บทที่ 1 ความหวัง ตอนที่2/2
เช้าวันที่ 183 เป็นเช้าที่เหนื่อยเหมือนทุกวัน เมื่อวานข้าครุ่นคิดถึงคำพูดของนาฬิเวียสทั้งคืน ทำไมถึงจะสอนเวทย์ต้องห้ามแก่ข้า ทำไมข้าต้องรู้ก่อนไปเรียนเวทย์กับโยบี ทำไมทุกคนถึงต้องคาดหวังในตัวข้า ทั้งๆที่ข้าไม่ได้มีดีอะไร ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว ท่าทีแบบนั้นของนาฬิเวียส มันหมายความว่ายังไงกันนะ
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยตินนาส เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เป็นบุตรแห่งเก็น แล้วข้าจะไม่กล้าทำโทษเจ้าหรือ” ยังไม่ทันสิ้นเสียงตัวข้าก็ถูกดีดกระเด็นไปจนสุดลานฝึก ด้วยดรรชนีลมของท่านครู ลานฝึกเงียบสงัด เหล่าศิษย์ทั้งหลายเงียบกริบ ท่านครูยังไม่ทันเอ่ยจบด้วยซ้ำ คงจะโมโหมากที่ข้าไม่สามารถรักษาคำพูดที่ให้ไว้เมื่อวานได้ เพียงแค่ดีดนิ้วออกมาแม้ว่าข้าจะยืนอยู่ท้ายสุด แรงอัดจากพลังลมปราณแห่งดรรชนียังดีดข้าได้แรงขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งโกมาน ข้าค่อย ๆ พยุงตังเองลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วกลับมาเข้าแถวอีกครั้งก่อนที่จะมีการทำโทษเป็นครั้งที่สอง
“วันนี้ข้าคงไม่ต้องอธิบายมากใช่หรือไม่ ว่าข้าจะสอนอะไร นอกจากพละกำลัง และสรรพยุทธ์วิชาที่พวกเจ้าควรจะมีติดตัวกันแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องเรียนรู้เพื่อใช้เป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลนั่นก็คือ โยดี ซึ่งมีอยู่สามชั้น ชั้นที่หนึ่งโยดีพื้นฐาน คือการฝึกฝนร่างกาย เพื่อรองรับพลังที่แฝงเร้นอยู่ภายในร่างของแต่ละคน ชั้นที่สองเทร่า โยดีที่ต้องเปิดรับพลังงานพื้นฐานในตัวเพื่อนำออกมาประยุกต์ใช้ เป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้เอง ส่วนสุดท้ายจีราส คนที่มีโยดีระดับนี้มีไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชนชั้นปกครองเท่านั้น รวมถึงบิดาของเจ้าด้วยตินนาส ฉะนั้นวันนี้เราจะดึงความสามารถที่โดดเด่นของแต่ละคนออกมา เพื่อคัดสรรค์ว่า ใครจะสามารถก้ามข้ามไปฝึกฝนในระดับเทร่าได้บ้าง อีกสองวันข้างหน้าพวกเจ้าเข้าไปเรียนสรรพเวทย์ จะได้รู้ว่าพวกเจ้าถนัดที่จะเก็บเกี่ยวความรู้แบบใดมากกว่ากัน เริ่มจากเจ้าก่อน เจ้าอ่อนแอที่สุดในนี้ ตินนาส เดินออกมาที่หน้าแท่นบูชาเทพทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ หลับตา และใช้จิตของเจ้าเลือกสิ่งที่เจ้าควรตอบรับซะ”
วันนี้อากาศลดลงอีกแล้ว น่าแปลกอุณหภูมิภายในตัวข้ากลับร้อนระอุ หัวใจเต้นรัว เป็นเพราะกลัวแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า หรือเพราะโกรธในคำเหยียดหยาม ที่ผู้เป็นครูหยิบยื่นให้กันนะ
“เดินเร็วๆ ตินนาส ข้าไม่มีเวลาให้เจ้าทั้งวัน” เสียงหัวเราะเย้ยหยัน จากเหล่าเพื่อนพ้อง ดังกึกก้องอยู่ในหูข้า พวกเจ้าช่างหน้าสมเพชจริงๆ ถ้าข้าเลือกได้แทนที่จะปกป้องพวกเจ้า ข้าอยากสาปให้พวกเจ้าหายไปซะ ทำไมต้องเป็นข้าที่ต้องมาแบกรับความรู้สึกเช่นนี้ ทำไม
“ตู้มมมมมม”ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งชนแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ทำให้ข้าและเหล่าครู ศิษย์ทั้งหลาย ในลานฝึกกระเด็นกระจัดกระจายออกจากกัน
“กรี๊ด!!!!!!!!”เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วลานฝึก
“ซาส บุกแล้ว” เหล่านักล่าค่าหัว นักฆ่ารับจ้าง และพวกทหารกรำศึกเดนตาย ได้พุ่งเข้ามาทำร้ายทุกคนในลานฝึกอย่างสนุกมือ พวกมันไม่เคยปราณี ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าดาบที่พวกมันกวัดแกว่งอยู่นั้นจะทำร้ายใคร
“ฆ่าพวกมันทุกคน อย่าให้เหลือ” จอมโจรผู้อหังกาสั่งลูกน้องเดนตายอย่างเลือดเย็น
“พวกเจ้าเป็นใคร พวกเจ้าไม่มีสิทธิมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”ท่านครูเอ่ย
“ข้าย่อมรู้เสมอว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าละซีทานรู้หรือไม่ว่าข้าต้องการอะไร มอบให้ข้าซะก่อนที่นี่จะย่อยยับไม่เหลือแม้ชื่ออยู่บนแผนที่ธอกอส”
“โอหังยิ่งนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กากเดนอย่างเจ้าไม่มีวันซะหรอกจะได้ครอบครองสิ่งนั้น ตินนาสกลับไปเปเทียสซะ ไปหาบิดาเจ้า บอกกล่าวสิ่งที่เจ้าเห็น อย่าได้มาร่ำร้องเสียใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปซะ”
ทุกสิ่งเหมือนหยุดนิ่ง ภาพเบื้องหน้า ดูคล้ายกับฝันร้าย ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความโหดร้ายทารุณ ความเลวทรามต่ำช้าของคน ความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องที่ดังระงมไปทั่วทั้งลานฝึก ความกดดันทำให้ก้าวขาไม่ออก ข้าได้แต่ทรุดตัวลงนั่ง แม้เสียงรอบตัวจะดังเพียงใด ภายในใจกลับอื้ออึง
“ตู้ม!!”ชายเบื้องหน้า ยืนอ้าแขนบังร่างข้าที่นั่งกองไร้สติอยู่ตรงนั้น จากลูกไฟยักษ์
“ท่านครู!!!!!”
“ไปซิข้าบอกให้ไป เจ้านี่มันเชื่องช้าจริง” ท่านครูพูดพลางยิ้ม ก่อนที่จะล้มลงต่อหน้าข้า นั่นซินะแท้จริงแล้วท่านไม่เคยหยามข้าเลยซักนิด ท่านคอยปกป้องข้า จากความอ่อนแอของตัวข้าเองมาตลอด
“อ๊าก!!!!!” ข้ากรีดร้องสุดเสียง เมื่อภาพเบื้องหน้าที่แสนจะโหดร้าย มีร่างท่านครูที่ล้มลงจมกองเลือดรวมอยู่ด้วย
“เจ้านี่หน้าคุ้นๆนะว่าไหมสาวน้อย เจ้าเป็นบุตรของเก็นใช่หรือไม่”ซาส กระชากตัวเด็กน้อยขึ้นลอยเหนือพื้น เพื่อมองหน้าให้ชัดขึ้น
“อย่าได้คิดแตะต้อง ปล่อยนางเดียวนี้” ท่านครูประคองร่างที่เจ็บหนักขึ้น เพื่อพยายามปกป้องศิษย์ผู้ไม่เอาไหน
“โอ๊ะโอ้ววว เหมือนเดิมพันด้วยเงินพนันอันน้อยนิด แต่กลับได้รางวัลใหญ่ซะอย่างนั้น เอาละวันนี้ข้าจะรีบกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ฆ่าพวกมันให้หมด แล้วตามข้ามา” เมื่อสิ้นเสียง ซาสผละมือจากข้า แล้วใช้คมดาบอัคคีลงทัณฑ์ชายผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับฟาดฟันใบไม้ที่ขวางทางจนย่อยยับ ท่านครูสละชีพเพื่อปกป้องข้าที่ไม่มีดีอะไร ข้าที่อ่อนแอ ปกป้องแม้แต่ตัวเองไม่ได้
“ท่านครู!!!!”ข้าร้องตะโกนสุดเสียง ภาพที่อยู่เบื้องหน้ามันคืออะไรความฝันหรือความเป็นจริงกันนะ แขนขาที่ไร้เรี่ยวแรง จนไม่สามารถเดินได้ ทำให้ร่างกายหนักอึ้งจนทรุดตัวลงอีกครั้ง เสียงอึกทึกรอบตัว ภาพการนองเลือดเบื้องหน้าที่เหมือนผ่านไปอย่างช้าๆ ช่างเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน
“ไปกันเถอะนังหนู ข้าจะพาไปเดินเล่น”
ซาสลากแขนที่ติดอยู่กับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของข้า เดินไปพลางฆ่าคนไปพลางอย่าสนุกสนาน ข้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหมือนตายไปแล้ว หายใจติดขัด เหมือนจะสิ้นสติ ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ อย่างที่นาฬิเวียสพูด ถ้าไม่มีเค้าแล้วใครจะเติมลมหายใจให้ข้า ร่างที่แสนจะไร้ประโยชน์ ถูกลากผ่านซากศพนับไม่ถ้วน พวกเค้าล้วนเป็นหมู่มิตรสหายที่ร่วมเรียนกันมา แม้ข้าจะดูด้อยค่าเสมอในชั้นเรียน แต่พวกเค้าก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตข้า จิตใจที่เคยเย็นชา ตอนนี้มันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แห่งความปวดร้าว รู้สึกผิด และเสียใจ
“ข้าขอโทษ แม้ข้าจะคิดอยู่ในทุกห้วงคำนึง ขอให้พวกเจ้าหายไปซะ แต่มันก็มิใช่เช่นนี้ ได้โปรดเถิด หากท่านเทพยาดาองค์ใดได้สดับรับฟังอยู่ ข้าขอให้คำสาปแช่งที่ข้าเคยสบถลงไปโดยไม่คิด โปรดย้อนคืนกลับมาลงทัณฑ์ที่ข้าเพียงผู้เดียว ได้โปรดปล่อยพวกเค้าเหล่านี้ไปเถิด ได้โปรด” เสียงคำอ้อนวอนที่ดังกึกก้องอยู่ภายในใจตินนาส ไม่อาจมีผู้ใดได้ยิน เด็กน้อยได้แต่โทษตัวเองที่เคยคิดเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดสติไป
“ตินนาสตื่น ตื่นซิตินนาส ตื่น”เสียงนี้ เสียงที่คุ้นเคย ใครกันนะ
“นาฬิเวียสใช่มั้ย ทุกคนในโกมานละ ปลอดภัยหรือไม่”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ อ้าปากซิข้าจะเปิดกระบอกลมหายใจให้ อย่าพึ่งหลับนะ ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไป ค่อยๆนะ”มือของนาฬิเวียสเย็นเฉียบ ตัวชุ่มไปด้วยเลือด ค่อยๆ ประคองกระบอกลมหายใจให้ข้าสูดเข้าปอด เลือดทั่วร่างนาฬิเวียสมาจากไหนกันนะ คงเพราะต่อสู้กับพวกทหารเลวพวกนั้น เลือดนี่คงเป็นเลือดของคนอื่นซินะ
“อือ”ข้าค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
“ตินนาสเวลามีน้อยแล้ว ฟังให้ดีนะ ปา กาน จา นา โก เม วิญญาณทั้งมวล โปรดมอบทุกสิ่งให้แก่ข้า แล้วข้าจะชดใช้ทุกพันธะให้แก่เจ้า จำไว้นะตินนาส เพื่อแลกกับบางสิ่ง เจ้าก็ต้องสูญเสียบางสิ่งเช่นกัน ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ข้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ จำไว้นะตินนาส” แผ่วเบาเหลือเกิน เสียงของนาฬิเวียสช่างแผ่วเบายิ่งนัก
“พรุบ”นาฬิเวียสล้มลงทับร่างที่เกือบสิ้นวิญญาณของข้า เปลวเพลิงแห่งความโหดร้ายค่อยๆดับลง เช่นเดียวกับจิตวิญญาณของผู้คน ที่ดับสิ้นลงไปเช่นกัน
“ไม่!!”ต่อให้ตะโกนดังเท่าไร นาฬิเวียสก็มิอาจฟื้นคืน ข้านั่งกอดร่างที่ไร้วิญญาณของนาฬิเวียสไว้แน่นท่ามกลางซากศพนับร้อยชีวิตทั้งครู แลเพื่อนมิตรสหาย หรือแม้กระทั่งพวกคนชั่วทั้งหลาย ที่นอนทับถมกันอยู่เบื้องหน้า ข้ามันน่าสมเพชที่สุด
ตินนาส บทที่2/2
เช้าวันที่ 183 เป็นเช้าที่เหนื่อยเหมือนทุกวัน เมื่อวานข้าครุ่นคิดถึงคำพูดของนาฬิเวียสทั้งคืน ทำไมถึงจะสอนเวทย์ต้องห้ามแก่ข้า ทำไมข้าต้องรู้ก่อนไปเรียนเวทย์กับโยบี ทำไมทุกคนถึงต้องคาดหวังในตัวข้า ทั้งๆที่ข้าไม่ได้มีดีอะไร ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว ท่าทีแบบนั้นของนาฬิเวียส มันหมายความว่ายังไงกันนะ
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยตินนาส เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เป็นบุตรแห่งเก็น แล้วข้าจะไม่กล้าทำโทษเจ้าหรือ” ยังไม่ทันสิ้นเสียงตัวข้าก็ถูกดีดกระเด็นไปจนสุดลานฝึก ด้วยดรรชนีลมของท่านครู ลานฝึกเงียบสงัด เหล่าศิษย์ทั้งหลายเงียบกริบ ท่านครูยังไม่ทันเอ่ยจบด้วยซ้ำ คงจะโมโหมากที่ข้าไม่สามารถรักษาคำพูดที่ให้ไว้เมื่อวานได้ เพียงแค่ดีดนิ้วออกมาแม้ว่าข้าจะยืนอยู่ท้ายสุด แรงอัดจากพลังลมปราณแห่งดรรชนียังดีดข้าได้แรงขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งโกมาน ข้าค่อย ๆ พยุงตังเองลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วกลับมาเข้าแถวอีกครั้งก่อนที่จะมีการทำโทษเป็นครั้งที่สอง
“วันนี้ข้าคงไม่ต้องอธิบายมากใช่หรือไม่ ว่าข้าจะสอนอะไร นอกจากพละกำลัง และสรรพยุทธ์วิชาที่พวกเจ้าควรจะมีติดตัวกันแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องเรียนรู้เพื่อใช้เป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลนั่นก็คือ โยดี ซึ่งมีอยู่สามชั้น ชั้นที่หนึ่งโยดีพื้นฐาน คือการฝึกฝนร่างกาย เพื่อรองรับพลังที่แฝงเร้นอยู่ภายในร่างของแต่ละคน ชั้นที่สองเทร่า โยดีที่ต้องเปิดรับพลังงานพื้นฐานในตัวเพื่อนำออกมาประยุกต์ใช้ เป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้เอง ส่วนสุดท้ายจีราส คนที่มีโยดีระดับนี้มีไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชนชั้นปกครองเท่านั้น รวมถึงบิดาของเจ้าด้วยตินนาส ฉะนั้นวันนี้เราจะดึงความสามารถที่โดดเด่นของแต่ละคนออกมา เพื่อคัดสรรค์ว่า ใครจะสามารถก้ามข้ามไปฝึกฝนในระดับเทร่าได้บ้าง อีกสองวันข้างหน้าพวกเจ้าเข้าไปเรียนสรรพเวทย์ จะได้รู้ว่าพวกเจ้าถนัดที่จะเก็บเกี่ยวความรู้แบบใดมากกว่ากัน เริ่มจากเจ้าก่อน เจ้าอ่อนแอที่สุดในนี้ ตินนาส เดินออกมาที่หน้าแท่นบูชาเทพทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ หลับตา และใช้จิตของเจ้าเลือกสิ่งที่เจ้าควรตอบรับซะ”
วันนี้อากาศลดลงอีกแล้ว น่าแปลกอุณหภูมิภายในตัวข้ากลับร้อนระอุ หัวใจเต้นรัว เป็นเพราะกลัวแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า หรือเพราะโกรธในคำเหยียดหยาม ที่ผู้เป็นครูหยิบยื่นให้กันนะ
“เดินเร็วๆ ตินนาส ข้าไม่มีเวลาให้เจ้าทั้งวัน” เสียงหัวเราะเย้ยหยัน จากเหล่าเพื่อนพ้อง ดังกึกก้องอยู่ในหูข้า พวกเจ้าช่างหน้าสมเพชจริงๆ ถ้าข้าเลือกได้แทนที่จะปกป้องพวกเจ้า ข้าอยากสาปให้พวกเจ้าหายไปซะ ทำไมต้องเป็นข้าที่ต้องมาแบกรับความรู้สึกเช่นนี้ ทำไม
“ตู้มมมมมม”ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งชนแท่นบูชาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ทำให้ข้าและเหล่าครู ศิษย์ทั้งหลาย ในลานฝึกกระเด็นกระจัดกระจายออกจากกัน
“กรี๊ด!!!!!!!!”เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วลานฝึก
“ซาส บุกแล้ว” เหล่านักล่าค่าหัว นักฆ่ารับจ้าง และพวกทหารกรำศึกเดนตาย ได้พุ่งเข้ามาทำร้ายทุกคนในลานฝึกอย่างสนุกมือ พวกมันไม่เคยปราณี ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าดาบที่พวกมันกวัดแกว่งอยู่นั้นจะทำร้ายใคร
“ฆ่าพวกมันทุกคน อย่าให้เหลือ” จอมโจรผู้อหังกาสั่งลูกน้องเดนตายอย่างเลือดเย็น
“พวกเจ้าเป็นใคร พวกเจ้าไม่มีสิทธิมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”ท่านครูเอ่ย
“ข้าย่อมรู้เสมอว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าละซีทานรู้หรือไม่ว่าข้าต้องการอะไร มอบให้ข้าซะก่อนที่นี่จะย่อยยับไม่เหลือแม้ชื่ออยู่บนแผนที่ธอกอส”
“โอหังยิ่งนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กากเดนอย่างเจ้าไม่มีวันซะหรอกจะได้ครอบครองสิ่งนั้น ตินนาสกลับไปเปเทียสซะ ไปหาบิดาเจ้า บอกกล่าวสิ่งที่เจ้าเห็น อย่าได้มาร่ำร้องเสียใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปซะ”
ทุกสิ่งเหมือนหยุดนิ่ง ภาพเบื้องหน้า ดูคล้ายกับฝันร้าย ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความโหดร้ายทารุณ ความเลวทรามต่ำช้าของคน ความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องที่ดังระงมไปทั่วทั้งลานฝึก ความกดดันทำให้ก้าวขาไม่ออก ข้าได้แต่ทรุดตัวลงนั่ง แม้เสียงรอบตัวจะดังเพียงใด ภายในใจกลับอื้ออึง
“ตู้ม!!”ชายเบื้องหน้า ยืนอ้าแขนบังร่างข้าที่นั่งกองไร้สติอยู่ตรงนั้น จากลูกไฟยักษ์
“ท่านครู!!!!!”
“ไปซิข้าบอกให้ไป เจ้านี่มันเชื่องช้าจริง” ท่านครูพูดพลางยิ้ม ก่อนที่จะล้มลงต่อหน้าข้า นั่นซินะแท้จริงแล้วท่านไม่เคยหยามข้าเลยซักนิด ท่านคอยปกป้องข้า จากความอ่อนแอของตัวข้าเองมาตลอด
“อ๊าก!!!!!” ข้ากรีดร้องสุดเสียง เมื่อภาพเบื้องหน้าที่แสนจะโหดร้าย มีร่างท่านครูที่ล้มลงจมกองเลือดรวมอยู่ด้วย
“เจ้านี่หน้าคุ้นๆนะว่าไหมสาวน้อย เจ้าเป็นบุตรของเก็นใช่หรือไม่”ซาส กระชากตัวเด็กน้อยขึ้นลอยเหนือพื้น เพื่อมองหน้าให้ชัดขึ้น
“อย่าได้คิดแตะต้อง ปล่อยนางเดียวนี้” ท่านครูประคองร่างที่เจ็บหนักขึ้น เพื่อพยายามปกป้องศิษย์ผู้ไม่เอาไหน
“โอ๊ะโอ้ววว เหมือนเดิมพันด้วยเงินพนันอันน้อยนิด แต่กลับได้รางวัลใหญ่ซะอย่างนั้น เอาละวันนี้ข้าจะรีบกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ฆ่าพวกมันให้หมด แล้วตามข้ามา” เมื่อสิ้นเสียง ซาสผละมือจากข้า แล้วใช้คมดาบอัคคีลงทัณฑ์ชายผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับฟาดฟันใบไม้ที่ขวางทางจนย่อยยับ ท่านครูสละชีพเพื่อปกป้องข้าที่ไม่มีดีอะไร ข้าที่อ่อนแอ ปกป้องแม้แต่ตัวเองไม่ได้
“ท่านครู!!!!”ข้าร้องตะโกนสุดเสียง ภาพที่อยู่เบื้องหน้ามันคืออะไรความฝันหรือความเป็นจริงกันนะ แขนขาที่ไร้เรี่ยวแรง จนไม่สามารถเดินได้ ทำให้ร่างกายหนักอึ้งจนทรุดตัวลงอีกครั้ง เสียงอึกทึกรอบตัว ภาพการนองเลือดเบื้องหน้าที่เหมือนผ่านไปอย่างช้าๆ ช่างเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน
“ไปกันเถอะนังหนู ข้าจะพาไปเดินเล่น”
ซาสลากแขนที่ติดอยู่กับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของข้า เดินไปพลางฆ่าคนไปพลางอย่าสนุกสนาน ข้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหมือนตายไปแล้ว หายใจติดขัด เหมือนจะสิ้นสติ ลมหายใจแผ่วเบาลงเรื่อยๆ อย่างที่นาฬิเวียสพูด ถ้าไม่มีเค้าแล้วใครจะเติมลมหายใจให้ข้า ร่างที่แสนจะไร้ประโยชน์ ถูกลากผ่านซากศพนับไม่ถ้วน พวกเค้าล้วนเป็นหมู่มิตรสหายที่ร่วมเรียนกันมา แม้ข้าจะดูด้อยค่าเสมอในชั้นเรียน แต่พวกเค้าก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตข้า จิตใจที่เคยเย็นชา ตอนนี้มันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แห่งความปวดร้าว รู้สึกผิด และเสียใจ
“ข้าขอโทษ แม้ข้าจะคิดอยู่ในทุกห้วงคำนึง ขอให้พวกเจ้าหายไปซะ แต่มันก็มิใช่เช่นนี้ ได้โปรดเถิด หากท่านเทพยาดาองค์ใดได้สดับรับฟังอยู่ ข้าขอให้คำสาปแช่งที่ข้าเคยสบถลงไปโดยไม่คิด โปรดย้อนคืนกลับมาลงทัณฑ์ที่ข้าเพียงผู้เดียว ได้โปรดปล่อยพวกเค้าเหล่านี้ไปเถิด ได้โปรด” เสียงคำอ้อนวอนที่ดังกึกก้องอยู่ภายในใจตินนาส ไม่อาจมีผู้ใดได้ยิน เด็กน้อยได้แต่โทษตัวเองที่เคยคิดเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดสติไป
“ตินนาสตื่น ตื่นซิตินนาส ตื่น”เสียงนี้ เสียงที่คุ้นเคย ใครกันนะ
“นาฬิเวียสใช่มั้ย ทุกคนในโกมานละ ปลอดภัยหรือไม่”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ อ้าปากซิข้าจะเปิดกระบอกลมหายใจให้ อย่าพึ่งหลับนะ ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไป ค่อยๆนะ”มือของนาฬิเวียสเย็นเฉียบ ตัวชุ่มไปด้วยเลือด ค่อยๆ ประคองกระบอกลมหายใจให้ข้าสูดเข้าปอด เลือดทั่วร่างนาฬิเวียสมาจากไหนกันนะ คงเพราะต่อสู้กับพวกทหารเลวพวกนั้น เลือดนี่คงเป็นเลือดของคนอื่นซินะ
“อือ”ข้าค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
“ตินนาสเวลามีน้อยแล้ว ฟังให้ดีนะ ปา กาน จา นา โก เม วิญญาณทั้งมวล โปรดมอบทุกสิ่งให้แก่ข้า แล้วข้าจะชดใช้ทุกพันธะให้แก่เจ้า จำไว้นะตินนาส เพื่อแลกกับบางสิ่ง เจ้าก็ต้องสูญเสียบางสิ่งเช่นกัน ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ข้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ จำไว้นะตินนาส” แผ่วเบาเหลือเกิน เสียงของนาฬิเวียสช่างแผ่วเบายิ่งนัก
“พรุบ”นาฬิเวียสล้มลงทับร่างที่เกือบสิ้นวิญญาณของข้า เปลวเพลิงแห่งความโหดร้ายค่อยๆดับลง เช่นเดียวกับจิตวิญญาณของผู้คน ที่ดับสิ้นลงไปเช่นกัน
“ไม่!!”ต่อให้ตะโกนดังเท่าไร นาฬิเวียสก็มิอาจฟื้นคืน ข้านั่งกอดร่างที่ไร้วิญญาณของนาฬิเวียสไว้แน่นท่ามกลางซากศพนับร้อยชีวิตทั้งครู แลเพื่อนมิตรสหาย หรือแม้กระทั่งพวกคนชั่วทั้งหลาย ที่นอนทับถมกันอยู่เบื้องหน้า ข้ามันน่าสมเพชที่สุด