JJNY : คปช.จี้ตั้งกก.-แก้กม.│พิธาเปิดเวทีฟังปัญหาที่ดิน│วิกฤตหนี้ครัวเรือน ฉุดตลาดบ้านใหม่เฉา│รัสเซียคืนศพแกนนำฝ่ายค้าน

คปช. แถลงเดินหน้าทวงยุติธรรมวีรชนเมษา-พฤษภา 53 จี้ตั้งกก.-แก้กม.จ่อบุก พท.27 กพ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4441917

 
คปช. แถลงเดินหน้าทวงยุติธรรมวีรชนเมษา-พฤษภา 53 จี้ตั้งกก.-แก้กม.จ่อบุก พท.27 กพ. 

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 10.00 น. ที่สำนักงานกฎหมายธนา เบญจาทิกุล หมู่บ้านชวนชื่นโมดัช วิภาวดี เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ คณะประชาชนทวงคืนความยุติธรรม (คปช.53) ร่วมกันแถลงข่าว ‘การทวงความยุติธรรมให้วีรชนคนเสื้อแดง 2553’ ต่อพรรคการเมืองทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาล โดยมีนางธิดา ถาวรเศรษฐ, นายแพทย์เหวง โตจิราการ และญาติวีรชน ร่วมแถลง

นายแพทย์เหวง อดีตแกนนำ นปช. กล่าวว่า ขอบคุณสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่เอาใจใส่ต่อการทวงความยุติธรรมให้ประชาชนผู้สละชีวิตจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53

การปรากฏตัวของคปช. 53 เท่ากับการบอกคนไทยทั้งประเทศว่า วีรกรรมของวีรชนประชาธิปไตย เมษา-พฤษภา 53 ไม่สูญเปล่าแน่นอน แม้วันนี้บรรดาแกนนำ นปช. ทั้งหลายไม่ทราบว่าหายไปไหนแล้ว บางคนอาจไปร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งแปลกประหลาดมาก บางคนก็อยู่ในพรรคประชาธิปไตย แต่บางคนไปปรากฏตัวในพรรคที่เป็นพวกคณะรัฐประหารหรืออำนาจนิยมด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ตน รวมถึงนางธิดา และคณะ ยืนยันว่าตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ จะขอทวงคืนความยุติธรรมต่อไป
 
อาจารย์ธิดาในวันนี้ สุขภาพยังไม่ 100% เพราะประสบอุบัติเหตุ ท่านทั้งหลายคงรู้ ผมคงไม่ลงรายละเอียด การปรากฏของคณะเราคือการยืนยันว่า จะเดินหน้าทวงความยุติธรรให้วีรชนประชาธิปไตย เมษา-พฤษภา 53
 
ผมขอทะลุปรากฏการณ์ไปยังธาตุแท้ของเรื่องนี้ คือ ต้องเอาคณะรัฐประหารมาลงโทษ ว่า ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) จำนวนหนึ่ง กลายรูปไปเป็นคณะรัฐประหาร ปี 57 การทวงความยุติธรรมให้วีรชน 53 เท่ากับสร้างหลักการใหญ่ให้ประเทศไทยว่า ถ้าทำสำเร็จ ต่อไปนี้จะไม่มีทหารเผด็จการฆ่าประชนชน 2 มือเปล่ากลางถนนอีกต่อไป” นายแพทย์เหวง กล่าว
 
นายแพทย์เหวง กล่าวว่า การนิรโทษกรรมครั้งนี้ ต้องไม่กระทำแก่เจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ต้องเอาคนเข่นฆ่าประชาชนและคนสั่งมารับโทษทางกฎหมาย
 
ผมอยากให้พรรคการเมือง นักการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โปรดมองให้ทะลุจากเปลือกไปหาแก่น ไม่ใช่ว่า เฮ้ย! พวกคุณทพไมไม่เลิกสักที เรื่องนี้จบไปแล้ว เงิน 7 ล้าน 5 ก็จ่ายไปแล้ว ทำไมสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง ไม่ใช่ครับ เราไม่ได้ต้องการสร้างความวุ่นวาย แต่เราต้องการให้บ้านเมืองนี้จบเสียทีที่ทหารฝ่ายจวาจัดฆ่าประชาชน 2 มือเปล่ากลางถนน
 
ถ้าครั้งนี้ทำสำเร็จ ตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พวกเราส่วนหนึ่ง นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน เดินหน้าจนกว่าจะเอาฆาตกรและคนสั่งมาลงโทษให้ได้” นายแพทย์เหวง กล่าว
 
นายแพทย์เหวง กล่าวว่า ตัวละครที่ฆ่าประชาชน ปี 53 มาเป็นตัวละครหลายตัวที่มามีบทบาทสำคัญในการยึดอำนาจปี 57 ถ้าสามารถลงโทษได้ จะเป็นการปิดประตูรัฐประหารในไทย
 
ในวันนี้ไทยยังมีความเป็นไปได้ที่มีการยึดอำนาจรัฐประหารต่อไปๆๆๆๆ โดยไม่สิ้นสุด เพราะผู้ยึดอำนาจได้เป็นรัฐาธิปัตย์ ไม่มีโทษอะไรเลย เพราะฉะนั้นเขาจะรัฐประหารไปเรื่อยๆ ผมอยากถามประชาชนไทยทั้งประเทศว่า เราอยากให้ประเทศตกอยู่ในวังวนรัฐประหารไปอย่างไม่สิ้นสุดหรือเปล่า ถ้าไม่ต้องการ ผมอยากให้สามัคคีกับคปช.53” นายแพทย์เหวงกล่าว
 
นายแพทย์เหวงกล่าวต่อไปว่า เมื่อครั้งที่นางธิดาเป็นธงนำคณะคปช. ในการไปยื่นข้อเรียกร้องต่อพรรคการเมืองที่มีสีสัน มีเฉดสีหรือแนวคิด หรือปรากฏการณ์ภายนอกว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย นั่นคือ พรรคฝ่ายค้าน 4 พรรคในขณะนั้น โดยได้รับคำมั่นสัญญาว่า เมื่อผ่านการเลือกตั้งแล้ว จะทำตามที่เรายื่นข้อเสนอ 8 ข้อ กระทั่งวันนี้ แม้มีความปั่นป่วนพลิกผันทางการเมือง แต่ 4 พรรคดังกล่าวยังปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้นวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 10.00 น. คณะคปช.53 จะเดินทางไปทวงถามยังพรรคเพื่อไทย ที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ ได้มีการดำเนินการหรือไม่
 
นายแพทย์เหวงกล่าวว่า การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ต้องตั้งคณะกรรมการดังที่กล่าวไปข้างต้น และแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
 
เรื่องกฎหมาย บางคนคิดว่ามันไปจบที่ ปปช. ถ้า ปปช.ตีตก เรื่องหายไป เพราะ)ะนั้นต้องไปแก้กฎหมายว่าถ้า ปปช. ตีตกแล้ว ให้แต่ละครอบครัวไปฟ้องศาลพลเรือนได้ อันนี้เป็นความปรารถนาดีของพรรคเพื่อไทย แต่ในที่สุดพรรคเพื่อไทยถอน เท่าที่อ่านจากข่าวคือเขาบอกว่า ปปช. คงไม่เห็นด้วย แต่ในการปฏิบัติที่เป็นจริง คนทราบจากส่วนงานที่เกี่ยวข้องว่าดีเอสไอพยายามฟ้องโดยตรง เพราะฉะนั้น ที่มีคนบอกว่า นิรโทษกรรม ต้องเริ่มต้นจากการหาความจริง ต้องเริ่มต้นกันใหม่ ไม่ต้องแล้ว” นายแพทย์เหวง กล่าว
 
ด้านนางธิดา กล่าวว่า หลังจากวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่จะเดินทางไปยังพรรคเพื่อไทยแล้ว วันที่ 29 กุมภาพันธ์ คปช.53 จะเดินทางไปยังรัฐสภา
 
มีหลักฐานที่คุณให้คำมั่นสัญญา เราจะไปแปรให้ข้อเรียกร้องและคำมั่นสัญญานั้นเป็นการปฏิบัติ อย่างน้อยคือ ตั้งกรรมการ เพราะฉะนั้นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถ้าจะไปพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ใช่เรื่องมุบมิบ เราจำเป็นต้องมาแถลงวันนี้ เพราะขณะนี้มีความแตกแยกในหมู่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย หลายคนเป็นแฟนคลับพรรคการเมืองแต่ละพรรค ถ้าเราเดินไปพรรคไหนก่อน พรรคไหนหลัง หรือเดินไปพรรคใดพรรคหนึ่งโดยไม่ใช่อีกพรรค อาจเกิดความสับสน แต่อยากบอกตรงนี้ว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เราจำเป็นต้องขอความร่วมมือ แม้เราจะเสียใจที่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่เราต้องเดินหน้าต่อไป” นางธิดากล่าว
 
ขอบคุณภาพ : ยูดีดีนิวส์


 
พิธา เปิดเวทีรับฟังปัญหาที่ดิน อ.วัดโบสถ์ ชี้ถือแผนที่คนละฉบับ-ทับซ้อนที่อยู่ ปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4442023

พิธา เปิดเวทีรับฟังปัญหาที่ดิน อ.วัดโบสถ์ ชี้ถือแผนที่คนละฉบับ-ทับซ้อนที่อยู่ ปชช.
 
’พิธา ลิ้มเจริญรัตน์‘ ระธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล จับมือ ส.ส.พิษณุโลก เปิดเวทีรับฟังปัญหาที่ดิน อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ชี้แต่ละหน่วยงานรัฐถือแผนที่คนละฉบับ-ทับซ้อนที่อยู่อาศัย ปชช. แนะให้อำนาจท้องถิ่นตัดสินใจ ลดปัญหาคอขวดจากส่วนกลาง
 
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่วัดโบสถ์ อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก., และนายศุภปกรณ์ กิตยาธิคุณ ส.ส.พิษณุโลก เปิดเวทีรับฟังปัญหาที่ดินประชาชน มีตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และประชาชน มาร่วมสะท้อนปัญหาเป็นจำนวนมาก
 
นายศุภปกรณ์ กล่าวว่า เขต 5 มีพื้นที่รวม 5,132 ตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นเขตเลือกตั้งที่ใหญ่มาก พื้นที่เท่ากับจ.ราชบุรี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่ากับการเป็นพื้นที่ถูกห้ามพัฒนา เพราะอยู่ในเขตพื้นที่ป่า ทำให้การพัฒนาสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน การชลประทานเพื่อบริการประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก และไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ยังมีประชาชนจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวน ทำให้มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินของตนเองเพียงประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น
 
ด้านนายพิธา กล่าวว่า ในระยะสั้น ข้อแรก ตนจะนำปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนไปฝากให้ทางคณะกรรมาธิการที่ดินฯ ของสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป ข้อสอง เราพบว่าหน่วยงานราชการต่างๆ ถือแผนที่คนละฉบับกัน ทำให้ที่ดินเกิดการทับซ้อนกัน เช่น ในหลายพื้นที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน แต่ในความเป็นจริงแล้วคือป่าสงวนที่มีลักษณะเสื่อมโทรม มีประชาชนและชุมชนเข้าไปอาศัยอยู่แล้ว
 
โดยตามตัวเลขที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มาเชื่อว่ามีแนวเขตตามกฎหมายป่าสงวนที่ดูแลโดยกรมป่าไม้ 60 กว่าล้านไร่ คงสภาพป่า 40 กว่าล้านไร่ กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม เป็นที่ทำกินราษฏร และไม่มีสภาพเป็นป่าแล้วประมาณ 21 ล้านไร่ ดังนั้น เราจะผลักดันให้หน่วยงานท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้มีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า และน้ำประปาหรือไม่ แทนที่จะเป็นอธิบดีกรมหรือรัฐมนตรีประจำกระทรวงที่นั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อลดปัญหาการติดขัดคอขวดในการตัดสินใจ
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า ในระยะกลาง เราพบว่ารัฐถือครองที่ดินทั่วประเทศมหาศาล แต่ขณะเดียวกันในรัฐบาลคณะรัฐประหารก็ยังมีนโยบายทวงคืนผืนป่าจากประชาชน ทำให้ประชาชนมีที่ดินน้อยลงอีก แม้ว่ารัฐจะยังใช้ที่ดินของตนเองไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น เราจึงเสนอให้รัฐนำที่ดินที่ตนถืออยู่แล้วมาบริหารจัดการใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คงพื้นที่และฟื้นฟูป่าจากพื้นที่ที่ตนเองถือ

“ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่ดินราชพัสดุทั่วประเทศประมาณ 12 ล้านไร่ เป็นของกองทัพไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือรวมพื้นที่แล้วเทียบเท่าพิษณุโลกทั้งจังหวัด ส่วนในระยะยาว พรรคก้าวไกล มีแผนจะปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินทั้งระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามความคืบหน้าในการทำงานของพรรคก้าวไกล และสภาผู้แทนราษฎรเร็วๆ นี้
 
ภายหลังเสร็จเวทีรับฟังปัญหาที่ดิน มีประชาชนจำนวนมากรอต้อนรับและให้กำลังใจพิธาและพรรค ก.ก. ที่ตลาดเทศบาลวัดโบสถ์ โดยนายพิธากล่าวขอบคุณสำหรับกำลังใจ พร้อมทิ้งท้ายว่า ขอให้ร่วมยืนเคียงข้างก้าวไกล และเดินไปด้วยกัน “ก้าวไกลไม่ทิ้งประชาชน ประชาชนไม่ทิ้งก้าวไกล”



วิกฤตหนี้ครัวเรือน ฉุดตลาดบ้านใหม่เฉา ขายไม่ออก ราคา 2-3 ล้าน ยอดโอนดิ่งหนัก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4441992

วิกฤตหนี้ครัวเรือน ฉุดตลาดบ้านใหม่เฉา ขายไม่ออก ราคา 2-3 ล้าน ยอดโอนดิ่งหนัก
 
ผลพวงจากปัญหาหนี้ครัวเรือนเรื้อรังอยู่ในระดับสูงถึง 90.9% และค่าครองชีพที่สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2565 ส่งผลโดยตรงต่ออุปสงค์ตลาดที่อยู่อาศัยไทย ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยและการขอสินเชื่อลดลง
 
สะท้อนจากการโอนกรรมสิทธิ์ของปี 2566 ที่ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดย”วิชัย วิรัตกพันธ์” ผู้ตรวจการธนาคาร และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า ปี 2566 มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ จำนวน 366,825 หน่วย ลดลง 6.6 % มีมูลค่า 1.05 ล้านล้านบาท ลดลง 1.7 % เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งการโอนฯที่ลดลง ยังส่งผลให้มูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ มีจำนวน 678,347 ล้านบาท ลดลง2.8% เช่นกัน
 
หากพิจารณาถึงระดับราคาที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย พบว่าภาพรวมหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง ลดลงในทุกระดับราคาที่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งลดลงระหว่าง 1.7 ถึง 9.8 % มากสุดกลุ่ม 2-3 ล้านบาท” วิชัยกล่าว
 
เมื่อลงลึกแต่ละระดับราคา พบว่า

ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีจำนวน 85,514 หน่วย เฉลี่ยติดลบ 9.6% แยกเป็นบ้านใหม่ 11,689 หน่วย ลดลง 6.1% บ้านมือสอง 73,825 หน่วย ลดลง 10.1% และมีมูลค่า 50,177 ล้านบาท ลดลง 8.7% เป็นบ้านใหม่ 6,859 ล้านบาท ลดลง 6% บ้านมือสอง 43,318 ล้านบาท ลดลง 9.1%
 
ราคา 1-1.5 ล้านบาท มีจำนวน 47,213 หน่วย โดยเฉลี่ยลดลง 7.8% เป็นบ้านใหม่ 9,120 หน่วย ลดลง 12.4% บ้านมือสอง 38,093 หน่วย ลดลง 6.6% และมีมูลค่า 61,461 ล้านบาท โดยเฉลี่ยลดลง 7.3% เป็นบ้านใหม่ 11,791 ล้านบาท ลดลง 12% บ้านมือสอง 49,670 ล้านบาท ลดลง 6.2%
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่