โรม ยกกมธ.มั่นคงฯ ถก ผบ.ทร. รับเข้าใจกองทัพเรือ อยู่ในช่วงที่ไม่ง่าย หลังเรือหลวงคีรีรัฐถูกยิงวานนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4473275
โรม ยกคณะกมธ.มั่นคงฯ ถก ผบ.ทร. รับเข้าใจกองทัพเรือ อยู่ในช่วงที่ไม่ง่าย หลังเกิดเหตุเรือหลวงคีรีรัฐถูกยิงวานนี้ ยันมาเพื่อช่วย ไม่ใช่จ้องจับผิด ยังไม่ขอคอมเมนต์โซเชียลวิจารณ์ ทร.ขาดมาตรฐาน หลังเกิดเหตุร้ายแรงซ้ำหลายครั้งในรอบปีกว่า ขอรอฟังผลสรุปก่อน
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (วังนันทอุทยาน) นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูป สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ เดินทางมาหารือกับพลเรือเอก
อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (นันทอุทยาน)
นาย
รังสิมันต์ ระบุว่า วันนี้กองทัพเรืออยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ง่ายเท่าไหร่ ต้องพูดตรงไปตรงมา คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะมาพูดคุยกัน จะได้สร้างความร่วมมือ ร่วมกันพัฒนา และยกระดับการทำงาน แก้ปัญหาร่วมกัน คิดว่าการทำหน้าที่ของกรรมาธิการฯ ในฐานะกลไกของสภาฯ เรามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจทางกองทัพ และทางกองทัพ ก็ต้องเข้าใจการทำงานของสภาฯ คิดว่าจะนำไปสู่การสร้างบรรยากาศที่ดี จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีข้อถกเถียงหลายเรื่อง เช่น เรื่องอาวุธยุทธโธปกรณ์ เราก็ต้องพูดคุยกัน
ส่วนเรื่องการของบประมาณ จัดหาเรือฟริเกตที่ไม่ผ่านกมธ.งบ 67 ก็ต้องคุยรายละเอียด เช่นเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ของเรือหลวงคีรีรัฐ เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น กองทัพเรือเองก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราต้องพูดคุยกันว่าจะมีส่วนไหนที่จะสนับสนุนกันและกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีลักษณะเหตุแบบนี้อีก วันนี้ตั้งใจที่จะสร้างบรรยากาศของการพูดคุยและแก้ปัญหา แน่นอนว่าเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ เราเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ แต่เราสามารถมาร่วมมือกันทำหน้าที่เพื่อกองทัพเรือ ให้มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพต่อไป โดยการหารือวันนี้ เป็นกำหนดเวลาที่มีอยู่เดิมแล้วไม่ใช่มาเพราะเหตุการณ์เมื่อวาน แต่ก็ต้องมีการพูดคุย อยากให้มองว่าการมาครั้งนี้ มาคุยเพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งคิดว่ากองทัพเรือก็เป็นเหล่าสุดท้ายแล้ว
เมื่อถามว่าโครงการจัดหาเรือฟริเกตที่ถูกกมธ.งบ 67 ตีตกไปแล้ว ในส่วนของกมธ.ความมั่นคงฯ จะสามารถพูดให้ทางกองทัพเรือได้หรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกลเองก็ดูเหมือนจะสนับสนุนต่างจากพรรคเพื่อไทย นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถแสดงจุดยืนงบได้ เพราะเรามาในฐานะกรรมธิการที่มีหลายพรรคการเมือง แต่เราต้องฟังทุกฝ่าย ถ้าพูดถึงการพัฒนากองทัพอย่างไร ก็ต้องพูดถึงขีดความสามารถในการรบ และในสถานการณ์ปัจจุบันมีความท้าทาย แต่เราจะสร้างขีดความสามารถในการรบอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย สิ่งนี้ต้องมาพูดคุยกัน อย่างที่มีการพูดถึงบ่อยๆ เช่นกันการถ่ายทอดเทคโนโลยีประกอบ หรือสร้างภายในประเทศ เป็นออฟชั่นที่น่าสนใจ คิดว่าแนวทางเหล่านี้จะได้คุยกับกองทัพเรือว่าเห็นอย่างไร ซึ่งการกำหนดผลลัพธ์ของการสู้รบ เป็นแนวทางที่ต้องพูดคุยกัน แต่ยืนยันว่าวันนี้เรามองหาการทำงานร่วมกัน ขอเรียกว่าเป็นการมาช่วยกองทัพมากกว่า หลายคนบอกว่าตนมาจ้องจับผิด แต่แน่นอนว่าเราต้องถาม และสังคมอยากจะรู้ เชื่อว่าวิธีแบบนี้ จะเป็นประโยชน์ ทั้งกับกรรมาธิการ และกองทัพ เอง เป็นการให้คำตอบกับสังคมว่าทิศทางจะเป็นอย่างไรไปทางไหน ตนเข้าใจพี่น้องกองทัพ ว่าที่ผ่านมายากลำบากจริงๆ มีความท้าทายหลายอย่าง เราก็ให้กำลังใจและพูดคุยต่อไป
เมื่อถามว่าขณะนี้โซเชียลตั้งข้อวิจารณ์ว่า ในรอบ 1 ปีกว่า กองทัพเรือขาดมาตรฐานการปฏิบัติงาน ซึ่งมีหลายเหตุการณ์ร้ายแรงทั้งเรือหลวงล่ม เรือชนท่าเทียบ และเรือยิงใส่กันเอง นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่าตนขอไม่คอมเมนต์ก่อน ซึ่งต้องรอฟังเหตุผลจากกองทัพเรือ และคำถามต่างๆ ที่โลกโซเชียลได้ถามคิดว่าจะพูดคุยกันอย่างแน่นอน และเราจะฟังทางกองทัพว่าเขาพูดอย่างไร และสิ่งที่จะทำต่อไปจะทำอย่างไร ไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ตนคิดว่าก็จะมีเวลาในการตอบสื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่ง
อดีตเสื้อแดง แบกโลง-ถือป้าย ดักรอทักษิณ ถามคืนความยุติธรรมให้ 53 ชีวิตกี่โมง?
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4473294
อดีตเสื้อแดง แบกโลง-ถือป้าย ดักรอทักษิณ ถามคืนความยุติธรรมให้ 53 ชีวิตกี่โมง?
เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 15 มีนาคม แกนนำเครือข่ายภาคประชาชน นักกิจกรรมทางการเมือง อดีตคนเสื้อแดง และนักศึกษา รวมตัวกันที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อยืนถือป้ายดักรอขบวนรถยนต์ของ นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กลับจากการขึ้นไปนมัสการวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
โดยป้ายที่เขียนส่วนใหญ่เป็นข้อความที่ทางเครือข่ายตั้งใจส่งสารถึงนายทักษิณ เพื่อทวงถามถึงจิตสำนึกและความยุติธรรมให้กับเสื้อแดงที่เสียชีวิต 53 ศพ จากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
ทางกลุ่มได้เตรียมโลงศพทาสีแดง ตุงสามหาง ใช้นำหน้าศพไปฌาปนกิจยังสุสาน พร้อมธงสีแดงของ สกรีนโลโกกลุาม นปช. มาโบกสะบัด
ระหว่างการจัดกิจกรรม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยข่าวกรองทั้งในและนอกเครื่องแบบมาดูแลรักษาความเรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นขณะขบวนรถของนาย
ทักษิณลงจากดอยสุเทพ ผ่านจุดดังกล่าว
เมื่อใกล้เวลาขบวนนาย
ทักษิณลงมาจากดอยสุเทพ มีรถตู้ของเจ้าหน้าที่ และรถของตำรวจมาจอดบังกลุ่มผู้ถือป้าย เพื่อให้ขบวนรถของนายทักษิณขับผ่านไป ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจ แต่ไม่มีเหตุรุนแรงและผู้ชุมนุมได้สลายตัวแยกย้ายกันกลับ
ตลาดที่อยู่อาศัยภาคอีสาน ซึมพิษเศรษฐกิจ เข้าสู่ช่วงฟื้นตัว เหลือขายกว่า 1 หมื่นยูนิต
https://www.matichon.co.th/economy/news_4473032
ตลาดที่อยู่อาศัยภาคอีสาน ซึมพิษเศรษฐกิจ เข้าสู่ช่วงฟื้นตัว เหลือขายกว่า 1 หมื่นยูนิต
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่า ผลสำรวจที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี และมหาสารคามในครึ่งหลังปี 2566 มีจำนวนอุปทานพร้อมขาย 13,866 หน่วย มูลค่า 51,714 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุด 2,782 หน่วย มูลค่า 8,856 ล้านบาท บ้านจัดสรร 11,084 หน่วย มูลค่า 42,858 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 1,794 หน่วย มูลค่า 9,858 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 2,213 หน่วย มูลค่า 8,104 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 11,653 หน่วย มูลค่า 43,611 ล้านบาท
“เมื่อเปรียบเทียบระหว่างตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายของ 5 จังหวัดพบว่านครราชสีมา และ ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 และ 2 ในทุกด้าน ดูได้จากจำนวนและสัดส่วนที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่มีการเสนอขายถึง 6,157 หน่วย หรือ 44.4% มูลค่า 26,340 ล้านบาท หรือ 50.9% แต่ขอนแก่นเปิดตัวใหม่มากสุด เป็นบ้านจัดสรรและอาคารชุดรวม 736 หน่วย มูลค่า 2,195 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 193 หน่วย มูลค่า 1,154 ล้านบาท อาคารชุด 543 หน่วย มูลค่า 1,040 ล้านบาท มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด 959 หน่วย มูลค่า 2,469 ล้านบาท รองลงมาเนครราชสีมา 841 หน่วย มูลค่า 4,163 ล้านบาท ส่วนอุบลราชธานีมีอัตราดูดซับบ้านจัดสรรสูงสุดและขอนแก่นมีอัตราดูดซับอาคารชุดสูงสุด” นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวว่า ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขายในครึ่งหลังปี 2566 จำนวน 11,653 หน่วย มูลค่า 43,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 18.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 5 ทำเล มีหน่วยเหลือขายมากสุดคือ ทำเลจอหอ 1,406 หน่วย มูลค่า 4,490 ล้านบาท เมืองนครราชสีมา 1,034 หน่วย มูลค่า 4,451 ล้านบาท ม.ขอนแก่น 1,023 หน่วย มูลค่า 1,934 ล้านบาท บ้านใหม่-โคกกรวด 980 หน่วย มูลค่า 2,888 ล้านบาท และบ้านเป็ด 835 หน่วย มูลค่า 4,097 ล้านบาท โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากสุด 2-3 ล้านบาท มี 3,591 หน่วย มูลค่า 9,413 ล้านบาท
ส่วนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 2,213 หน่วย มูลค่า 8,104 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,553 หน่วย มูลค่า 5,917 ล้านบาท และอาคารชุด 660 หน่วย มูลค่า 2,187 ล้านบาท ทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรกคือ ม.ขอนแก่น 525 หน่วย มูลค่า 860.3 ล้านบาท จอหอ 208 หน่วย มูลค่า 706 ล้านบาท หัวทะเล 160 หน่วย มูลค่า 421.5 ล้านบาท บ้านเป็ด จำนวน 140 หน่วย มูลค่า 643.4 ล้านบาท และนิคมลำตะคอง 136 หน่วย มูลค่า 781.4 ล้านบาท
“ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ อัตราดูซับน่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้หน่วยเหลือขายลดลง ขณะที่ขอนแก่นการขายน่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในส่วนคอนโดมิเนียม แต่อัตราดูดซับอาจลดต่ำลงเล็กน้อย เพราะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เข้ามาสู่ระบบมาก ด้านอุดรธานี ภาพรวมอาจจะไม่ต่างจากปี 2566 แต่อัตราดูดซับน่าจะต่ำเล็กน้อย และตลาดรวมยังคงอยู่ในสภาวะทรงตัว แต่หน่วยเหลือขาย อาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีอัตราดูดซับลดต่ำลง ขณะที่อุบลราชธานี น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี ก่อน โดยสรุปตลาดภาพรวมภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือยอดขายจะยังคงอยู่ในระดับทรงตัว อาจมีเพียงขอนแก่นที่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาในพื้นที่จึงมีความต้องการซื้ออาคารชุดมากกว่าจังหวัดอื่น โดยเป็นการซื้อเพื่อการพักอาศัยและการลงทุน” นายวิชัยกล่าว
JJNY : “โรม”ยกทีมกมธ.ถกผบ.ทร.│อดีตเสื้อแดง ดักรอทักษิณ│ที่อยู่อีสานซึมพิษศก.│ผู้นำฝรั่งเศสลั่นรัสเซีย “คือฝ่ายตรงข้าม”
https://www.matichon.co.th/politics/news_4473275
โรม ยกคณะกมธ.มั่นคงฯ ถก ผบ.ทร. รับเข้าใจกองทัพเรือ อยู่ในช่วงที่ไม่ง่าย หลังเกิดเหตุเรือหลวงคีรีรัฐถูกยิงวานนี้ ยันมาเพื่อช่วย ไม่ใช่จ้องจับผิด ยังไม่ขอคอมเมนต์โซเชียลวิจารณ์ ทร.ขาดมาตรฐาน หลังเกิดเหตุร้ายแรงซ้ำหลายครั้งในรอบปีกว่า ขอรอฟังผลสรุปก่อน
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (วังนันทอุทยาน) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูป สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ เดินทางมาหารือกับพลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (นันทอุทยาน)
นายรังสิมันต์ ระบุว่า วันนี้กองทัพเรืออยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ง่ายเท่าไหร่ ต้องพูดตรงไปตรงมา คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะมาพูดคุยกัน จะได้สร้างความร่วมมือ ร่วมกันพัฒนา และยกระดับการทำงาน แก้ปัญหาร่วมกัน คิดว่าการทำหน้าที่ของกรรมาธิการฯ ในฐานะกลไกของสภาฯ เรามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจทางกองทัพ และทางกองทัพ ก็ต้องเข้าใจการทำงานของสภาฯ คิดว่าจะนำไปสู่การสร้างบรรยากาศที่ดี จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีข้อถกเถียงหลายเรื่อง เช่น เรื่องอาวุธยุทธโธปกรณ์ เราก็ต้องพูดคุยกัน
ส่วนเรื่องการของบประมาณ จัดหาเรือฟริเกตที่ไม่ผ่านกมธ.งบ 67 ก็ต้องคุยรายละเอียด เช่นเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ของเรือหลวงคีรีรัฐ เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น กองทัพเรือเองก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราต้องพูดคุยกันว่าจะมีส่วนไหนที่จะสนับสนุนกันและกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีลักษณะเหตุแบบนี้อีก วันนี้ตั้งใจที่จะสร้างบรรยากาศของการพูดคุยและแก้ปัญหา แน่นอนว่าเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ เราเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ แต่เราสามารถมาร่วมมือกันทำหน้าที่เพื่อกองทัพเรือ ให้มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพต่อไป โดยการหารือวันนี้ เป็นกำหนดเวลาที่มีอยู่เดิมแล้วไม่ใช่มาเพราะเหตุการณ์เมื่อวาน แต่ก็ต้องมีการพูดคุย อยากให้มองว่าการมาครั้งนี้ มาคุยเพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งคิดว่ากองทัพเรือก็เป็นเหล่าสุดท้ายแล้ว
เมื่อถามว่าโครงการจัดหาเรือฟริเกตที่ถูกกมธ.งบ 67 ตีตกไปแล้ว ในส่วนของกมธ.ความมั่นคงฯ จะสามารถพูดให้ทางกองทัพเรือได้หรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกลเองก็ดูเหมือนจะสนับสนุนต่างจากพรรคเพื่อไทย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถแสดงจุดยืนงบได้ เพราะเรามาในฐานะกรรมธิการที่มีหลายพรรคการเมือง แต่เราต้องฟังทุกฝ่าย ถ้าพูดถึงการพัฒนากองทัพอย่างไร ก็ต้องพูดถึงขีดความสามารถในการรบ และในสถานการณ์ปัจจุบันมีความท้าทาย แต่เราจะสร้างขีดความสามารถในการรบอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย สิ่งนี้ต้องมาพูดคุยกัน อย่างที่มีการพูดถึงบ่อยๆ เช่นกันการถ่ายทอดเทคโนโลยีประกอบ หรือสร้างภายในประเทศ เป็นออฟชั่นที่น่าสนใจ คิดว่าแนวทางเหล่านี้จะได้คุยกับกองทัพเรือว่าเห็นอย่างไร ซึ่งการกำหนดผลลัพธ์ของการสู้รบ เป็นแนวทางที่ต้องพูดคุยกัน แต่ยืนยันว่าวันนี้เรามองหาการทำงานร่วมกัน ขอเรียกว่าเป็นการมาช่วยกองทัพมากกว่า หลายคนบอกว่าตนมาจ้องจับผิด แต่แน่นอนว่าเราต้องถาม และสังคมอยากจะรู้ เชื่อว่าวิธีแบบนี้ จะเป็นประโยชน์ ทั้งกับกรรมาธิการ และกองทัพ เอง เป็นการให้คำตอบกับสังคมว่าทิศทางจะเป็นอย่างไรไปทางไหน ตนเข้าใจพี่น้องกองทัพ ว่าที่ผ่านมายากลำบากจริงๆ มีความท้าทายหลายอย่าง เราก็ให้กำลังใจและพูดคุยต่อไป
เมื่อถามว่าขณะนี้โซเชียลตั้งข้อวิจารณ์ว่า ในรอบ 1 ปีกว่า กองทัพเรือขาดมาตรฐานการปฏิบัติงาน ซึ่งมีหลายเหตุการณ์ร้ายแรงทั้งเรือหลวงล่ม เรือชนท่าเทียบ และเรือยิงใส่กันเอง นายรังสิมันต์ กล่าวว่าตนขอไม่คอมเมนต์ก่อน ซึ่งต้องรอฟังเหตุผลจากกองทัพเรือ และคำถามต่างๆ ที่โลกโซเชียลได้ถามคิดว่าจะพูดคุยกันอย่างแน่นอน และเราจะฟังทางกองทัพว่าเขาพูดอย่างไร และสิ่งที่จะทำต่อไปจะทำอย่างไร ไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ตนคิดว่าก็จะมีเวลาในการตอบสื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่ง
อดีตเสื้อแดง แบกโลง-ถือป้าย ดักรอทักษิณ ถามคืนความยุติธรรมให้ 53 ชีวิตกี่โมง?
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4473294
อดีตเสื้อแดง แบกโลง-ถือป้าย ดักรอทักษิณ ถามคืนความยุติธรรมให้ 53 ชีวิตกี่โมง?
เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 15 มีนาคม แกนนำเครือข่ายภาคประชาชน นักกิจกรรมทางการเมือง อดีตคนเสื้อแดง และนักศึกษา รวมตัวกันที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อยืนถือป้ายดักรอขบวนรถยนต์ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กลับจากการขึ้นไปนมัสการวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
โดยป้ายที่เขียนส่วนใหญ่เป็นข้อความที่ทางเครือข่ายตั้งใจส่งสารถึงนายทักษิณ เพื่อทวงถามถึงจิตสำนึกและความยุติธรรมให้กับเสื้อแดงที่เสียชีวิต 53 ศพ จากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
ทางกลุ่มได้เตรียมโลงศพทาสีแดง ตุงสามหาง ใช้นำหน้าศพไปฌาปนกิจยังสุสาน พร้อมธงสีแดงของ สกรีนโลโกกลุาม นปช. มาโบกสะบัด
ระหว่างการจัดกิจกรรม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยข่าวกรองทั้งในและนอกเครื่องแบบมาดูแลรักษาความเรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นขณะขบวนรถของนายทักษิณลงจากดอยสุเทพ ผ่านจุดดังกล่าว
เมื่อใกล้เวลาขบวนนายทักษิณลงมาจากดอยสุเทพ มีรถตู้ของเจ้าหน้าที่ และรถของตำรวจมาจอดบังกลุ่มผู้ถือป้าย เพื่อให้ขบวนรถของนายทักษิณขับผ่านไป ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจ แต่ไม่มีเหตุรุนแรงและผู้ชุมนุมได้สลายตัวแยกย้ายกันกลับ
ตลาดที่อยู่อาศัยภาคอีสาน ซึมพิษเศรษฐกิจ เข้าสู่ช่วงฟื้นตัว เหลือขายกว่า 1 หมื่นยูนิต
https://www.matichon.co.th/economy/news_4473032
ตลาดที่อยู่อาศัยภาคอีสาน ซึมพิษเศรษฐกิจ เข้าสู่ช่วงฟื้นตัว เหลือขายกว่า 1 หมื่นยูนิต
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่า ผลสำรวจที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี และมหาสารคามในครึ่งหลังปี 2566 มีจำนวนอุปทานพร้อมขาย 13,866 หน่วย มูลค่า 51,714 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุด 2,782 หน่วย มูลค่า 8,856 ล้านบาท บ้านจัดสรร 11,084 หน่วย มูลค่า 42,858 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 1,794 หน่วย มูลค่า 9,858 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 2,213 หน่วย มูลค่า 8,104 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 11,653 หน่วย มูลค่า 43,611 ล้านบาท
“เมื่อเปรียบเทียบระหว่างตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายของ 5 จังหวัดพบว่านครราชสีมา และ ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 และ 2 ในทุกด้าน ดูได้จากจำนวนและสัดส่วนที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่มีการเสนอขายถึง 6,157 หน่วย หรือ 44.4% มูลค่า 26,340 ล้านบาท หรือ 50.9% แต่ขอนแก่นเปิดตัวใหม่มากสุด เป็นบ้านจัดสรรและอาคารชุดรวม 736 หน่วย มูลค่า 2,195 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 193 หน่วย มูลค่า 1,154 ล้านบาท อาคารชุด 543 หน่วย มูลค่า 1,040 ล้านบาท มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด 959 หน่วย มูลค่า 2,469 ล้านบาท รองลงมาเนครราชสีมา 841 หน่วย มูลค่า 4,163 ล้านบาท ส่วนอุบลราชธานีมีอัตราดูดซับบ้านจัดสรรสูงสุดและขอนแก่นมีอัตราดูดซับอาคารชุดสูงสุด” นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวว่า ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขายในครึ่งหลังปี 2566 จำนวน 11,653 หน่วย มูลค่า 43,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 18.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 5 ทำเล มีหน่วยเหลือขายมากสุดคือ ทำเลจอหอ 1,406 หน่วย มูลค่า 4,490 ล้านบาท เมืองนครราชสีมา 1,034 หน่วย มูลค่า 4,451 ล้านบาท ม.ขอนแก่น 1,023 หน่วย มูลค่า 1,934 ล้านบาท บ้านใหม่-โคกกรวด 980 หน่วย มูลค่า 2,888 ล้านบาท และบ้านเป็ด 835 หน่วย มูลค่า 4,097 ล้านบาท โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากสุด 2-3 ล้านบาท มี 3,591 หน่วย มูลค่า 9,413 ล้านบาท
ส่วนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 2,213 หน่วย มูลค่า 8,104 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,553 หน่วย มูลค่า 5,917 ล้านบาท และอาคารชุด 660 หน่วย มูลค่า 2,187 ล้านบาท ทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรกคือ ม.ขอนแก่น 525 หน่วย มูลค่า 860.3 ล้านบาท จอหอ 208 หน่วย มูลค่า 706 ล้านบาท หัวทะเล 160 หน่วย มูลค่า 421.5 ล้านบาท บ้านเป็ด จำนวน 140 หน่วย มูลค่า 643.4 ล้านบาท และนิคมลำตะคอง 136 หน่วย มูลค่า 781.4 ล้านบาท
“ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ อัตราดูซับน่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้หน่วยเหลือขายลดลง ขณะที่ขอนแก่นการขายน่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในส่วนคอนโดมิเนียม แต่อัตราดูดซับอาจลดต่ำลงเล็กน้อย เพราะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เข้ามาสู่ระบบมาก ด้านอุดรธานี ภาพรวมอาจจะไม่ต่างจากปี 2566 แต่อัตราดูดซับน่าจะต่ำเล็กน้อย และตลาดรวมยังคงอยู่ในสภาวะทรงตัว แต่หน่วยเหลือขาย อาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีอัตราดูดซับลดต่ำลง ขณะที่อุบลราชธานี น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี ก่อน โดยสรุปตลาดภาพรวมภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือยอดขายจะยังคงอยู่ในระดับทรงตัว อาจมีเพียงขอนแก่นที่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาในพื้นที่จึงมีความต้องการซื้ออาคารชุดมากกว่าจังหวัดอื่น โดยเป็นการซื้อเพื่อการพักอาศัยและการลงทุน” นายวิชัยกล่าว