว นาย
อุปกิตยังเป็นเจ้าของกิจการดังกล่าวหรือไม่ และเข้าข่ายการยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่ ซึ่งยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ไปตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.2566 แต่ผ่านมาแล้ว 180 วัน ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และเมื่อเทียบกับเรื่องคดี 44 ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ในเรื่องผิดจริยธรรม ที่ ป.ป.ช.ให้ข่าวว่าจะพิจารณาได้ทันตามกรอบ 180 วันนั้น จึงเป็นคำถามว่าใช้มาตรฐานใดในการทำงาน
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า จากนี้จะนำคำพิพากษาดังกล่าวยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เนื่องจากอยู่ในอำนาจของ กกต. ที่จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากพบว่ามีเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ว.สิ้นสุดลง ตามมาตรา 82 วรรคท้าย จากการทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 (2) และมาตรา 185 (1)
หลายกระทรวงมีหนาว ฝ่ายค้านมีข้อมูลคนร้องเรียนรับสินบน ฐากรเตือน รบ.ระวังคนใกล้ชิดดีๆ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4478816
‘ฐากร’ พร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ลั่นอย่าประมาทฝ่ายค้านไม่มีข้อมูล เผยมีคนร้องเรียนเพียบ ฝากเตือนรัฐบาลให้ระวังคนใกล้ตัว รับผลประโยชน์จากเงินนอกงบ พบมีถึง 584 แห่ง มีรายได้เงินนอกงบ 1.7ล้านล้านบาท เท่ากับ 53.7% ของงบรายจ่ายประจำปี จี้ตรวจสอบนำเงินเข้าคลังสมทบงบประมาณประจำปี
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นาย
ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เปิดเผยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะอภิปรายในวันที่ 3-4 เมษายน 2567 และพรรคร่วมฝ่ายค้านได้จัดสรรเวลาให้พรรค ทสท. 70 นาที หลายฝ่ายเข้าใจว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านยังไม่มีข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ หรือมีข้อมูลน้อยมาก โดยเฉพาะในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล เนื่องจาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ยังไม่ได้มีการประกาศใช้ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลน่าจะประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ได้ภายในเดือนเมษายน 2567 นั้น คิดว่ารัฐบาลน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในส่วนนี้ ขอบอกว่าขณะนี้ฝ่ายค้านเรามีข้อมูลการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลในหลายกระทรวง เนื่องจากในหลายๆ กระทรวงมีเงินรายได้นอกงบประมาณ หรือเงินกองทุนต่างๆ และเงินของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวง ซึ่งได้ดำเนินการอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างไปเป็นจำนวนมากแล้ว
“
ผมฝากเตือนรัฐบาลชุดปัจจุบันและเจ้ากระทรวงทุกกระทรวงให้ระมัดระวังคนใกล้ตัวของท่านให้มาก ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนการรับผลประโยชน์จากเงินส่วนนี้มากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วอีก ผมไม่เคยคิดเลยว่ารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์จะมีเรื่องร้องเรียนดังกล่าวมากมายขนาดนี้ ผมฝากเตือนรัฐบาลด้วยความปรารถนาดีว่าเงินนอกงบประมาณ เงินกองทุน เงินจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของเจ้ากระทรวงต่างๆ ได้มีการเบิกใช้จ่ายเงินไปแล้ว ไม่ได้มารองบประมาณปี 2567 ประกาศใช้แต่อย่างใด” นาย
ฐากรกล่าว
นาย
ฐากรกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณจะอยู่นอกเหนือกระบวนการพิจารณางบประมาณตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี เช่น เงินนอกงบประมาณของกระทรวงกลาโหม เงินจากกองทุนต่างๆ ซึ่งถือเป็นเงินรายได้ และเงินจากรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดของกระทรวงเหล่านั้น อาทิ กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน, กองทุนพลังงาน, กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ ปตท.
นอกจากนี้ ในปี 2566 พบว่ามีหน่วยงานที่มีเงินนอกงบถึง 584 แห่ง ซึ่งมีรายได้เงินนอกงบที่ 1,710,999.2 ล้านบาท หรือ 53.7% เมื่อเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี ยิ่งไปกว่านั้นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยังไม่ได้เปิดเผยผลการตรวจสอบเงินนอกงบของหน่วยงานรัฐอย่างครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน และรายได้นอกงบเหล่านี้ไม่เคยมีการนำมาสมทบกับงบประมาณในแต่ละปี
“
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่นำมาเปิดให้เห็นถึงรายได้นอกงบประมาณที่เกิดขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วแยกไม่ออกจากงบประมาณ หากมีการนำเงินนอกงบประมาณส่วนที่ไม่จำเป็นมาคืนคลัง เงินนอกงบประมาณเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเงินคงคลัง สามารถจัดสรรเป็นงบประมาณประจำปีต่อไป ไม่ใช่เป็นแหล่งหากินของพวกทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างที่เป็นอยู่” นาย
ฐากรกล่าว
อากาศร้อนเป็นเหตุ! ทำราคาพืชผลทางการเกษตรแพง
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/391872
สภาพอากาศที่แล้งและร้อนจัด มักจะมาพร้อมกับราคาพืชผลทางการเกษตรราคาแพง ล่าสุด มะนาว ราคาขยับขึ้นแล้ว
ตลาดในพื้นที่อำเภอเมือง จ.นครราชสีมา พบว่าที่นั่น ราคามะนาวปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก อย่างพันธุ์แป้นเพชรบุรี ตอนนี้ขึ้นไปถึงลูกละ 7-8 บาทแล้ว ส่วนพันธุ์แป้นรำไพ ลูกละ 5-6 บาท และพันธุ์แป้นพิจิตร ลูกละ 4-5 บาท ซึ่งจากการสอบถามแม่ค้า พบว่า ช่วงนี้ราคามะนาวปรับขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอากาศที่ร้อนจัดและปัญหาภัยแล้ง ทำให้มะนาวออกผลน้อย และราคามะนาวที่ปรับตัวสูงขึ้น เริ่มส่งผลกระทบไปยังร้านขายอาหารอีสาน ที่ใช้มะนาวเป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหาร อย่างร้านอาหารไก่ย่างโค้งวัดป่า บอกว่า แต่ละวันใช้มะนาว ไม่ต่ำกว่าวันละ 5 กิโลกรัม ราคาที่พุ่งสูงในช่วงนี้ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมาก แต่ยังจำเป็นต้องใช้มะนาวสด เนื่องจากได้รสชาติและความหอมของมะนาว ถ้าใช้มะนาวขวด จะทำให้รสชาติอาหารออกมาไม่ดี อาจกระทบกับยอดขายได้
ขณะที่ตลาดยิ่งเจริญ กรุงเทพมหานคร มะนาวขนาดจัมโบ้ ขายผลละ 7 บาท บางร้านขายอยู่ที่ ผลละ 4-6 บาท ขึ้นอยู่กับขนาด บางร้านขายเป็นถุงๆ ละ 20-50 บาท โดยแม่ค้าบอกว่า ราคามะนาวปรับตัวสูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วผลละ 2 บาท แต่ราคาปีนี้ยังถูกกว่าปีที่ผ่านมา
และไม่เพียงมะนาวที่ขึ้นราคา ตอนนี้พริกขี้หนูสวน ราคาก็เริ่มขยับจากกิโลกรัมละ 50 บาท ตอนนี้ขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 60 บาทแล้ว ส่วนใบแมงลัก โหระพา กะเพรา ถั่วฝักยาว ปรับขึ้นกิโลกรัมละ 10-15 บาท
รวมถึงไก่สดที่นำมาทำไก่ย่างเริ่มขยับราคาขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 90 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 100 บาทแล้ว ซึ่งกรณีของราคาไก่สด มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาว่า ขณะนี้ราคาไก่สดพุ่งสูงมาก กระทบทั้งแผงค้าขาย ร้านอาหาร และประชาชน แถมราคาแพงแบบไม่มีต้นตอ แต่มีการตั้งข้อสังเกตุว่ามีการส่งออกมากเกินไปหรือไม่ ส่งผลราคาไก่ในประเทศสูงมาก ขาไก่ทะลุ110 บาท ส่วนน่องไก่ทะลุ 80 บาท อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ เพราะกระทบประชาชนมากๆ
เวียดนามสูญเสียพืชผลมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี เหตุระดับน้ำเค็มสูงขึ้น
https://www.dailynews.co.th/news/3266961/
เวียดนามเผชิญกับการสูญเสียพืชผลมูลค่าเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 108,000 ล้านบาท) เนื่องจากน้ำเค็มไหลซึมเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกในปริมาณมากขึ้น
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ว่า งานวิจัยจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมเวียดนาม เผยให้เห็นว่า ความเสียหายน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง หรือที่เรียกกันว่า “อู่ข้าวอู่น้ำของเวียดนาม” เนื่องจากภูมิภาคดังกล่าวเป็นแหล่งอาหาร และมีประชาชนอาศัยอยู่หลายสิบล้านคน
แม้ระดับน้ำเค็มมักจะสูงขึ้นในช่วงฤดูแล้ง แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวรุนแรงกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น, ภัยแล้ง, ความผันผวนของกระแสน้ำ และการขาดแคลนน้ำจืดจากต้นน้ำ ทำให้การสูญเสียพืชผลที่เกิดขึ้น อาจมีมูลค่าสูงถึง 70 ล้านล้านดง (ราว 102,000 ล้านบาท)
ทั้งนี้ งานวิจัยฉบับใหม่ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิทยาศาสตร์ทรัพยากรน้ำ สังกัดกระทรวงสิ่งแวดล้อมเวียดนาม พบว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดของภูมิภาค คือ จังหวัดก่าเมา ซึ่งอาจสูญเสียพืชผลมูลค่าประมาณ 665 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24,000 ล้านบาท) รองลงมาคือ จังหวัดเบ๊นแจ ซึ่งคาดว่าประสบความสูญเสียประมาณ 472 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000 ล้านบาท)
“
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ต้นไม้ออกผลในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ได้รับความเสียหาย 29% ส่วนพืชผลและข้าว ได้รับความเสียหาย 27% และเกือบ 14% ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมประมง ได้รับความเสียหาย 30% หรือเทียบเท่ามูลค่ามากกว่า 21 ล้านล้านดง (ราว 30,000 ล้านบาท)” รายงาน ระบุเพิ่มเติมว่า ความสูญเสียในภูมิภาคคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต จนสูงเกิน 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 111,000 ล้านบาท)
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา กรมทรัพยากรน้ำของเวียดนาม กล่าวเตือนว่า การรุกล้ำของน้ำเค็ม อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกข้าวและผลไม้ประมาณ 80,000 เฮกตาร์ ในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ขณะที่ ศูนย์อุทก-อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติเวียดนามคาดการณ์ว่า การรุกล้ำของน้ำเค็มในพื้นที่ ระหว่างปี 2566-2567 จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย และจะแตะระดับสูงสุด ในเดือน เม.ย. นี้.
JJNY : 5in1 โรมตั้ง 5 ข้อสังเกต│ฐากรเตือน รบ.│อากาศร้อน ทำราคาพืชผลแพง│เวียดนามสูญเสียพืชผล│จีนซัดสหรัฐภัยคุกคามโลก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4478615
โรม แถลงตั้ง 5 ข้อสังเกต ยกฟ้องตุน มิน ลัต จี้ ป.ป.ช.เร่งสอบบัญชีทรัพย์สิน ส.ว.อุปกิต
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 มีนาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวกรณีศาลอาญายกฟ้องคดีตุน มิน ลัต ซึ่งถูกกล่าวหาว่า มีความผิดฐานสมคบค้าและสมคบฟอกเงิน เนื่องจากคดีนี้จะมีผลต่อคดีของนายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. โดยก่อนเริ่มการแถลงข่าว นายรังสิมันต์นำคลิปเสียง 5 คลิป มาเปิด พร้อมระบุว่า เป็นคลิปเกี่ยวกับการเลี่ยงภาษี และการวิ่งเต้นของผู้มีอำนาจ ซึ่งหวังว่า คลิปดังกล่าวจะถูกขยายผลทางคดีต่อไป
นายรังสิมันต์ยังกล่าวถึงความเชื่อมโยงกับคำพิพากษาของยกฟ้องในคดีตุน มิน ลัต ในความผิดคดียาเสพติด การฟอกเงิน และความผิดเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจากการตรวจสอบคำพิพากษา ตนไม่เห็นด้วยใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย
1. เรื่องบัญชีม้า และร้านโพยก๊วน ที่ตีความว่าการใช้บัญชีม้าไม่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน
2. ประเด็นการโอนเงินจากร้านโพยก๊วน ชเวซินโป ที่ศาลเห็นว่า ในมุมมองของคนทั่วไป การโอนเงินผ่านร้านโพยก๊วนอาจทำได้ดีกว่า ประหยัดกว่า เพราะไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมเหมือนผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ถูกกฎหมาย
3. การอ้างบริษัทใหญ่ๆ ว่ามีการรับเงินจากโพยก๊วนเช่นกัน และเทียบเคียงพฤติการณ์ของบริษัทเหล่านี้ว่ามีสถานะเช่นเดียวกันกับบริษัทเครือข่ายตุน มิน ลัต ทั้งที่เป็นการรับโอนเงินชำระค่าสินค้าหรือบริการ โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
4. การไม่ยื่นภาษีอย่างถูกต้องของเครือข่ายตุน มิน ลัต เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี
5. การหลักฐานของตำรวจไม่น่าเชื่อถือ เพราะตำรวจไม่ฟ้องเครือข่ายยาเสพติดมาพร้อมกัน รวมถึงต้องมีหลักฐานที่ชัดกว่าเส้นทางการเงิน ทั้ง 5 ประเด็นจึงกลายเป็นคำถามว่าคดียาเสพติดและการฟอกเงินควรจะมีบรรทัดฐานอย่างไร
นายรังสิมันต์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่า นายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ได้ให้ลูกเขยถือหุ้นในบริษัทอัลลัวร์แทน ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ส.ว. จึงน่าสงสัยว่าแท้จริงแล้ว นายอุปกิตยังเป็นเจ้าของกิจการดังกล่าวหรือไม่ และเข้าข่ายการยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่ ซึ่งยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ไปตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.2566 แต่ผ่านมาแล้ว 180 วัน ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และเมื่อเทียบกับเรื่องคดี 44 ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ในเรื่องผิดจริยธรรม ที่ ป.ป.ช.ให้ข่าวว่าจะพิจารณาได้ทันตามกรอบ 180 วันนั้น จึงเป็นคำถามว่าใช้มาตรฐานใดในการทำงาน
นายรังสิมันต์กล่าวว่า จากนี้จะนำคำพิพากษาดังกล่าวยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เนื่องจากอยู่ในอำนาจของ กกต. ที่จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากพบว่ามีเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ว.สิ้นสุดลง ตามมาตรา 82 วรรคท้าย จากการทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 (2) และมาตรา 185 (1)
หลายกระทรวงมีหนาว ฝ่ายค้านมีข้อมูลคนร้องเรียนรับสินบน ฐากรเตือน รบ.ระวังคนใกล้ชิดดีๆ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4478816
‘ฐากร’ พร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ลั่นอย่าประมาทฝ่ายค้านไม่มีข้อมูล เผยมีคนร้องเรียนเพียบ ฝากเตือนรัฐบาลให้ระวังคนใกล้ตัว รับผลประโยชน์จากเงินนอกงบ พบมีถึง 584 แห่ง มีรายได้เงินนอกงบ 1.7ล้านล้านบาท เท่ากับ 53.7% ของงบรายจ่ายประจำปี จี้ตรวจสอบนำเงินเข้าคลังสมทบงบประมาณประจำปี
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เปิดเผยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะอภิปรายในวันที่ 3-4 เมษายน 2567 และพรรคร่วมฝ่ายค้านได้จัดสรรเวลาให้พรรค ทสท. 70 นาที หลายฝ่ายเข้าใจว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านยังไม่มีข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ หรือมีข้อมูลน้อยมาก โดยเฉพาะในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล เนื่องจาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ยังไม่ได้มีการประกาศใช้ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลน่าจะประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ได้ภายในเดือนเมษายน 2567 นั้น คิดว่ารัฐบาลน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในส่วนนี้ ขอบอกว่าขณะนี้ฝ่ายค้านเรามีข้อมูลการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลในหลายกระทรวง เนื่องจากในหลายๆ กระทรวงมีเงินรายได้นอกงบประมาณ หรือเงินกองทุนต่างๆ และเงินของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวง ซึ่งได้ดำเนินการอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างไปเป็นจำนวนมากแล้ว
“ผมฝากเตือนรัฐบาลชุดปัจจุบันและเจ้ากระทรวงทุกกระทรวงให้ระมัดระวังคนใกล้ตัวของท่านให้มาก ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนการรับผลประโยชน์จากเงินส่วนนี้มากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วอีก ผมไม่เคยคิดเลยว่ารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์จะมีเรื่องร้องเรียนดังกล่าวมากมายขนาดนี้ ผมฝากเตือนรัฐบาลด้วยความปรารถนาดีว่าเงินนอกงบประมาณ เงินกองทุน เงินจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของเจ้ากระทรวงต่างๆ ได้มีการเบิกใช้จ่ายเงินไปแล้ว ไม่ได้มารองบประมาณปี 2567 ประกาศใช้แต่อย่างใด” นายฐากรกล่าว
นายฐากรกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณจะอยู่นอกเหนือกระบวนการพิจารณางบประมาณตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี เช่น เงินนอกงบประมาณของกระทรวงกลาโหม เงินจากกองทุนต่างๆ ซึ่งถือเป็นเงินรายได้ และเงินจากรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดของกระทรวงเหล่านั้น อาทิ กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน, กองทุนพลังงาน, กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ ปตท.
นอกจากนี้ ในปี 2566 พบว่ามีหน่วยงานที่มีเงินนอกงบถึง 584 แห่ง ซึ่งมีรายได้เงินนอกงบที่ 1,710,999.2 ล้านบาท หรือ 53.7% เมื่อเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี ยิ่งไปกว่านั้นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยังไม่ได้เปิดเผยผลการตรวจสอบเงินนอกงบของหน่วยงานรัฐอย่างครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน และรายได้นอกงบเหล่านี้ไม่เคยมีการนำมาสมทบกับงบประมาณในแต่ละปี
“นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่นำมาเปิดให้เห็นถึงรายได้นอกงบประมาณที่เกิดขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วแยกไม่ออกจากงบประมาณ หากมีการนำเงินนอกงบประมาณส่วนที่ไม่จำเป็นมาคืนคลัง เงินนอกงบประมาณเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเงินคงคลัง สามารถจัดสรรเป็นงบประมาณประจำปีต่อไป ไม่ใช่เป็นแหล่งหากินของพวกทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างที่เป็นอยู่” นายฐากรกล่าว
อากาศร้อนเป็นเหตุ! ทำราคาพืชผลทางการเกษตรแพง
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/391872
สภาพอากาศที่แล้งและร้อนจัด มักจะมาพร้อมกับราคาพืชผลทางการเกษตรราคาแพง ล่าสุด มะนาว ราคาขยับขึ้นแล้ว
ตลาดในพื้นที่อำเภอเมือง จ.นครราชสีมา พบว่าที่นั่น ราคามะนาวปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก อย่างพันธุ์แป้นเพชรบุรี ตอนนี้ขึ้นไปถึงลูกละ 7-8 บาทแล้ว ส่วนพันธุ์แป้นรำไพ ลูกละ 5-6 บาท และพันธุ์แป้นพิจิตร ลูกละ 4-5 บาท ซึ่งจากการสอบถามแม่ค้า พบว่า ช่วงนี้ราคามะนาวปรับขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอากาศที่ร้อนจัดและปัญหาภัยแล้ง ทำให้มะนาวออกผลน้อย และราคามะนาวที่ปรับตัวสูงขึ้น เริ่มส่งผลกระทบไปยังร้านขายอาหารอีสาน ที่ใช้มะนาวเป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหาร อย่างร้านอาหารไก่ย่างโค้งวัดป่า บอกว่า แต่ละวันใช้มะนาว ไม่ต่ำกว่าวันละ 5 กิโลกรัม ราคาที่พุ่งสูงในช่วงนี้ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมาก แต่ยังจำเป็นต้องใช้มะนาวสด เนื่องจากได้รสชาติและความหอมของมะนาว ถ้าใช้มะนาวขวด จะทำให้รสชาติอาหารออกมาไม่ดี อาจกระทบกับยอดขายได้
ขณะที่ตลาดยิ่งเจริญ กรุงเทพมหานคร มะนาวขนาดจัมโบ้ ขายผลละ 7 บาท บางร้านขายอยู่ที่ ผลละ 4-6 บาท ขึ้นอยู่กับขนาด บางร้านขายเป็นถุงๆ ละ 20-50 บาท โดยแม่ค้าบอกว่า ราคามะนาวปรับตัวสูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วผลละ 2 บาท แต่ราคาปีนี้ยังถูกกว่าปีที่ผ่านมา
และไม่เพียงมะนาวที่ขึ้นราคา ตอนนี้พริกขี้หนูสวน ราคาก็เริ่มขยับจากกิโลกรัมละ 50 บาท ตอนนี้ขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 60 บาทแล้ว ส่วนใบแมงลัก โหระพา กะเพรา ถั่วฝักยาว ปรับขึ้นกิโลกรัมละ 10-15 บาท
รวมถึงไก่สดที่นำมาทำไก่ย่างเริ่มขยับราคาขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 90 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 100 บาทแล้ว ซึ่งกรณีของราคาไก่สด มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาว่า ขณะนี้ราคาไก่สดพุ่งสูงมาก กระทบทั้งแผงค้าขาย ร้านอาหาร และประชาชน แถมราคาแพงแบบไม่มีต้นตอ แต่มีการตั้งข้อสังเกตุว่ามีการส่งออกมากเกินไปหรือไม่ ส่งผลราคาไก่ในประเทศสูงมาก ขาไก่ทะลุ110 บาท ส่วนน่องไก่ทะลุ 80 บาท อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ เพราะกระทบประชาชนมากๆ
เวียดนามสูญเสียพืชผลมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี เหตุระดับน้ำเค็มสูงขึ้น
https://www.dailynews.co.th/news/3266961/
เวียดนามเผชิญกับการสูญเสียพืชผลมูลค่าเกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 108,000 ล้านบาท) เนื่องจากน้ำเค็มไหลซึมเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกในปริมาณมากขึ้น
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ว่า งานวิจัยจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมเวียดนาม เผยให้เห็นว่า ความเสียหายน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง หรือที่เรียกกันว่า “อู่ข้าวอู่น้ำของเวียดนาม” เนื่องจากภูมิภาคดังกล่าวเป็นแหล่งอาหาร และมีประชาชนอาศัยอยู่หลายสิบล้านคน
แม้ระดับน้ำเค็มมักจะสูงขึ้นในช่วงฤดูแล้ง แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวรุนแรงกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น, ภัยแล้ง, ความผันผวนของกระแสน้ำ และการขาดแคลนน้ำจืดจากต้นน้ำ ทำให้การสูญเสียพืชผลที่เกิดขึ้น อาจมีมูลค่าสูงถึง 70 ล้านล้านดง (ราว 102,000 ล้านบาท)
ทั้งนี้ งานวิจัยฉบับใหม่ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิทยาศาสตร์ทรัพยากรน้ำ สังกัดกระทรวงสิ่งแวดล้อมเวียดนาม พบว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดของภูมิภาค คือ จังหวัดก่าเมา ซึ่งอาจสูญเสียพืชผลมูลค่าประมาณ 665 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24,000 ล้านบาท) รองลงมาคือ จังหวัดเบ๊นแจ ซึ่งคาดว่าประสบความสูญเสียประมาณ 472 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000 ล้านบาท)
“จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ต้นไม้ออกผลในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ได้รับความเสียหาย 29% ส่วนพืชผลและข้าว ได้รับความเสียหาย 27% และเกือบ 14% ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมประมง ได้รับความเสียหาย 30% หรือเทียบเท่ามูลค่ามากกว่า 21 ล้านล้านดง (ราว 30,000 ล้านบาท)” รายงาน ระบุเพิ่มเติมว่า ความสูญเสียในภูมิภาคคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต จนสูงเกิน 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 111,000 ล้านบาท)
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา กรมทรัพยากรน้ำของเวียดนาม กล่าวเตือนว่า การรุกล้ำของน้ำเค็ม อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกข้าวและผลไม้ประมาณ 80,000 เฮกตาร์ ในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ขณะที่ ศูนย์อุทก-อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติเวียดนามคาดการณ์ว่า การรุกล้ำของน้ำเค็มในพื้นที่ ระหว่างปี 2566-2567 จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย และจะแตะระดับสูงสุด ในเดือน เม.ย. นี้.