ตินนาส บทที่ 1 โกมาน
เสียงนกร้องทักทายกันยามเช้า ราวกับเสียงประสานขับกล่อมเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ แทรกด้วยเสียงลมหายใจหืดหอบของผู้ที่กำลังวิ่งอยู่เบื้องล่าง กล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า ทำให้เด็กสาวแทบจะก้าวขาต่อไปไม่ไหว เท้าย่ำลงบนใบไม้แห้งไม่เป็นจังหวะ ราวกับมีลูกเหล็กถ่วงไว้ แลดูเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีนัก
“ ที่สุดท้าย ” ชายร่างกำยำ ผิวเข้ม สูงเสียดต้นอิคค่า เอ่ยวาจาเสียดแทงผู้เป็นศิษย์
“ พรุ่งนี้จะเร็วกว่านี้คะท่านครู ” เด็กสาวหายใจหืดหอบ ทรุดตัวลงนอนกับพื้นลานฝึก
“ สักแต่พ่นวาจาที่ทำไม่ได้จริง มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่อ่อนแอกว่าผู้อื่น อย่าใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยไข้ มาถ่วงผู้อื่นซิ ตินนาส ” แม้ท่านครูจะเกรี้ยวกราดสักเพียงใด เด็กน้อยกลับมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ไม่รับรู้ถึงอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นอยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย
“ ไปเถิดตินนาส ถึงเวลาเติมกล่องลมหายใจแล้ว ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาประคองเด็กสาวที่นอนอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นยืน
“ ไร้มารยาท บิดาเจ้านอกจากวิชาแพทย์แล้ว ไม่เคยสอนมารยาทหรือนาฬิเวียส ”
“ บิดาข้าพร่ำสอนเสมอ หากผู้ใดให้ความเคารพแก่เรา เราย่อมยื่นความเคารพนั้นตอบแทน จริงหรือไม่ซีทาน ” นาฬิเวียสตอบกลับ
“ เจ้า!!! ” ซีทานอุทานออกมาด้วยความเจ็บแค้น แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ เพราะลานฝึกเต็มไปด้วยศิษย์นับร้อยที่จ้องมองอยู่
“ ไปกันเถอะ ข้าหายใจไม่ออก ” ตินนาสเอ่ย
อากาศเริ่มเย็นลงทุกวัน อาการหืดหอบของตินนาสก็แย่ลงเช่นกัน ผู้คนมากมายต่างสงสัย เหตุใดเด็กสาวผู้เกิดในตระกูลแพทย์ที่แข็งแกร่ง ร่างกายกลับอ่อนแอมีแต่โรคภัย ราวกับโชคชะตาเล่นสนุกกับชีวิตเช่นนี้
“ ตินนาส !!! อย่าเอาแต่เหม่อซิ เช่นนี้ซีทานจึงชอบหาเรื่องตำหนิท่าน เอ้า!!! ข้าเติมกล่องลมหายใจให้แล้ว หากข้าไม่อยู่ใครจะดูแลท่านกัน ข้าละหนักใจเสียจริง ” แม้เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินเสมอ แต่น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวลนั้น กลับทำให้ตินนาสสงสัยไม่น้อย
“ เจ้าจะไปไหนหรือนาฬิเวียส ”
ชายหนุ่มเงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับ บรรยากาศโดยรอบดูเงียบมากกว่าปกติ แสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าที่เล็ดลอดผ่านช่องผนัง เข้ามาสัมผัสผิวสากๆ ของโต๊ะในโรงพักฟื้น ช่างดูเศร้าสร้อยและเงียบเหงาเหลือเกิน
“ อีกสามวันท่านจะมีเรียนสรรพเวทย์ ก่อนจะถึงวันนั้น ข้ามีเวทย์จะสอนท่านก่อน ”
“ ถ้าข้ารู้ก่อน โยบีจะจับได้ว่าเจ้าสอน เจ้าได้โดนบิดาสับเละกลางโต๊ะอาหารเป็นแน่นาฬิเวียส ”
นาฬิเวียสหัวเราะ “ ถูกของท่าน แต่ได้โปรดเถิดตินนาส ข้าอยากให้ท่านรู้ก่อนจริงๆ ”
ตินนาสได้แต่ครุ่นคิด ถึงสีหน้าและแววตาจริงจังของชายหนุ่ม ราวกับซ่อนอะไรไว้ภายในใจ ดังเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังเด็ก ตินนาสได้เข้าไปในห้องอัฐิบรรพบุรุษ โดยที่ท่านพ่อไม่อนุญาต ครั้งนั้นนาฬิเวียส ก็ออกรับผิดแทนนางด้วยสีหน้าเช่นนี้เหมือนกัน
“ ไม่ต้องกังวลข้าจะปกป้องท่านเอง ” ฟังดูอาจเป็นคำพูดโง่เขลา ที่เอ่ยออกมาจากปากแพทย์ฝึกหัดผู้อ่อนต่อโลก คำพูดเรียบง่าย เชื่อถือได้ แต่กลับทำให้ผู้รับฟังรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
“ ข้าไม่ชอบเลย เวลาที่เจ้าทำสีหน้าเช่นนี้ ”
“ เวทย์นี้เรียกว่าเวทย์คนทรง ท่านจะสามารถควบคุมทุกสิ่งที่เคยมีชีวิตได้ ” นาฬิเวียสเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที
“ ทุกสิ่งที่เคยมีชีวิต ” ตินนาสย้ำ
“ ใช่ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่ตายไปแล้ว ท่านจะสามารถเรียกทุกความสามารถที่คนเหล่านั้นเคยมีขึ้นมาใช้ได้ เหมือนตอนที่พวกเค้ายังมีชีวิตอยู่ ”
“ มันเป็นเวทย์ต้องห้ามของหน่วยแพทย์ หากไม่ได้รับอนุญาตจากตุลาการ ก็ใช่ว่าจะฝึกได้ และที่สำคัญโยบีคงไม่สอนข้าแน่ ตัวข้าแม้แต่คุณสมบัติขั้นต้นสำหรับการฝึกยังไม่มีเลย ”
“ ตินนาสท่านทำได้แน่ ท่านเป็นบุตรของเก็น ราชาแห่งการแพทย์ จงตั้งใจฟังข้า อย่าให้ข้าต้องคอยระวังหลังให้ท่านทั้งชีวิต ”
“ นาฬิเวียส สิ่งที่ข้าเลือกไม่ได้คือ การเกิดมาอยู่ภายใต้เงาของชายผู้ยิ่งใหญ่ ที่ทุกคนล้วนโยนความปรารถนา อยากให้ข้าเป็นดั่งเช่นท่านมาให้ข้าแบก แต่ข้ากลับไม่ได้มีดีอะไรให้ใครหวัง เจ้ากลับไปซะ ข้าต้องไปลานฝึกแล้ว ”
สิ่งที่หน้าเศร้ากว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตของเด็กสาว คือความหวังที่จะมีใครซักคนเข้าใจ แม้แต่นาฬิเวียส ชายผู้ที่เป็นดั่งเงายังไม่รู้ถึงความกดดันภายในใจ ตินนาสเฝ้าครุ่นคิดถึงคำพูดของนาฬิเวียสทั้งคืน ทำไมถึงจะสอนเวทย์ต้องห้ามก่อนไปเรียนกับโยบี ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว จนทำให้เด็กสาวนอนไม่หลับ
“ วันนี้ก็ที่สุดท้าย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เป็นบุตรเจ้าบ้าน แล้วข้าจะไม่กล้าลงโทษเจ้าหรือ ” ซีทานยังไม่ทันเอ่ยจนจบ เพียงแค่ดีดนิ้วเด็กสาวก็ถูกแรงอัดจากพลังลมปราณแห่งดัชนี ดีดไปจนกระแทกกำแพงด้านหลังลานฝึก ตินนาสค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินกลับมาเข้าแถวอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาเหยียดหยาม แลยิ้มเยาะจากทุกคนในลานฝึก
“ สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องเรียนรู้ เพื่อใช้เป็นความสามารถเฉพาะตัว ของแต่ละบุคคลนั่นก็คือ โยดี ซึ่งมีอยู่สามขั้น
ขั้นที่หนึ่งคือโยดีพื้นฐาน นั่นคือการฝึกฝนร่างกาย ที่พวกเจ้าฝึกฝนอยู่ทุกวันนี้ ฝึกสรรพยุทธ์วิชาขั้นพื้นฐาน เพื่อรองรับพลังที่แฝงเร้นอยู่ภายในกายของพวกเจ้า ขั้นที่สองเทร่า โยดีที่ต้องดึงพลังพื้นฐานในตัว นำออกมาประยุกต์ใช้ เป็นความสามารถเฉพาะตัวของตนเอง ส่วนสุดท้ายจีราส คนที่มีโยดีระดับนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชนชั้นปกครองเท่านั้น และในวันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกันที่ลานฝึก เพื่อให้ทุกคนได้เข้าร่วมพิธีการคัดสรรต่อหน้าแท่นบูชา ว่าใครจะสามารถก้าวข้ามไปฝึกฝนในระดับเทร่าได้บ้าง เริ่มจากคนที่อ่อนแอที่สุด เจ้า! ตินนาสเดินออกมา และใช้จิตของเจ้าเลือกสิ่งที่เจ้าควรตอบรับซะ ”
วันนี้อากาศเย็นลงอีกแล้ว แต่อุณหภูมิในตัวตินนาสกลับร้อนระอุ หัวใจเต้นรัว เป็นเพราะตื่นกลัวแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า หรือเพราะเด็กสาวโกรธเกลียดในคำเหยียดหยาม ที่ผู้เป็นครูหยิบยื่นให้กันนะ
“ เดินเร็ว ตินนาส ข้าไม่มีเวลาให้เจ้าทั้งวัน ” เสียงหัวเราะเย้ยหยัน จากเหล่าเพื่อนร่วมโกมาน ดังกึกก้องอยู่ในหู ตินนาสได้แต่คิดหากขอพรได้ซักหนึ่งข้อ เด็กน้อยอยากภาวนาให้ทุกคนในที่นี้หายไปซะ
“ ตู้มมมมมม ” ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งชนแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกคนในลานฝึกกระเด็นกระจัดกระจายออกจากกัน
“ กรี๊ด!!! ” เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วลานฝึก
“ ซาส บุก!!! ” เหล่านักล่าค่าหัว นักฆ่ารับจ้าง และพวกทหารกรำศึกเดนตาย ได้พุ่งเข้ามาทำร้ายทุกคนในลานฝึกอย่างสนุกมือ ไม่มีความปราณี ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าดาบที่กวัดแกว่งได้ทำร้ายใครบ้าง
“ ฆ่าพวกมันทุกคน อย่าให้เหลือ ” จอมโจรผู้อหังกาสั่งลูกน้องเดนตายอย่างเลือดเย็น
“ พวกเจ้าไม่มีสิทธิมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ” ซีทานเอ่ย
“ รู้หรือไม่ว่าข้าต้องการอะไรซีทาน มอบให้ข้าซะ ก่อนที่นี่จะย่อยยับไม่เหลือแม้ชื่ออยู่บนแผนที่ธอกอส ”
“ โอหังยิ่งนัก กากเดนอย่างเจ้าไม่มีวัน จะได้ครอบครองสิ่งนั้นแน่นอน ”
ทุกสิ่งเหมือนหยุดนิ่ง ภาพเบื้องหน้า ดูคล้ายกับฝันร้าย ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความโหดร้าย เลวทรามของคนโฉดชั่ว ได้แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ กลิ่นไอความหวาดกลัวของผู้คน คละคลุ้งเคล้ากับเสียงกรีดร้องที่ดังระงมไปทั่วทั้งลานฝึก กดดันทำให้เด็กสาวก้าวขาไม่ออก ได้แต่ทรุดตัวลงนั่ง
“ ตู้ม!!! ” ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาตินนาส ชายร่างใหญ่เบื้องหน้ายืนอ้าแขนบังร่างตินนาสที่นั่งกองไร้สติอยู่กับพื้น
“ ทำไมยังไม่หนีไปอีก เจ้านี่มันเชื่องช้าเสียจริง ” ซีทานเอ่ยก่อนที่จะล้มลงต่อหน้าตินนาส
“ อ๊าก!!! ” ตินนาสกรีดร้องสุดเสียง ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยร่างของผู้คนนับร้อยนอนทับซ้อนกันราวกับภูเขาขนาดย่อม เลือดสีแดงสดไหลนองไปทั่วโกมานราวกับทะเลเลือด
“ เจ้านี่หน้าคุ้นๆนะสาวน้อย บุตรของเก็นใช่หรือไม่ ” ซาส กระชากคอเสื้อตินนาสขึ้น ตัวลอยเหนือพื้นเพื่อมองหน้าให้ชัด
“ อย่าได้คิดแตะต้อง ปล่อยนางเดียวนี้ ” ซีทานประคองร่างที่เจ็บหนักขึ้น เพื่อพยายามปกป้องศิษย์ผู้ไม่เอาไหน
“ โอ๊ะโอ้ววว เหมือนเดิมพันด้วยเงินน้อยนิด แต่กลับได้รางวัลชิ้นใหญ่เลย ฆ่าพวกมันให้หมด มดแมงก็อย่าให้เหลือ ” เมื่อสิ้นเสียง ซาสก็ผละมือออกจากเด็กสาวที่เกือบไร้สติ แล้วใช้คมดาบอัคคีลงทัณฑ์ชายผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ซีทานสู้สุดกำลัง แต่บาดแผลจากลูกไฟ ทำให้ต้านทานกำลังของซาสไม่ไหว ดาบเพลิงแทงทะลุหัวใจเผาไหม้ทั้งร่างกาย จนท้ายที่สุดซีทานก็สิ้นลมหายใจ
“ ท่านครู!!!! ” ตินนาสตะโกนสุดเสียง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับความฝัน เด็กสาวไร้เรี่ยวแรง จนไม่สามารถเดินได้ ร่างกายหนักอึ้งทรุดตัวลงอีกครั้ง เสียงอึกทึกรอบตัว ภาพการนองเลือดเบื้องหน้าเหมือนกับทุกอย่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช่างทรมานเหลือเกิน
“ ไปกันเถอะนังหนู ข้าจะพาไปเดินเล่น ” ซาสลากแขนที่ติดอยู่กับร่างไร้เรี่ยวแรงของตินนาส เดินไปพลางฆ่าคนไปพลางอย่างสนุกสนาน ตินนาส ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหมือนตายไปแล้ว หายใจติดขัดเหมือนจะสิ้นสติ ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ร่างที่แสนจะไร้ประโยชน์ ถูกลากผ่านซากศพนับไม่ถ้วน จิตใจของเด็กสาวที่เคยเย็นชา ตอนนี้มันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แห่งความเจ็บปวด รู้สึกผิด และเสียใจอย่างที่สุด
ข้าขอโทษ แม้ข้าจะคิดอยู่ในทุกห้วงคำนึง ขอให้พวกเจ้าหายไปซะ แต่มันก็ไม่ใช่เช่นนี้ โปรดเถิดหากเทพยดาองค์ใดได้สดับรับฟัง คำขอของข้า ขอให้คำสาปแช่งที่ข้าเคยสบถลงไปโดยไม่คิด โปรดย้อนคืนกลับมาลงทัณฑ์ที่ข้าแต่เพียงผู้เดียว ได้โปรดปล่อยพวกเค้าเหล่านี้ไปเถิด ได้โปรด เสียงคำอ้อนวอนที่ดังกึกก้องภายในใจ มิอาจมีผู้ใดได้ยิน ตินนาสได้แต่โทษตัวเองที่เคยคิดเช่นนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดสติไป
“ ตินนาสตื่น ตินนาสตื่น ” เสียงที่คุ้นเคย พร่ำเรียกชื่อเด็กสาวให้ฟื้นคืนสติ
“ นาฬิเวียส ทุกคนในโกมานละ ” ตินนาสเอ่ย
“ ห่วงตัวเองก่อนเถอะ อ้าปากซิข้าจะเปิดกล่องลมหายใจให้ อย่าพึ่งหลับนะ ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไป ” มือของนาฬิเวียสเย็นเฉียบ ตัวชุ่มไปด้วยเลือด ค่อยๆ ประคองกล่องลมหายใจให้เด็กสาวได้สูดเข้าจนเต็มปอด
“ ตินนาส ฟังให้ดีนะ ปาน กา จา โก เมน วิญญาณทั้งมวล โปรดมอบทุกสิ่งให้แก่ข้า แล้วข้าจะชดใช้ให้แก่เจ้า จำไว้นะตินนาส ทุกสิ่งที่ได้มาล้วนต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ข้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ จำไว้นะตินนาส ” เสียงนาฬิเวียสแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ยังคงชัดเจนเสมอ เปลวเพลิงแห่งความโหดร้ายค่อยๆ ดับลง เช่นเดียวกับจิตวิญญาณของผู้คนในโกมานที่ดับสิ้นลงไปเช่นกัน
ตินนาส บทที่ 1 โกมาน
เสียงนกร้องทักทายกันยามเช้า ราวกับเสียงประสานขับกล่อมเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ แทรกด้วยเสียงลมหายใจหืดหอบของผู้ที่กำลังวิ่งอยู่เบื้องล่าง กล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า ทำให้เด็กสาวแทบจะก้าวขาต่อไปไม่ไหว เท้าย่ำลงบนใบไม้แห้งไม่เป็นจังหวะ ราวกับมีลูกเหล็กถ่วงไว้ แลดูเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีนัก
“ ที่สุดท้าย ” ชายร่างกำยำ ผิวเข้ม สูงเสียดต้นอิคค่า เอ่ยวาจาเสียดแทงผู้เป็นศิษย์
“ พรุ่งนี้จะเร็วกว่านี้คะท่านครู ” เด็กสาวหายใจหืดหอบ ทรุดตัวลงนอนกับพื้นลานฝึก
“ สักแต่พ่นวาจาที่ทำไม่ได้จริง มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่อ่อนแอกว่าผู้อื่น อย่าใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยไข้ มาถ่วงผู้อื่นซิ ตินนาส ” แม้ท่านครูจะเกรี้ยวกราดสักเพียงใด เด็กน้อยกลับมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ไม่รับรู้ถึงอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นอยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย
“ ไปเถิดตินนาส ถึงเวลาเติมกล่องลมหายใจแล้ว ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาประคองเด็กสาวที่นอนอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นยืน
“ ไร้มารยาท บิดาเจ้านอกจากวิชาแพทย์แล้ว ไม่เคยสอนมารยาทหรือนาฬิเวียส ”
“ บิดาข้าพร่ำสอนเสมอ หากผู้ใดให้ความเคารพแก่เรา เราย่อมยื่นความเคารพนั้นตอบแทน จริงหรือไม่ซีทาน ” นาฬิเวียสตอบกลับ
“ เจ้า!!! ” ซีทานอุทานออกมาด้วยความเจ็บแค้น แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ เพราะลานฝึกเต็มไปด้วยศิษย์นับร้อยที่จ้องมองอยู่
“ ไปกันเถอะ ข้าหายใจไม่ออก ” ตินนาสเอ่ย
อากาศเริ่มเย็นลงทุกวัน อาการหืดหอบของตินนาสก็แย่ลงเช่นกัน ผู้คนมากมายต่างสงสัย เหตุใดเด็กสาวผู้เกิดในตระกูลแพทย์ที่แข็งแกร่ง ร่างกายกลับอ่อนแอมีแต่โรคภัย ราวกับโชคชะตาเล่นสนุกกับชีวิตเช่นนี้
“ ตินนาส !!! อย่าเอาแต่เหม่อซิ เช่นนี้ซีทานจึงชอบหาเรื่องตำหนิท่าน เอ้า!!! ข้าเติมกล่องลมหายใจให้แล้ว หากข้าไม่อยู่ใครจะดูแลท่านกัน ข้าละหนักใจเสียจริง ” แม้เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินเสมอ แต่น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวลนั้น กลับทำให้ตินนาสสงสัยไม่น้อย
“ เจ้าจะไปไหนหรือนาฬิเวียส ”
ชายหนุ่มเงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับ บรรยากาศโดยรอบดูเงียบมากกว่าปกติ แสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าที่เล็ดลอดผ่านช่องผนัง เข้ามาสัมผัสผิวสากๆ ของโต๊ะในโรงพักฟื้น ช่างดูเศร้าสร้อยและเงียบเหงาเหลือเกิน
“ อีกสามวันท่านจะมีเรียนสรรพเวทย์ ก่อนจะถึงวันนั้น ข้ามีเวทย์จะสอนท่านก่อน ”
“ ถ้าข้ารู้ก่อน โยบีจะจับได้ว่าเจ้าสอน เจ้าได้โดนบิดาสับเละกลางโต๊ะอาหารเป็นแน่นาฬิเวียส ”
นาฬิเวียสหัวเราะ “ ถูกของท่าน แต่ได้โปรดเถิดตินนาส ข้าอยากให้ท่านรู้ก่อนจริงๆ ”
ตินนาสได้แต่ครุ่นคิด ถึงสีหน้าและแววตาจริงจังของชายหนุ่ม ราวกับซ่อนอะไรไว้ภายในใจ ดังเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังเด็ก ตินนาสได้เข้าไปในห้องอัฐิบรรพบุรุษ โดยที่ท่านพ่อไม่อนุญาต ครั้งนั้นนาฬิเวียส ก็ออกรับผิดแทนนางด้วยสีหน้าเช่นนี้เหมือนกัน
“ ไม่ต้องกังวลข้าจะปกป้องท่านเอง ” ฟังดูอาจเป็นคำพูดโง่เขลา ที่เอ่ยออกมาจากปากแพทย์ฝึกหัดผู้อ่อนต่อโลก คำพูดเรียบง่าย เชื่อถือได้ แต่กลับทำให้ผู้รับฟังรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
“ ข้าไม่ชอบเลย เวลาที่เจ้าทำสีหน้าเช่นนี้ ”
“ เวทย์นี้เรียกว่าเวทย์คนทรง ท่านจะสามารถควบคุมทุกสิ่งที่เคยมีชีวิตได้ ” นาฬิเวียสเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที
“ ทุกสิ่งที่เคยมีชีวิต ” ตินนาสย้ำ
“ ใช่ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่ตายไปแล้ว ท่านจะสามารถเรียกทุกความสามารถที่คนเหล่านั้นเคยมีขึ้นมาใช้ได้ เหมือนตอนที่พวกเค้ายังมีชีวิตอยู่ ”
“ มันเป็นเวทย์ต้องห้ามของหน่วยแพทย์ หากไม่ได้รับอนุญาตจากตุลาการ ก็ใช่ว่าจะฝึกได้ และที่สำคัญโยบีคงไม่สอนข้าแน่ ตัวข้าแม้แต่คุณสมบัติขั้นต้นสำหรับการฝึกยังไม่มีเลย ”
“ ตินนาสท่านทำได้แน่ ท่านเป็นบุตรของเก็น ราชาแห่งการแพทย์ จงตั้งใจฟังข้า อย่าให้ข้าต้องคอยระวังหลังให้ท่านทั้งชีวิต ”
“ นาฬิเวียส สิ่งที่ข้าเลือกไม่ได้คือ การเกิดมาอยู่ภายใต้เงาของชายผู้ยิ่งใหญ่ ที่ทุกคนล้วนโยนความปรารถนา อยากให้ข้าเป็นดั่งเช่นท่านมาให้ข้าแบก แต่ข้ากลับไม่ได้มีดีอะไรให้ใครหวัง เจ้ากลับไปซะ ข้าต้องไปลานฝึกแล้ว ”
สิ่งที่หน้าเศร้ากว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตของเด็กสาว คือความหวังที่จะมีใครซักคนเข้าใจ แม้แต่นาฬิเวียส ชายผู้ที่เป็นดั่งเงายังไม่รู้ถึงความกดดันภายในใจ ตินนาสเฝ้าครุ่นคิดถึงคำพูดของนาฬิเวียสทั้งคืน ทำไมถึงจะสอนเวทย์ต้องห้ามก่อนไปเรียนกับโยบี ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว จนทำให้เด็กสาวนอนไม่หลับ
“ วันนี้ก็ที่สุดท้าย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เป็นบุตรเจ้าบ้าน แล้วข้าจะไม่กล้าลงโทษเจ้าหรือ ” ซีทานยังไม่ทันเอ่ยจนจบ เพียงแค่ดีดนิ้วเด็กสาวก็ถูกแรงอัดจากพลังลมปราณแห่งดัชนี ดีดไปจนกระแทกกำแพงด้านหลังลานฝึก ตินนาสค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินกลับมาเข้าแถวอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาเหยียดหยาม แลยิ้มเยาะจากทุกคนในลานฝึก
“ สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องเรียนรู้ เพื่อใช้เป็นความสามารถเฉพาะตัว ของแต่ละบุคคลนั่นก็คือ โยดี ซึ่งมีอยู่สามขั้น
ขั้นที่หนึ่งคือโยดีพื้นฐาน นั่นคือการฝึกฝนร่างกาย ที่พวกเจ้าฝึกฝนอยู่ทุกวันนี้ ฝึกสรรพยุทธ์วิชาขั้นพื้นฐาน เพื่อรองรับพลังที่แฝงเร้นอยู่ภายในกายของพวกเจ้า ขั้นที่สองเทร่า โยดีที่ต้องดึงพลังพื้นฐานในตัว นำออกมาประยุกต์ใช้ เป็นความสามารถเฉพาะตัวของตนเอง ส่วนสุดท้ายจีราส คนที่มีโยดีระดับนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชนชั้นปกครองเท่านั้น และในวันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกันที่ลานฝึก เพื่อให้ทุกคนได้เข้าร่วมพิธีการคัดสรรต่อหน้าแท่นบูชา ว่าใครจะสามารถก้าวข้ามไปฝึกฝนในระดับเทร่าได้บ้าง เริ่มจากคนที่อ่อนแอที่สุด เจ้า! ตินนาสเดินออกมา และใช้จิตของเจ้าเลือกสิ่งที่เจ้าควรตอบรับซะ ”
วันนี้อากาศเย็นลงอีกแล้ว แต่อุณหภูมิในตัวตินนาสกลับร้อนระอุ หัวใจเต้นรัว เป็นเพราะตื่นกลัวแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า หรือเพราะเด็กสาวโกรธเกลียดในคำเหยียดหยาม ที่ผู้เป็นครูหยิบยื่นให้กันนะ
“ เดินเร็ว ตินนาส ข้าไม่มีเวลาให้เจ้าทั้งวัน ” เสียงหัวเราะเย้ยหยัน จากเหล่าเพื่อนร่วมโกมาน ดังกึกก้องอยู่ในหู ตินนาสได้แต่คิดหากขอพรได้ซักหนึ่งข้อ เด็กน้อยอยากภาวนาให้ทุกคนในที่นี้หายไปซะ
“ ตู้มมมมมม ” ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งชนแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกคนในลานฝึกกระเด็นกระจัดกระจายออกจากกัน
“ กรี๊ด!!! ” เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วลานฝึก
“ ซาส บุก!!! ” เหล่านักล่าค่าหัว นักฆ่ารับจ้าง และพวกทหารกรำศึกเดนตาย ได้พุ่งเข้ามาทำร้ายทุกคนในลานฝึกอย่างสนุกมือ ไม่มีความปราณี ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าดาบที่กวัดแกว่งได้ทำร้ายใครบ้าง
“ ฆ่าพวกมันทุกคน อย่าให้เหลือ ” จอมโจรผู้อหังกาสั่งลูกน้องเดนตายอย่างเลือดเย็น
“ พวกเจ้าไม่มีสิทธิมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ” ซีทานเอ่ย
“ รู้หรือไม่ว่าข้าต้องการอะไรซีทาน มอบให้ข้าซะ ก่อนที่นี่จะย่อยยับไม่เหลือแม้ชื่ออยู่บนแผนที่ธอกอส ”
“ โอหังยิ่งนัก กากเดนอย่างเจ้าไม่มีวัน จะได้ครอบครองสิ่งนั้นแน่นอน ”
ทุกสิ่งเหมือนหยุดนิ่ง ภาพเบื้องหน้า ดูคล้ายกับฝันร้าย ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความโหดร้าย เลวทรามของคนโฉดชั่ว ได้แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ กลิ่นไอความหวาดกลัวของผู้คน คละคลุ้งเคล้ากับเสียงกรีดร้องที่ดังระงมไปทั่วทั้งลานฝึก กดดันทำให้เด็กสาวก้าวขาไม่ออก ได้แต่ทรุดตัวลงนั่ง
“ ตู้ม!!! ” ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาตินนาส ชายร่างใหญ่เบื้องหน้ายืนอ้าแขนบังร่างตินนาสที่นั่งกองไร้สติอยู่กับพื้น
“ ทำไมยังไม่หนีไปอีก เจ้านี่มันเชื่องช้าเสียจริง ” ซีทานเอ่ยก่อนที่จะล้มลงต่อหน้าตินนาส
“ อ๊าก!!! ” ตินนาสกรีดร้องสุดเสียง ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยร่างของผู้คนนับร้อยนอนทับซ้อนกันราวกับภูเขาขนาดย่อม เลือดสีแดงสดไหลนองไปทั่วโกมานราวกับทะเลเลือด
“ เจ้านี่หน้าคุ้นๆนะสาวน้อย บุตรของเก็นใช่หรือไม่ ” ซาส กระชากคอเสื้อตินนาสขึ้น ตัวลอยเหนือพื้นเพื่อมองหน้าให้ชัด
“ อย่าได้คิดแตะต้อง ปล่อยนางเดียวนี้ ” ซีทานประคองร่างที่เจ็บหนักขึ้น เพื่อพยายามปกป้องศิษย์ผู้ไม่เอาไหน
“ โอ๊ะโอ้ววว เหมือนเดิมพันด้วยเงินน้อยนิด แต่กลับได้รางวัลชิ้นใหญ่เลย ฆ่าพวกมันให้หมด มดแมงก็อย่าให้เหลือ ” เมื่อสิ้นเสียง ซาสก็ผละมือออกจากเด็กสาวที่เกือบไร้สติ แล้วใช้คมดาบอัคคีลงทัณฑ์ชายผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ซีทานสู้สุดกำลัง แต่บาดแผลจากลูกไฟ ทำให้ต้านทานกำลังของซาสไม่ไหว ดาบเพลิงแทงทะลุหัวใจเผาไหม้ทั้งร่างกาย จนท้ายที่สุดซีทานก็สิ้นลมหายใจ
“ ท่านครู!!!! ” ตินนาสตะโกนสุดเสียง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับความฝัน เด็กสาวไร้เรี่ยวแรง จนไม่สามารถเดินได้ ร่างกายหนักอึ้งทรุดตัวลงอีกครั้ง เสียงอึกทึกรอบตัว ภาพการนองเลือดเบื้องหน้าเหมือนกับทุกอย่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช่างทรมานเหลือเกิน
“ ไปกันเถอะนังหนู ข้าจะพาไปเดินเล่น ” ซาสลากแขนที่ติดอยู่กับร่างไร้เรี่ยวแรงของตินนาส เดินไปพลางฆ่าคนไปพลางอย่างสนุกสนาน ตินนาส ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหมือนตายไปแล้ว หายใจติดขัดเหมือนจะสิ้นสติ ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ร่างที่แสนจะไร้ประโยชน์ ถูกลากผ่านซากศพนับไม่ถ้วน จิตใจของเด็กสาวที่เคยเย็นชา ตอนนี้มันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แห่งความเจ็บปวด รู้สึกผิด และเสียใจอย่างที่สุด
ข้าขอโทษ แม้ข้าจะคิดอยู่ในทุกห้วงคำนึง ขอให้พวกเจ้าหายไปซะ แต่มันก็ไม่ใช่เช่นนี้ โปรดเถิดหากเทพยดาองค์ใดได้สดับรับฟัง คำขอของข้า ขอให้คำสาปแช่งที่ข้าเคยสบถลงไปโดยไม่คิด โปรดย้อนคืนกลับมาลงทัณฑ์ที่ข้าแต่เพียงผู้เดียว ได้โปรดปล่อยพวกเค้าเหล่านี้ไปเถิด ได้โปรด เสียงคำอ้อนวอนที่ดังกึกก้องภายในใจ มิอาจมีผู้ใดได้ยิน ตินนาสได้แต่โทษตัวเองที่เคยคิดเช่นนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดสติไป
“ ตินนาสตื่น ตินนาสตื่น ” เสียงที่คุ้นเคย พร่ำเรียกชื่อเด็กสาวให้ฟื้นคืนสติ
“ นาฬิเวียส ทุกคนในโกมานละ ” ตินนาสเอ่ย
“ ห่วงตัวเองก่อนเถอะ อ้าปากซิข้าจะเปิดกล่องลมหายใจให้ อย่าพึ่งหลับนะ ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไป ” มือของนาฬิเวียสเย็นเฉียบ ตัวชุ่มไปด้วยเลือด ค่อยๆ ประคองกล่องลมหายใจให้เด็กสาวได้สูดเข้าจนเต็มปอด
“ ตินนาส ฟังให้ดีนะ ปาน กา จา โก เมน วิญญาณทั้งมวล โปรดมอบทุกสิ่งให้แก่ข้า แล้วข้าจะชดใช้ให้แก่เจ้า จำไว้นะตินนาส ทุกสิ่งที่ได้มาล้วนต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ข้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ จำไว้นะตินนาส ” เสียงนาฬิเวียสแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ยังคงชัดเจนเสมอ เปลวเพลิงแห่งความโหดร้ายค่อยๆ ดับลง เช่นเดียวกับจิตวิญญาณของผู้คนในโกมานที่ดับสิ้นลงไปเช่นกัน