สวัสดีค่ะ อายุ 23 ปี เริ่มทำงานฟรีแลนซ์ตั้งแต่ต้นปี 2023 เพราะอาการซึมเศร้ารุมเร้าจนต้องลาออกจากงานประจำที่ทำมาตั้งแต่ปี 2019
แต่พออาการเริ่มดีขึ้น และสุขภาพกายก็เริ่มดีขึ้น เนื่องจากได้ผ่าตัดก้อนเนื้องอก (ที่ยังไม่ได้กลายเป็นก้อนเนื้อร้าย) ออกไป และออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เลยคิดอยากจะหางานประจำที่มั่นคง แต่พอเลิกงานกลับบ้านมา ก็จะได้ทำงานเสริมที่เป็นงานฟรีแลนซ์ของเราต่อได้
แต่เราอาจจะคิดผิดก็ได้ค่ะ ตอนนี้เราอยากลาออกมากเลยค่ะ...
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะลาออกจันทร์ที่ 18 มี.ค. นี้เลย แต่เราไม่รู้ว่าเราจะมีสิทธิ์ได้รับเงินตามวันที่เราได้ทำงานภายในเดือนนี้หรือเปล่า เพราะมันค่อนข้างกระทันหันค่ะ (ถ้าตามกฎหมาย นายจ้างก็ต้องจ่าย?)
หรือว่าเราควรจะทนไปจนถึงสิ้นเดือน (ประมาณ 2 อาทิตย์กับอีก 3 วัน) แล้วรับเงินเดือนที่อาจจะมีถูกหักค่าใช้จ่ายไปบ้างจนเหลือใกล้ ๆ 2 หมื่น ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 1 เดือนดีคะ (แล้วค่อยทำงานเก็บเงินสำหรับเดือนถัดไปวนไป)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ซึ่งเรามีแพลนหลังลาออกก็จะเริ่มทำงานฟรีแลนซ์ตามเดิมเลย(มี connection อยู่ และช่วงนี้ก็แอบทำงานนี้ทำก่อนเข้างาน แต่บางทีตารางประชุมไม่ได้มีตลอดทั้งวัน บางวันก็ไม่ได้ทำค่ะ) เราทำแค่ 7-8 วันก็ได้เงินเท่ากับเงินเดือนที่เราได้รับจากที่ทำงานที่นี่แล้ว
สมมติเราลาออกจันทร์หน้า ถ้าเราทำ 2-3 อาทิตย์จนถึงช่วงสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนเมษา ก็จะสามารถหาจำนวนเงินที่นำไปจ่ายค่าห้องต่อได้อีก 2 เดือน และเก็บไว้เป็นค่ากินและค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ อีกถึง 2-3 เดือนเลย เวลาที่ไม่มีรายได้เข้ามา เราตั้งใจจะทำงานอื่นที่ต้องใช้เวลา แต่จะมีรายได้แบบ passive income เข้ามาค่ะ
ซึ่งตอนนี้โปรเจ็กต์กำลังดำเนินอยู่ ถ้าออกจันทร์หน้า ก็สามารถเริ่มรับงานได้ทันทีเลย งานใช้สมองหน่อย แต่ไม่กดดัน และรู้สึกว่าเรามีคุณค่าเพียงแค่เราทำเต็มที่ในหน้าที่ ไม่ต้องมาเจอใครมาพูดจาดูถูกใส่ ไม่ต้องมารองรับอารมณ์ใครค่ะ
แต่ปัญหาคืองานมีต่อเนื่องถึงช่วงต้นเดือนเมษา และจะมีอีกทีก็มิถุนายนเลย ตามงานอีเวนต์ หรืองานโปรเจ็กต์ trading ต่าง ๆ ค่ะ
ถ้าหมดโปรเจ็กต์นี้แล้วเราต้องออกไปหางานอื่น ๆ เองที่เป็นงานรายวัน แล้วก็ต้องพยายามศึกษาการหารายได้จากช่องทางออนไลน์
อย่างการรับจ้างทำกราฟิก การรับงานแปล การทำ e-book การรับงานทำแมพในเกม และอื่น ๆ ด้วย แต่บางงานมันใช้เวลา
จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองเผื่อใช้จ่ายฉุกเฉินหรือใช้จ่ายค่าห้องเดือนหน้าด้วย
เลยทำให้ลังเลระหว่างลาออกจันทร์หน้า หรือลาออกสิ้นเดือนนี้น่ะค่ะ
เนื่องจากเราจบแค่ ม.3 เราก็เลยไม่สามารถไปสมัครงานตามบริษัทที่มีโครงสร้างบริษัทชัดเจน มีระบบที่ชัดเจนได้ จึงมักหลุดไปทำงานในองค์กรที่ไม่มีระบบที่เป็นแบบแผน ไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจนและตายตัว ต้องทำงานแบบอุทิศตน "เราทำงานกันเป็นครอบครัว มีอะไร ๆ ก็ช่วยกัน"...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่ที่เราทำอยู่ตอนนี้ เหมือนงานจะไม่เยอะ แต่มันกลับมีขั้นตอนและรายละเอียดงานจุกจิกที่เยอะมาก
และทำคนเดียว แต่หลายหน้าที่ค่ะ ถ้างานไม่เสร็จก็นั่นแหละ ทำงานหนัก แทบไม่ได้พัก บางวันก็ไม่ได้กินข้าว ไม่ได้พักเลยสักชั่วโมงเดียว ทำงานเกินชั่วโมงที่ทางกฎหมายกำหนด ไม่ได้รับค่าล่วงเวลา เหมือนเราต้องทำงานแข่งกับเวลา แล้วไปหาพักเวลาอื่นแทน แต่ทุกวันนี้ก็ยุ่งทุกวัน ไม่รู้จะได้พักวันไหน และงานอื่น ๆ "ตามที่ได้รับมอบหมาย"
แถมเพื่อนร่วมงานคนอื่นน่ะเหรอคะ... ทุกคนสบายมากกกกกกค่ะ
เวลาไม่มีลูกค้า ไม่มีใครมา ทุกคนได้เล่นโทรศัพท์ ดูซีรีส์ พักผ่อนตามอัธยาศัย
แต่ยังมีเวลามาบ่นว่าเราไร้ประโยชน์ เราไม่ช่วยงานอะไร ทั้งที่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่ทำงานที่นี่มา เราช่วยทำหมดทุกงาน ทุกหน้าที่ ทั้งที่บางอย่างไม่ใช่หน้าที่เราด้วยซ้ำ55555 แต่เขามองว่ามันเป็น "สิ่งที่แน่นอน" อยู่แล้ว พอเราติดหน้าที่หลักของเรา แล้วเราไปช่วยไม่ได้ ก็จะไม่พอใจ
เอาอะไรมาไม่พอใจก่อน 5555 งานเรา กลับไม่มีใครหน้าไหนมาช่วยได้เลย "แม้แต่คนเดียว" ใช่ค่ะ "แม้แต่คนเดียว" เราทำอยู่คนเดียวแบบไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบาภาระงานของเราได้เลยสักคน 55555 (ในเลข 5 นี้มีน้ำตาซ่อนอยู่)
บางคน หน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ กลับทำตีมึน เราถามว่าทำไมไม่ทำอันนี้ ก็ตีมึน สุดท้ายไม่มีเวลาแล้ว เราก็ต้องทำเอง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่เรา
ส่วนเราจะไปออกคำสั่งหรือไปตามเช็คงานก็ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวเขาไม่พอใจก็ไปฟ้องเจ้านายค่ะ สุดท้ายพออะไรไม่เรียบร้อย คนโดนว่าและคนที่ต้องรับผิดชอบคือเราค่ะ ไม่ใช่พวกเขา ^_^ แล้วให้เราเข้ามาทำตำแหน่งอะไร และหน้าที่อะไร ในเมื่อทุกคนตามใจกันซะขนาดนี้ แถมยังเบ่งตัวว่า "ฉันเป็นหุ้นส่วนกับเจ้านายเธอ" เป็นหุ้นส่วน ไม่ได้รับเงินเดือน แต่มาทำงานด้วยกัน และมาบอกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในการว่าจ้างเวลาเห็นเราได้สิทธิ์เข้างานทีหลังและเลิกงานก่อนเขา (ทั้งที่เราก็ทำงาน 11-13 ชม. ส่วนฝั่งหุ้นส่วนเขาก็ 12-14 ชม. ค่ะ) แถมยังได้เงินเดือน แต่ทำตัวไร้ประโยชน์อีก
คือเราต้องทำงานดีเด่น เก่งเลิศ คล่องแคล่วว่องไวมากแค่ไหน เขาถึงจะพอใจเหรอคะ แถมเวลาเขาทำอะไรออกมาผิด คนโดนว่า คนรับผิดชอบ คนที่โดนเจ้านายเพ่งเล็ง กลายเป็นเราที่ต้องมารับหน้าแทนตลอด งงกับที่นี่มากค่ะ สุดท้ายเราขอออกไปฮีลใจดีกว่าค่ะ
แต่ก็ไม่กล้าไปฟ้องร้องใด ๆ เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และมองหน้ากันไม่ติด เพราะฝั่งเจ้านายก็มี connection ค่อนข้างเยอะ เราเองก็ต้องรักษาผลประโยชน์ในการหา connection เวลาทำงานฟรีแลนซ์เหมือนกัน เลยอยากจะลาออกด้วยความสัมพันธ์ที่ดีจะดีกว่าค่ะ
ถึงแม้เราจะพยายามดูแลสุขภาพมากแค่ไหน แต่พอเจอความเครียดสะสมมาก ๆ และภาระงานจำนวนมากที่ต้องทำแข่งกับเวลา ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกกดดัน แต่มันไม่กดดันและใจฝ่อเท่าตอนที่รู้ว่าทางองค์กรไม่ต้องการเรา ไม่จำเป็นต้องมีเรา นายจ้างบอกเราว่าเขาสามารถหาใครก็ได้มาแทนเรา
ทั้งที่เขายังคอยชมเราต่อหน้าคนอื่น ๆ ตลอดว่าเราเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพ มีความสามารถมาก รู้สึกโชคดีที่มีเรามาร่วมงาน เราควรดีใจหรือเสียใจดีคะ... สุดท้ายเราขอเลือกที่จะก้าวออกไปดีกว่า ขอไปอยู่กับตัวเอง แล้วหาเงินด้วยลำแข้งของตัวเองดีกว่า ให้ตัวเองรู้สึกว่าฉันนี่แหละมีคุณค่า ไม่จำเป็นต้องง้อขอเงินเดือนจากใคร ฉันก็ทำงานตามความสามารถของฉันและได้รับค่าแรงตามความเหมาะสมที่ฉันควรจะได้รับค่ะ
พอความเครียดทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัวมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับพักผ่อนน้อย เพราะเลิกงานมา กลับบ้านมา กว่าจะทำงานบ้าน ซักผ้า ออกกำลังกายเสร็จ บางวันก็เรียนหรือทำธุระอย่างอื่น ก็เหลือเวลาให้ได้นอนเต็มที่จริง ๆ ไม่ถึง 7 ชั่วโมง ทำให้อาการปวดตรงจุดที่เคยมีเนื้องอกมันกลับมาอีก และตรงที่เคยมีเนื้องอกก็กลับมาบวมขึ้นอีก และปวดอีก นอกจากนี้ยังมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ อย่างท้องผูกท้องเสียสลับกันทีละ 2-3 วัน อาการกรดไหลย้อน อาการมีเสมหะมาคาอยู่ที่คอตลอดเวลา อาการไอเนื่องมาจากกรดไหลย้อนทำให้แสบคอและไอ และรู้สึกปวดกระเพาะด้วย เพราะไม่ค่อยได้กินข้าว มีอาการฉี่เป็นเลือดเพราะไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำ กระเพาะปัสสาวะก็อักเสบจนมีไข้ขึ้น วันนั้นทำงานไม่ได้เลยค่ะ แต่ก็ขอกลับบ้านไม่ได้ ก็อยู่ทำงานจนเสร็จงานค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ประกอบกับอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ เดือนมกราคมประจำเดือนขาด เดือนกุมภาพันธ์มา 10 วัน เดือนนี้(มีนาคม)มา 3 วัน และไม่ได้มี พสพ. ใด ๆ ไม่มีแฟน ไม่มีใคร และไม่สนใจอยากมีใครด้วย เพราะไม เมื่อ 2 ปีที่แล้วก่อนเจอก้อนเนื้องอก ก็ไปหาหมอ ทั้งที่ไม่ได้มี พสพ. กับใคร ไม่ได้ไปอะไรกับใครเลย หมอมาวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทาง พสพ. และจ่ายยาที่เกี่ยวข้องให้ จนกระทั่งได้ไป รพ. จุฬา บอกว่าสาเหตุมาจากฮอร์โมนไม่สมดุลเพราะความเครียด ทานยาคุมอยู่ช่วงนึง ประจำเดือนก็มาปกติ แต่พอหลังจากที่มีเนื้องอกและเอาออกไปแล้ว ก็มาไม่ปกติเลย แถมช่วงนี้ยังกลับไปปวดเหมือนเดิมอีกด้วยค่ะ
ในส่วนของน้ำหนัก ปีที่แล้วน้ำหนักเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ตอนลงก็ลดลงแบบฮวบฮาบ ตัวผอมโทรมเลย แต่พออ้วนก็อ้วนแบบโย่โย่เลย พอเข้าปีนี้ ก็น้ำหนักเท่าตอนโยโย่ที่น้ำหนักพุ่งมาสูงสุด แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราพยายามคุมอาหารและเริ่มทานโปรตีน (อยากสร้างกล้ามเนื้อ) แล้วออกกำลังกายทุกวัน(ตอนนี้เริ่มมีกล้ามเนื้อขึ้นให้เห็นชัดอยู่บ้าง)ด้วยหรือเปล่า น้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่ยังใส่กางเกงยีนส์ที่เคยใส่ตอนที่น้ำหนักน้อยกว่านี้ประมาณ 6-7 กก. ได้โดยไม่แน่นไม่คับเลยค่ะ ตัดภาพไปปีที่แล้วตอนที่น้ำหนักเท่าตอนนี้ ตอนนั้นใส่กางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่ตอนนี้ไม่ได้เลย เพราะขาแน่น ก้นแน่น ไขมันเน้น ๆ
แต่ถ้าเกิดน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ แบบลดไม่ได้ ทั้งที่เราพยายามคุมอาหารและออกกำลังกาย แต่อ้วนขึ้น ๆ ก็คงน่าคิดค่ะ
อีกเรื่องคือถ้าลาออกแล้ว เราจะไปตรวจสุขภาพ แล้วก็อยากไปพบจิตแพทย์ด้วย เพราะตอนนี้เรายังไม่มีประกันสังคม ต้องส่งให้ครบ 3 เดือน ทำให้ย้ายสิทธิ์บัตรทองก็ไม่ได้ ถ้าลาออกแล้วอยากจะกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อตรวจสุขภาพและไปดูบ้านด้วยค่ะ T.T
ถ้ามันยังเป็นแค่การอักเสบเฉย ๆ ไม่ได้เกิดเนื้องอกแบบมะเร็งก็คงดีค่ะ สิ่งที่กลัวตอนนี้คือมะเร็ง แบบว่ากลัวเป็นโดยไม่รู้ตัว แล้วมารู้ตัวอีกทีก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว เรายังมีคนที่เราอยากเจอ เรายังมีสิ่งที่เราอยากทำอีกเยอะเลยค่ะ สิ่งที่พยายามมากที่สุดในตอนนี้คือพยายามไม่ดาวน์ พยายามทำให้ตัวเองอารมณ์ดี และแจ่มใสกว่านี้ แต่บางทีมันก็เกินกำลังจริง ๆ ค่ะ
แต่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า ต่อให้ทำงาน 11-13 ชม. ต่อวัน เราก็ต้องหาเวลาออกกำลังกายให้ได้ และยืดเส้นยืดสาย ทำให้กล้ามเนื้อไม่ระบม และไม่เมื่อยล้า ไม่ปวดหลัง แต่ด้วยความที่ทำงานหน้าคอมนาน ๆ ก็ปวดตา ล้าตามาก ๆ ค่ะ
พออาการปวดมาทีไร ก็รู้สึกว่า "เวลาชีวิตของเรามันเหลือน้อยลงแล้วหรือเปล่านะ"
และอยากรีบ ๆ ออกไปทำตามความฝันก่อนที่เราจะตายวันตายพรุ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ
รู้สึกว่าเวลามันน้อยเกินไปมาก
ต้องการคำปรึกษาเรื่องการลาออกจากที่ทำงานและการรักษาสุขภาพค่ะ (ขอระบายความในใจด้วยค่ะ)
แต่พออาการเริ่มดีขึ้น และสุขภาพกายก็เริ่มดีขึ้น เนื่องจากได้ผ่าตัดก้อนเนื้องอก (ที่ยังไม่ได้กลายเป็นก้อนเนื้อร้าย) ออกไป และออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เลยคิดอยากจะหางานประจำที่มั่นคง แต่พอเลิกงานกลับบ้านมา ก็จะได้ทำงานเสริมที่เป็นงานฟรีแลนซ์ของเราต่อได้
แต่เราอาจจะคิดผิดก็ได้ค่ะ ตอนนี้เราอยากลาออกมากเลยค่ะ...
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะลาออกจันทร์ที่ 18 มี.ค. นี้เลย แต่เราไม่รู้ว่าเราจะมีสิทธิ์ได้รับเงินตามวันที่เราได้ทำงานภายในเดือนนี้หรือเปล่า เพราะมันค่อนข้างกระทันหันค่ะ (ถ้าตามกฎหมาย นายจ้างก็ต้องจ่าย?)
หรือว่าเราควรจะทนไปจนถึงสิ้นเดือน (ประมาณ 2 อาทิตย์กับอีก 3 วัน) แล้วรับเงินเดือนที่อาจจะมีถูกหักค่าใช้จ่ายไปบ้างจนเหลือใกล้ ๆ 2 หมื่น ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 1 เดือนดีคะ (แล้วค่อยทำงานเก็บเงินสำหรับเดือนถัดไปวนไป)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื่องจากเราจบแค่ ม.3 เราก็เลยไม่สามารถไปสมัครงานตามบริษัทที่มีโครงสร้างบริษัทชัดเจน มีระบบที่ชัดเจนได้ จึงมักหลุดไปทำงานในองค์กรที่ไม่มีระบบที่เป็นแบบแผน ไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจนและตายตัว ต้องทำงานแบบอุทิศตน "เราทำงานกันเป็นครอบครัว มีอะไร ๆ ก็ช่วยกัน"...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ก็ไม่กล้าไปฟ้องร้องใด ๆ เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และมองหน้ากันไม่ติด เพราะฝั่งเจ้านายก็มี connection ค่อนข้างเยอะ เราเองก็ต้องรักษาผลประโยชน์ในการหา connection เวลาทำงานฟรีแลนซ์เหมือนกัน เลยอยากจะลาออกด้วยความสัมพันธ์ที่ดีจะดีกว่าค่ะ
ถึงแม้เราจะพยายามดูแลสุขภาพมากแค่ไหน แต่พอเจอความเครียดสะสมมาก ๆ และภาระงานจำนวนมากที่ต้องทำแข่งกับเวลา ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกกดดัน แต่มันไม่กดดันและใจฝ่อเท่าตอนที่รู้ว่าทางองค์กรไม่ต้องการเรา ไม่จำเป็นต้องมีเรา นายจ้างบอกเราว่าเขาสามารถหาใครก็ได้มาแทนเรา
ทั้งที่เขายังคอยชมเราต่อหน้าคนอื่น ๆ ตลอดว่าเราเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพ มีความสามารถมาก รู้สึกโชคดีที่มีเรามาร่วมงาน เราควรดีใจหรือเสียใจดีคะ... สุดท้ายเราขอเลือกที่จะก้าวออกไปดีกว่า ขอไปอยู่กับตัวเอง แล้วหาเงินด้วยลำแข้งของตัวเองดีกว่า ให้ตัวเองรู้สึกว่าฉันนี่แหละมีคุณค่า ไม่จำเป็นต้องง้อขอเงินเดือนจากใคร ฉันก็ทำงานตามความสามารถของฉันและได้รับค่าแรงตามความเหมาะสมที่ฉันควรจะได้รับค่ะ
พอความเครียดทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัวมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับพักผ่อนน้อย เพราะเลิกงานมา กลับบ้านมา กว่าจะทำงานบ้าน ซักผ้า ออกกำลังกายเสร็จ บางวันก็เรียนหรือทำธุระอย่างอื่น ก็เหลือเวลาให้ได้นอนเต็มที่จริง ๆ ไม่ถึง 7 ชั่วโมง ทำให้อาการปวดตรงจุดที่เคยมีเนื้องอกมันกลับมาอีก และตรงที่เคยมีเนื้องอกก็กลับมาบวมขึ้นอีก และปวดอีก นอกจากนี้ยังมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ อย่างท้องผูกท้องเสียสลับกันทีละ 2-3 วัน อาการกรดไหลย้อน อาการมีเสมหะมาคาอยู่ที่คอตลอดเวลา อาการไอเนื่องมาจากกรดไหลย้อนทำให้แสบคอและไอ และรู้สึกปวดกระเพาะด้วย เพราะไม่ค่อยได้กินข้าว มีอาการฉี่เป็นเลือดเพราะไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำ กระเพาะปัสสาวะก็อักเสบจนมีไข้ขึ้น วันนั้นทำงานไม่ได้เลยค่ะ แต่ก็ขอกลับบ้านไม่ได้ ก็อยู่ทำงานจนเสร็จงานค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกเรื่องคือถ้าลาออกแล้ว เราจะไปตรวจสุขภาพ แล้วก็อยากไปพบจิตแพทย์ด้วย เพราะตอนนี้เรายังไม่มีประกันสังคม ต้องส่งให้ครบ 3 เดือน ทำให้ย้ายสิทธิ์บัตรทองก็ไม่ได้ ถ้าลาออกแล้วอยากจะกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อตรวจสุขภาพและไปดูบ้านด้วยค่ะ T.T
ถ้ามันยังเป็นแค่การอักเสบเฉย ๆ ไม่ได้เกิดเนื้องอกแบบมะเร็งก็คงดีค่ะ สิ่งที่กลัวตอนนี้คือมะเร็ง แบบว่ากลัวเป็นโดยไม่รู้ตัว แล้วมารู้ตัวอีกทีก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว เรายังมีคนที่เราอยากเจอ เรายังมีสิ่งที่เราอยากทำอีกเยอะเลยค่ะ สิ่งที่พยายามมากที่สุดในตอนนี้คือพยายามไม่ดาวน์ พยายามทำให้ตัวเองอารมณ์ดี และแจ่มใสกว่านี้ แต่บางทีมันก็เกินกำลังจริง ๆ ค่ะ
แต่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า ต่อให้ทำงาน 11-13 ชม. ต่อวัน เราก็ต้องหาเวลาออกกำลังกายให้ได้ และยืดเส้นยืดสาย ทำให้กล้ามเนื้อไม่ระบม และไม่เมื่อยล้า ไม่ปวดหลัง แต่ด้วยความที่ทำงานหน้าคอมนาน ๆ ก็ปวดตา ล้าตามาก ๆ ค่ะ
พออาการปวดมาทีไร ก็รู้สึกว่า "เวลาชีวิตของเรามันเหลือน้อยลงแล้วหรือเปล่านะ"
และอยากรีบ ๆ ออกไปทำตามความฝันก่อนที่เราจะตายวันตายพรุ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ
รู้สึกว่าเวลามันน้อยเกินไปมาก