ผ่านไปอย่างเหงา ๆ สำหรับการที่ไม่ได้คุยกับสารวัตรลิปดา เพราะส่งข้อความคุยกันทุกวันจนชินพอเขาหายไปอย่างนี้ฉันก็โดนความเหงาเล่นงานหนักเหมือนกัน ไม่ใช่คิดถึงแต่มันเป็นความเคยชินเสียมากกว่า
สองวันกับการที่ลิปดาหายไปทำงาน ยังดีที่มีแก่ใจบอกกับฉันก่อนว่าจะไปที่ไหนทำอะไร ไม่หายไปดื้อ ๆ อย่างช่วงแรกที่คุยกัน ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าความผูกพันมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีตนเองก็กำลังตั้งตารอคอยข้อความจากเขาอยู่
ในวันนี้ฉันตัดสินใจกลืนน้ำลายตัวเองที่ว่าจะไม่ยอมคุยกับคนไม่มีตัวตนอย่างเด็ดขาด ก็เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นนั่น วันที่คุณทอฝันตามมาประกาศกร้าวถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่อาวุธต่อหน้าฉันในร้านอาหาร
เรื่องราววันนั้นทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะลองคบกับสารวัตรลิปดา แม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวของเขามากไปกว่าที่เขาอยากให้รู้ก็ตาม แต่ลิปดาก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายถ้าฉันจะเปิดใจคบหาด้วย
จะว่าไปฉันก็ไม่ได้คิดจริงจังกับความสัมพันธ์นี้อยู่แล้ว เขาจะหายไปจากฉันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอนึกถึงคำมั่นสัญญาที่เราสองคนให้กันเอาไว้ว่า หากคุยกันถึงสามเดือนเมื่อไหร่เราสองคนจะนัดเจอกัน
พอนึกถึงเรื่องนี้หัวใจก็หวั่นไหว ฉันจะกล้าไปเจอกับเขาจริง ๆ หรือ หน้าตาของเขาเป็นเช่นไรยังนึกภาพไม่ออกเลย ตอนนี้ผ่านไปสองเดือนแล้วเหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ถึงกระนั้นก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ลิปดาจะมีหน้าตาแบบไหนนะ หล่อขี้เหร่ดำขาวสูงเตี้ยอ้วนหรือผอมกันแน่ ฉันจินตนาการไม่ออก เอาเถอะถึงเวลานั้นคงจะได้รู้เอง
ระหว่างจินตนาการถึงใบหน้าของคนในโลกออนไลน์มือก็กดเข้าไปดูโพรไฟล์ของเขา แม้รู้ว่าจะไม่พบข้อมูลอะไรก็ตามและมันก็ไม่พบอะไรจริง ๆ มีเพียงความว่างเปล่า ระหว่างที่กำลังนั่งจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอยู่นั้น โทรศัพท์ของฉันก็มีสายเรียกเข้า ดูหมายเลขที่โชว์หราบนหน้าจอไม่คุ้นเคยสักนิด ใครกันนะโทรฯ มาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ ถ้าเป็นพวกคอลเซนเตอร์ฉันจะวีนฉ่ำ ๆ เลยคอยดู
“ฮัลโหล” ฉันกล่าวทักทายหลังกดรับสาย ปลายสายเงียบ “ฮัลโหล ๆๆๆ ถ้าไม่พูดขอวางสายนะ” พูดจบแล้วจึงกดวางสายด้วยอารมณ์คุกรุ่น ตอนนี้ยิ่งหงุดหงิดผสมกับความเหงาอยู่ด้วย ยิ่งมีคนมากวนประสาทอีก อย่าให้รู้ว่าเป็นใครโทรฯ มาแกล้งฉันนึกอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วก็มีเบอร์เดิมโทรฯ เข้ามาอีก
ฉันถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งวางลงขึ้นมากดรับสาย ตั้งใจจะด่าแต่ยังไม่ทันได้พูดคนในสายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนราวกับรู้ว่าฉันจะด่าอย่างไรอย่างนั้น
“ไมล์ผมเองครับลิปดา” คนในสายรีบบอก ฉันทำตาโตทั้งอึ้งทั้งสงสัยและทั้งดีใจที่เป็นเขา “เสียงของคุณน่ารักดีนะน่ารักเหมือนหน้าตาจริง ๆ” เขาพูดต่อ ฉันเองก็ยอมรับว่าน้ำเสียงของเขานุ่มละมุนน่าฟังเช่นกัน
“คุณลิปดา เอ่อสารวัตรลิปดาคุณมีเบอร์โทรฯ ของฉันได้ยังไงคะ” ฉันถามด้วยความงุนงง
“ไมล์เรียกผมว่าลิปเฉย ๆ เถอะ หรือถ้าอยากสนิทกันมากกว่านี้ก็ให้เรียกผมว่าพี่ลิปก็ได้ ไมล์อายุน้อยกว่าผม” คนในสายตอบไม่ตรงตำถาม ฉันตั้งสติควบคุมอาการตื่นเต้นเอาไว้อีกอย่างต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
“ฉันจะไม่เรียกอะไรทั้งนั้นถ้าคุณยังไม่ยอมบอกความจริงกับฉันมาว่า คุณได้เบอร์โทรฯ ของฉันมาได้ยังไง” ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบให้เขารู้ว่าฉันกำลังจริงจัง
“ผมขอโทษที่ผมต้อง....” เขาอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดต่อ
“สืบอย่างนั้นเหรอ คุณลิปดาคุณทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง คุณมาสืบเรื่องของฉันทำไมคะ นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉันนะ” รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของลิปดาจริง ๆ ที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉันถึงขนาดนี้ แต่ทำไมนะถึงได้โกรธเขาไม่ลง “ใช่สิคุณเป็นตำรวจหนิ เป็นถึงสารวัตรด้วย เรื่องไหนที่คุณอยากรู้ก็แค่กระดิกนิ้วสั่งลูกน้องก็ได้ละ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับไมล์ ผมไม่ได้ตั้งใจจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณก่อนได้รับอนุญาต แต่เพราะผม...ผมอยากได้ยินเสียงของคุณก่อนไปทำงาน ผมก็เลย...” สารวัตรลิปดารีบอธิบาย แปลกที่ฉันเชื่อในคำพูดของเขา
“สืบ...ก็เลยแอบสืบข้อมูลส่วนตัวของฉัน” ฉันพูดต่อให้ “แล้วที่บอกว่าเสียงของฉันน่ารักเหมือนหน้าตาล่ะ อย่าบอกนะว่าคุณแอบตามสืบฉันมาหมดแล้ว คุณเคยเจอฉันมาก่อนแล้วใช่ไหม จริง ๆ แล้วคุณอาจจะทำมาก่อนหน้าที่จะขออนุญาตฉันอีก ที่เอ่ยขอก็แค่ขอพอเป็นพิธีใช่ไหมคุณลิปดา มันจะมากเกินไปแล้วนะคะ!”
คราวนี้ฉันไม่ยอมแน่ เขาจะทำมากเกินไปแล้วที่สะกดรอยตามฉันในขณะที่ฉันไม่เคยรู้จักเขาเลย
“ไม่ใช่ ๆ ใจเย็นก่อนไมล์ ผมไม่ได้แอบสะกดรอยตามคุณเลยนะ ผมยอมรับว่าได้รูปถ่ายที่เป็นปัจจุบันของคุณมา และก็ใช่อีกแหละที่ว่าผมได้เบอร์โทรฯ ของคุณมาก่อนที่จะเอ่ยขอ แล้วก็แค่รอให้คุณอนุญาตก่อน แต่คุณก็ไม่เคยให้เบอร์โทรฯ ผมสักที วันนี้ผมตัดสินใจโทรฯ มาแม้รู้ว่าคุณอาจจะโกรธมาก ๆ จนเลิกคุยกับผมไปเลยก็ได้ แต่ผมก็ต้องโทรฯ เพราะผมอยากได้ยินเสียงของคุณก่อนไปทำงานที่เสี่ยงอันตราย ผมกลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงของคุณอีกก็เท่านั้น”
ลิปดาพูดเสียงแผ่ว จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน มีอะไรในตัวของเขาให้เชื่อได้บ้าง ถึงอย่างนั้นความห่วงใยก็เกิดขึ้นในอกของฉันจนล้น ห่วงว่าเขาจะเป็นอันตรายไม่ชอบเลยที่เขาพูดมาอย่างนั้น ‘กลัวจะไม่ได้ยินเสียงอีก’ ลิปดาต้องกลับมาต้องปลอดภัยเท่านั้น
“แล้วคุณจะไปที่ไหนคะ” ฉันถาม ไม่อยากให้เขาไปแต่คงไม่มีสิทธิ์ห้ามเพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำได้แค่แอบห่วง
“ไปจับคนร้ายครับ ถึงเวลาที่ลูกพี่อย่างผมต้องออกโรงเอง ให้ลูกน้องจัดการเสียเวลามามากแล้ว” เขาบอก
“อันตรายไหมคะ”
“ของอย่างนี้แน่นอนอยู่แล้วครับพลาดคือตายสถานเดียว ผมถึงอดใจรอให้ไมล์อนุญาตไม่ไหวไง ผมก็เลยโทรฯ หาไมล์ในวันนี้”
“ตามจับใครบอกได้ไหม” ฉันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“รออ่านในโซเชียลนะครับรับรองดังกระหึ่มแน่ แต่ก็ไม่รู้นะว่าคนที่โดนพลาดหัวข่าวจะเป็นราชายาเสพติดหรือผม”
“คุณลิปดา” เรียกชื่อของเขาเบา ๆ ไม่อยากให้เขาไปเลยแต่ทำอะไรไม่ได้
“ห่วงไหม”
“ห่วงก็ห่วงอยู่หรอกแต่โกรธด้วยที่ล้ำเส้นกัน ที่แอบใช้หน้าที่การงานของตนเองมาแอบสืบเรื่องส่วนตัวของไมล์”
“ขอโทษครับ ศาลที่รัก เอ้ย! ที่เคารพยกโทษให้จำเลยได้ไหม ที่ทำไปเพราะมีเหตุผลล้วน ๆ” ลิปดาทำเสียงเว้าวอนได้น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ฉันแทบนึกภาพใบหน้าของเขาขณะพูดในตอนนี้ออกเลยว่าทำหน้าตาแบบไหน
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยคนขี้โกง” สุดท้ายก็ใจอ่อนโกรธไม่ลง ก็จริงนี่ฉันไม่เคยรู้จักตัวตนของเขาเลย แต่นี่เขารู้ทั้งเบอร์โทรศัพท์มีทั้งรูปถ่ายปัจจุบันของฉันอีก
“ไม่ได้ขี้โกงอยากฟังเสียงมานานแล้วได้ฟังสักที ขอโทรฯ ฟังก่อนนอนทุกคืนได้ไหมครับ” ผิดยังไม่สำนึกว่าผิดอีกยังมีหน้ามาต่อรองกับฉันได้
“ไม่ต้องมาพูด ขี้โกงก็คือขี้โกง” แล้วฉันทำอะไรได้
“ขอโทษอีกครั้งครับ ทีแรกว่าจะยังไม่โทรฯ หาตอนนี้หรอก กะว่าถึงวันเดินทางก่อนค่อยโทรฯ แต่เห็นว่ามีบางคนกำลังนั่งเหงาจับจ้องโพรไฟล์ของลิปดาอยู่ก็เลยตัดสินใจโทรฯ หาเสียเลย เป็นไงหายคิดถึงลิปดาแล้วหรือยัง”
“เดาเก่งจริงนะพ่อคุณ” ฉันทำเสียงสูงประชด “ไม่ได้คิดถึงสักหน่อย ว่าแต่ไปทำงานรอบนี้กลับมาถึงวันไหนเหรอ”
“เฮ้อนึกว่าจะไม่ถามกันซะละ สุดท้ายก็ถามดีใจสุด ๆ ถึงเมื่อกี้ครับ มาถึงบ้านก็โทรฯ หาไมล์ก่อนเลย คิดถึงนะ”
ฉันเบ้ปากให้กับคำคิดถึงของคนคารมดี ถ้าเป็นคนอื่นคงจะชอบแต่กับฉันไม่ใช่
“ลิปอยู่บ้านกับใครเหรอ” ฉันก็อยากจะเจาะลึกข้อมูลส่วนตัวของเขาบ้าง อย่างน้อย ๆ ก็จะได้โล่งใจว่าไม่ได้กำลังแอบคุยกับคนของใครอยู่ อีกทั้งยอมเรียกชื่อเล่นเพื่อเพิ่มความสนิทสนมขึ้นอีกขั้นตามความต้องการของเขาด้วย ทว่าก็ไม่ยอมเรียกพี่ตามที่เขาบอกแม้จะห่างกับฉันเป็นสิบปีก็ตาม เพราะเขาเคยบอกอายุกับฉันแล้วจึงรู้ว่าเกิดก่อนฉันถึงสิปปี
“กระผมอยู่ตัวคนเดียวขอรับ เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่อยู่สเปนขอรับ นาน ๆ ท่านทั้งสองจะกลับมาบ้านที่เมืองไทยที ตอนนี้กระผมอยู่บ้านคนเดียว”
“เหงาแย่เลยสิ” ฉันถาม อีกทั้งกำลังจับพิรุธจากน้ำเสียงของเขาอยู่
“ไม่เหงาหรอกถ้าได้คุยกับไมล์ทุกวัน ใกล้จะได้เจอกันแล้วนะเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนดีใจไหม” น้ำเสียงของลิปดาดูตื่นเต้นซึ่งไม่ต่างไปจากฉันสักเท่าไหร่ มีบางเรื่องที่นึกขึ้นได้พอดีตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามเขาเลย
“ลิปเราขอถามอะไรหน่อยสิ ลิปอายุมากกว่าเราตั้งสิบปีขนาดนี้ ลิปยังไม่มีแฟนเลยเหรอ” ฉันถามแต่ทว่าทำไมหัวใจของฉันต้องไหวหวั่นด้วย
“อย่าใช้คำว่าเราสิ แทนตัวเองว่าไมล์ดีกว่านะ น่ารักกว่าเยอะ” เขาเสนอ ฉันเงียบเพราะว่าแทนตัวเองอย่างนั้นมันดูเหมือนคนเป็นแฟนกันแล้วชอบกล
“ไมล์ครับ...” ลิปดาเรียกอีกเมื่อฉันเงียบไป
“โอเค ๆ ไมล์ก็ไมล์” สุดท้ายก็ยอมอีกจนได้ รู้สึกว่าตัวเองมีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบอย่างไรไม่รู้
“เคยมีแฟนครับแต่เลิกไปนานแล้ว เขาบอกว่าตำรวจเงินน้อยเขาขอไปคบกับนักธุรกิจดีกว่า”
“เหรอ...” ฉันลากเสียงยาว ๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แล้วตัวลิปก็ยอมปล่อยไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอทั้งที่ยังรัก”
“ยอมสิครับ เรารั้งหัวใจเขาไว้ไม่ได้หรอกถ้าเขาไม่อยากอยู่กับเราแล้ว กาลเวลาที่ยาวนานไม่ได้ช่วยให้คนจริงใจกับอีกคนหรอกนะถ้าหัวใจของเขาไม่หนักแน่นพอ เอาเป็นว่าวันที่เรานัดเจอกันลิปจะเล่าส่วนที่เหลือให้ฟัง”
“โอเค วันนี้เหนื่อยไหมอยากพักผ่อนก่อนไหมล่ะ” เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาบอกว่าเพิ่งกลับมาจากทำงาน
“ไล่เหรอ...”
“เปล่า” ฉันรีบปฏิเสธ ทำไมนะเขาถึงแปลความห่วงใยของฉันผิดเพี้ยนอยู่เรื่อย
“ขอเวลาอีกสักแป๊บนะ เดี๋ยวจะไปอาบน้ำเข้านอนแล้ว รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบายแต่ว่าอยากคุยกับไมล์ก่อนเลยไม่ยอมไปกินยาอาบน้ำเข้านอน”
“นั่น...ทำไมไม่ห่วงตัวเองก่อน ลิปไปกินยาและก็อาบน้ำเถอะไมล์ก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน”
“ก็ได้ ฝันดีนะครับไมล์”
“ค่ะ เหมือนกันนะ”
....
หลังจากที่สารวัตรลิปดามีเบอร์โทรศัพท์มือถือของฉันเราสองคนก็โทรฯ คุยกันทุกคืนก่อนนอน ประหนึ่งว่าเป็นคู่รักคู่หนึ่ง แต่เราทั้งสองก็ยังไม่เคยได้ยินคำว่า ‘รัก’ ออกมาจากปากซึ่งกันและกัน
ยอมรับว่าวันไหนที่ไม่ได้คุยกับลิปดาชีวิตเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง อย่างเช่นในช่วงเวลานี้ที่เขาไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างจังหวัดอีกแล้ว ฉันไม่อยากเร่งรัดรบเร้าอะไร ทำเพียงนับวันนับคืนที่จะได้เจอกันเท่านั้น
ลิปดาขอเลื่อนเวลานัดพบกันเข้ามาใกล้กว่าเดิม ถ้าเขาปฏิบัติภารกิจกลับมาเราสองคนจะนัดเจอกัน
ฉันเดินลงบันไดมายังห้องนั่งเล่นเห็นพี่องศานั่งอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งฉันเองไม่คุ้นหน้าเลย แฟนใหม่ของพี่ชายหรือ ไม่น่าใช่เพราะเมื่อวานยังเห็นพี่พราวเดินชอปปิงด้วยกันอยู่เลย จะเลิกกันและมีใหม่ปุบปับอะไรขนาดนั้น หรือว่าพี่องศาแอบพากิ๊กมาบ้าน ไม่ได้เสียละเรื่องนี้ต้องถึงหูว่าที่พี่สะใภ้ของฉัน
“อ้าวไมล์นั่นเราจะไปไหนเหรอ” พี่องศาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเดินลงบันไดมา สาวสวยดวงตากลมสุกใสก็หันมามองตามด้วย
“ไมล์จะออกไปธุระกับพี่พราวหน่อยค่ะ พี่องศาจะเอาอะไรไหมคะ” ฉันตอบและเน้นตรงชื่อของว่าที่พี่สะใภ้ให้พี่ชายรู้ตัว แต่พี่องศากลับยังทำเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว สำหรับฉันคนที่จองตัวเป็นสะใภ้ของบ้านคือพี่พราวคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นไม่นับ แต่ก็อีกนั่นล่ะตามใจพี่ชาย ถ้าเกิดเขารักใครชอบใครก็เป็นสิทธิ์ของเขา คงไม่กล้ามีปัญหาด้วย
“น้องสาวขององศาเหรอสวยไม่เบาเลย” เธอคนนั้นถาม “แนะนำให้ปลายฟ้ารู้จักหน่อยสิ” น้ำเสียงและแววตาของผู้หญิงคนนี้ดูเป็นมิตรใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรฉันก็รู้สึกแปลก ๆ หากพี่องศาจะแนะนำว่าผู้หญิงคนนี้เป็นกิ๊กของเขา
“นี่คือไมล์น้องสาวของเรา ส่วนไมล์นี่คือปลายฟ้าแฟนของเพื่อนพี่ พอดีปลายฟ้ามาขอคำปรึกษาเรื่องเพื่อนพี่น่ะ” เป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันยิ้มพร้อมยกมือไหว้ก่อนจะขอตัว
ระหว่างที่เดินจากมาก็ได้ยินเสียงพูดของพี่องศาดังแว่วว่า ใครบางคนจำฉันไม่ได้ เขาเคยเจอฉันตอนเด็ก ๆ ชื่อบี้ป ๆ อะไรสักอย่าง ฉันเดินออกมาไกลแล้วฟังไม่ค่อยถนัด
ถ้าหากให้เดาเพื่อนของพี่ชายที่ว่าจำหน้าของฉันไม่ได้เพราะเคยเจอตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คงจะเป็นคนเดียวกันกับที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่องศาคนนั้น เขาต้องเป็นแฟนของคุณปลายฟ้าแน่ ๆ ฉันเดา
มนตร์รักออนไลน์ 4
ผ่านไปอย่างเหงา ๆ สำหรับการที่ไม่ได้คุยกับสารวัตรลิปดา เพราะส่งข้อความคุยกันทุกวันจนชินพอเขาหายไปอย่างนี้ฉันก็โดนความเหงาเล่นงานหนักเหมือนกัน ไม่ใช่คิดถึงแต่มันเป็นความเคยชินเสียมากกว่า
สองวันกับการที่ลิปดาหายไปทำงาน ยังดีที่มีแก่ใจบอกกับฉันก่อนว่าจะไปที่ไหนทำอะไร ไม่หายไปดื้อ ๆ อย่างช่วงแรกที่คุยกัน ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าความผูกพันมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีตนเองก็กำลังตั้งตารอคอยข้อความจากเขาอยู่
ในวันนี้ฉันตัดสินใจกลืนน้ำลายตัวเองที่ว่าจะไม่ยอมคุยกับคนไม่มีตัวตนอย่างเด็ดขาด ก็เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นนั่น วันที่คุณทอฝันตามมาประกาศกร้าวถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่อาวุธต่อหน้าฉันในร้านอาหาร
เรื่องราววันนั้นทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะลองคบกับสารวัตรลิปดา แม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวของเขามากไปกว่าที่เขาอยากให้รู้ก็ตาม แต่ลิปดาก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายถ้าฉันจะเปิดใจคบหาด้วย
จะว่าไปฉันก็ไม่ได้คิดจริงจังกับความสัมพันธ์นี้อยู่แล้ว เขาจะหายไปจากฉันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอนึกถึงคำมั่นสัญญาที่เราสองคนให้กันเอาไว้ว่า หากคุยกันถึงสามเดือนเมื่อไหร่เราสองคนจะนัดเจอกัน
พอนึกถึงเรื่องนี้หัวใจก็หวั่นไหว ฉันจะกล้าไปเจอกับเขาจริง ๆ หรือ หน้าตาของเขาเป็นเช่นไรยังนึกภาพไม่ออกเลย ตอนนี้ผ่านไปสองเดือนแล้วเหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ถึงกระนั้นก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ลิปดาจะมีหน้าตาแบบไหนนะ หล่อขี้เหร่ดำขาวสูงเตี้ยอ้วนหรือผอมกันแน่ ฉันจินตนาการไม่ออก เอาเถอะถึงเวลานั้นคงจะได้รู้เอง
ระหว่างจินตนาการถึงใบหน้าของคนในโลกออนไลน์มือก็กดเข้าไปดูโพรไฟล์ของเขา แม้รู้ว่าจะไม่พบข้อมูลอะไรก็ตามและมันก็ไม่พบอะไรจริง ๆ มีเพียงความว่างเปล่า ระหว่างที่กำลังนั่งจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอยู่นั้น โทรศัพท์ของฉันก็มีสายเรียกเข้า ดูหมายเลขที่โชว์หราบนหน้าจอไม่คุ้นเคยสักนิด ใครกันนะโทรฯ มาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ ถ้าเป็นพวกคอลเซนเตอร์ฉันจะวีนฉ่ำ ๆ เลยคอยดู
“ฮัลโหล” ฉันกล่าวทักทายหลังกดรับสาย ปลายสายเงียบ “ฮัลโหล ๆๆๆ ถ้าไม่พูดขอวางสายนะ” พูดจบแล้วจึงกดวางสายด้วยอารมณ์คุกรุ่น ตอนนี้ยิ่งหงุดหงิดผสมกับความเหงาอยู่ด้วย ยิ่งมีคนมากวนประสาทอีก อย่าให้รู้ว่าเป็นใครโทรฯ มาแกล้งฉันนึกอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วก็มีเบอร์เดิมโทรฯ เข้ามาอีก
ฉันถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งวางลงขึ้นมากดรับสาย ตั้งใจจะด่าแต่ยังไม่ทันได้พูดคนในสายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนราวกับรู้ว่าฉันจะด่าอย่างไรอย่างนั้น
“ไมล์ผมเองครับลิปดา” คนในสายรีบบอก ฉันทำตาโตทั้งอึ้งทั้งสงสัยและทั้งดีใจที่เป็นเขา “เสียงของคุณน่ารักดีนะน่ารักเหมือนหน้าตาจริง ๆ” เขาพูดต่อ ฉันเองก็ยอมรับว่าน้ำเสียงของเขานุ่มละมุนน่าฟังเช่นกัน
“คุณลิปดา เอ่อสารวัตรลิปดาคุณมีเบอร์โทรฯ ของฉันได้ยังไงคะ” ฉันถามด้วยความงุนงง
“ไมล์เรียกผมว่าลิปเฉย ๆ เถอะ หรือถ้าอยากสนิทกันมากกว่านี้ก็ให้เรียกผมว่าพี่ลิปก็ได้ ไมล์อายุน้อยกว่าผม” คนในสายตอบไม่ตรงตำถาม ฉันตั้งสติควบคุมอาการตื่นเต้นเอาไว้อีกอย่างต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
“ฉันจะไม่เรียกอะไรทั้งนั้นถ้าคุณยังไม่ยอมบอกความจริงกับฉันมาว่า คุณได้เบอร์โทรฯ ของฉันมาได้ยังไง” ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบให้เขารู้ว่าฉันกำลังจริงจัง
“ผมขอโทษที่ผมต้อง....” เขาอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดต่อ
“สืบอย่างนั้นเหรอ คุณลิปดาคุณทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง คุณมาสืบเรื่องของฉันทำไมคะ นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉันนะ” รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของลิปดาจริง ๆ ที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉันถึงขนาดนี้ แต่ทำไมนะถึงได้โกรธเขาไม่ลง “ใช่สิคุณเป็นตำรวจหนิ เป็นถึงสารวัตรด้วย เรื่องไหนที่คุณอยากรู้ก็แค่กระดิกนิ้วสั่งลูกน้องก็ได้ละ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับไมล์ ผมไม่ได้ตั้งใจจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณก่อนได้รับอนุญาต แต่เพราะผม...ผมอยากได้ยินเสียงของคุณก่อนไปทำงาน ผมก็เลย...” สารวัตรลิปดารีบอธิบาย แปลกที่ฉันเชื่อในคำพูดของเขา
“สืบ...ก็เลยแอบสืบข้อมูลส่วนตัวของฉัน” ฉันพูดต่อให้ “แล้วที่บอกว่าเสียงของฉันน่ารักเหมือนหน้าตาล่ะ อย่าบอกนะว่าคุณแอบตามสืบฉันมาหมดแล้ว คุณเคยเจอฉันมาก่อนแล้วใช่ไหม จริง ๆ แล้วคุณอาจจะทำมาก่อนหน้าที่จะขออนุญาตฉันอีก ที่เอ่ยขอก็แค่ขอพอเป็นพิธีใช่ไหมคุณลิปดา มันจะมากเกินไปแล้วนะคะ!”
คราวนี้ฉันไม่ยอมแน่ เขาจะทำมากเกินไปแล้วที่สะกดรอยตามฉันในขณะที่ฉันไม่เคยรู้จักเขาเลย
“ไม่ใช่ ๆ ใจเย็นก่อนไมล์ ผมไม่ได้แอบสะกดรอยตามคุณเลยนะ ผมยอมรับว่าได้รูปถ่ายที่เป็นปัจจุบันของคุณมา และก็ใช่อีกแหละที่ว่าผมได้เบอร์โทรฯ ของคุณมาก่อนที่จะเอ่ยขอ แล้วก็แค่รอให้คุณอนุญาตก่อน แต่คุณก็ไม่เคยให้เบอร์โทรฯ ผมสักที วันนี้ผมตัดสินใจโทรฯ มาแม้รู้ว่าคุณอาจจะโกรธมาก ๆ จนเลิกคุยกับผมไปเลยก็ได้ แต่ผมก็ต้องโทรฯ เพราะผมอยากได้ยินเสียงของคุณก่อนไปทำงานที่เสี่ยงอันตราย ผมกลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงของคุณอีกก็เท่านั้น”
ลิปดาพูดเสียงแผ่ว จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน มีอะไรในตัวของเขาให้เชื่อได้บ้าง ถึงอย่างนั้นความห่วงใยก็เกิดขึ้นในอกของฉันจนล้น ห่วงว่าเขาจะเป็นอันตรายไม่ชอบเลยที่เขาพูดมาอย่างนั้น ‘กลัวจะไม่ได้ยินเสียงอีก’ ลิปดาต้องกลับมาต้องปลอดภัยเท่านั้น
“แล้วคุณจะไปที่ไหนคะ” ฉันถาม ไม่อยากให้เขาไปแต่คงไม่มีสิทธิ์ห้ามเพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำได้แค่แอบห่วง
“ไปจับคนร้ายครับ ถึงเวลาที่ลูกพี่อย่างผมต้องออกโรงเอง ให้ลูกน้องจัดการเสียเวลามามากแล้ว” เขาบอก
“อันตรายไหมคะ”
“ของอย่างนี้แน่นอนอยู่แล้วครับพลาดคือตายสถานเดียว ผมถึงอดใจรอให้ไมล์อนุญาตไม่ไหวไง ผมก็เลยโทรฯ หาไมล์ในวันนี้”
“ตามจับใครบอกได้ไหม” ฉันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“รออ่านในโซเชียลนะครับรับรองดังกระหึ่มแน่ แต่ก็ไม่รู้นะว่าคนที่โดนพลาดหัวข่าวจะเป็นราชายาเสพติดหรือผม”
“คุณลิปดา” เรียกชื่อของเขาเบา ๆ ไม่อยากให้เขาไปเลยแต่ทำอะไรไม่ได้
“ห่วงไหม”
“ห่วงก็ห่วงอยู่หรอกแต่โกรธด้วยที่ล้ำเส้นกัน ที่แอบใช้หน้าที่การงานของตนเองมาแอบสืบเรื่องส่วนตัวของไมล์”
“ขอโทษครับ ศาลที่รัก เอ้ย! ที่เคารพยกโทษให้จำเลยได้ไหม ที่ทำไปเพราะมีเหตุผลล้วน ๆ” ลิปดาทำเสียงเว้าวอนได้น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ฉันแทบนึกภาพใบหน้าของเขาขณะพูดในตอนนี้ออกเลยว่าทำหน้าตาแบบไหน
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยคนขี้โกง” สุดท้ายก็ใจอ่อนโกรธไม่ลง ก็จริงนี่ฉันไม่เคยรู้จักตัวตนของเขาเลย แต่นี่เขารู้ทั้งเบอร์โทรศัพท์มีทั้งรูปถ่ายปัจจุบันของฉันอีก
“ไม่ได้ขี้โกงอยากฟังเสียงมานานแล้วได้ฟังสักที ขอโทรฯ ฟังก่อนนอนทุกคืนได้ไหมครับ” ผิดยังไม่สำนึกว่าผิดอีกยังมีหน้ามาต่อรองกับฉันได้
“ไม่ต้องมาพูด ขี้โกงก็คือขี้โกง” แล้วฉันทำอะไรได้
“ขอโทษอีกครั้งครับ ทีแรกว่าจะยังไม่โทรฯ หาตอนนี้หรอก กะว่าถึงวันเดินทางก่อนค่อยโทรฯ แต่เห็นว่ามีบางคนกำลังนั่งเหงาจับจ้องโพรไฟล์ของลิปดาอยู่ก็เลยตัดสินใจโทรฯ หาเสียเลย เป็นไงหายคิดถึงลิปดาแล้วหรือยัง”
“เดาเก่งจริงนะพ่อคุณ” ฉันทำเสียงสูงประชด “ไม่ได้คิดถึงสักหน่อย ว่าแต่ไปทำงานรอบนี้กลับมาถึงวันไหนเหรอ”
“เฮ้อนึกว่าจะไม่ถามกันซะละ สุดท้ายก็ถามดีใจสุด ๆ ถึงเมื่อกี้ครับ มาถึงบ้านก็โทรฯ หาไมล์ก่อนเลย คิดถึงนะ”
ฉันเบ้ปากให้กับคำคิดถึงของคนคารมดี ถ้าเป็นคนอื่นคงจะชอบแต่กับฉันไม่ใช่
“ลิปอยู่บ้านกับใครเหรอ” ฉันก็อยากจะเจาะลึกข้อมูลส่วนตัวของเขาบ้าง อย่างน้อย ๆ ก็จะได้โล่งใจว่าไม่ได้กำลังแอบคุยกับคนของใครอยู่ อีกทั้งยอมเรียกชื่อเล่นเพื่อเพิ่มความสนิทสนมขึ้นอีกขั้นตามความต้องการของเขาด้วย ทว่าก็ไม่ยอมเรียกพี่ตามที่เขาบอกแม้จะห่างกับฉันเป็นสิบปีก็ตาม เพราะเขาเคยบอกอายุกับฉันแล้วจึงรู้ว่าเกิดก่อนฉันถึงสิปปี
“กระผมอยู่ตัวคนเดียวขอรับ เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่อยู่สเปนขอรับ นาน ๆ ท่านทั้งสองจะกลับมาบ้านที่เมืองไทยที ตอนนี้กระผมอยู่บ้านคนเดียว”
“เหงาแย่เลยสิ” ฉันถาม อีกทั้งกำลังจับพิรุธจากน้ำเสียงของเขาอยู่
“ไม่เหงาหรอกถ้าได้คุยกับไมล์ทุกวัน ใกล้จะได้เจอกันแล้วนะเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนดีใจไหม” น้ำเสียงของลิปดาดูตื่นเต้นซึ่งไม่ต่างไปจากฉันสักเท่าไหร่ มีบางเรื่องที่นึกขึ้นได้พอดีตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามเขาเลย
“ลิปเราขอถามอะไรหน่อยสิ ลิปอายุมากกว่าเราตั้งสิบปีขนาดนี้ ลิปยังไม่มีแฟนเลยเหรอ” ฉันถามแต่ทว่าทำไมหัวใจของฉันต้องไหวหวั่นด้วย
“อย่าใช้คำว่าเราสิ แทนตัวเองว่าไมล์ดีกว่านะ น่ารักกว่าเยอะ” เขาเสนอ ฉันเงียบเพราะว่าแทนตัวเองอย่างนั้นมันดูเหมือนคนเป็นแฟนกันแล้วชอบกล
“ไมล์ครับ...” ลิปดาเรียกอีกเมื่อฉันเงียบไป
“โอเค ๆ ไมล์ก็ไมล์” สุดท้ายก็ยอมอีกจนได้ รู้สึกว่าตัวเองมีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบอย่างไรไม่รู้
“เคยมีแฟนครับแต่เลิกไปนานแล้ว เขาบอกว่าตำรวจเงินน้อยเขาขอไปคบกับนักธุรกิจดีกว่า”
“เหรอ...” ฉันลากเสียงยาว ๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แล้วตัวลิปก็ยอมปล่อยไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอทั้งที่ยังรัก”
“ยอมสิครับ เรารั้งหัวใจเขาไว้ไม่ได้หรอกถ้าเขาไม่อยากอยู่กับเราแล้ว กาลเวลาที่ยาวนานไม่ได้ช่วยให้คนจริงใจกับอีกคนหรอกนะถ้าหัวใจของเขาไม่หนักแน่นพอ เอาเป็นว่าวันที่เรานัดเจอกันลิปจะเล่าส่วนที่เหลือให้ฟัง”
“โอเค วันนี้เหนื่อยไหมอยากพักผ่อนก่อนไหมล่ะ” เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาบอกว่าเพิ่งกลับมาจากทำงาน
“ไล่เหรอ...”
“เปล่า” ฉันรีบปฏิเสธ ทำไมนะเขาถึงแปลความห่วงใยของฉันผิดเพี้ยนอยู่เรื่อย
“ขอเวลาอีกสักแป๊บนะ เดี๋ยวจะไปอาบน้ำเข้านอนแล้ว รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบายแต่ว่าอยากคุยกับไมล์ก่อนเลยไม่ยอมไปกินยาอาบน้ำเข้านอน”
“นั่น...ทำไมไม่ห่วงตัวเองก่อน ลิปไปกินยาและก็อาบน้ำเถอะไมล์ก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน”
“ก็ได้ ฝันดีนะครับไมล์”
“ค่ะ เหมือนกันนะ”
....
หลังจากที่สารวัตรลิปดามีเบอร์โทรศัพท์มือถือของฉันเราสองคนก็โทรฯ คุยกันทุกคืนก่อนนอน ประหนึ่งว่าเป็นคู่รักคู่หนึ่ง แต่เราทั้งสองก็ยังไม่เคยได้ยินคำว่า ‘รัก’ ออกมาจากปากซึ่งกันและกัน
ยอมรับว่าวันไหนที่ไม่ได้คุยกับลิปดาชีวิตเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง อย่างเช่นในช่วงเวลานี้ที่เขาไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างจังหวัดอีกแล้ว ฉันไม่อยากเร่งรัดรบเร้าอะไร ทำเพียงนับวันนับคืนที่จะได้เจอกันเท่านั้น
ลิปดาขอเลื่อนเวลานัดพบกันเข้ามาใกล้กว่าเดิม ถ้าเขาปฏิบัติภารกิจกลับมาเราสองคนจะนัดเจอกัน
ฉันเดินลงบันไดมายังห้องนั่งเล่นเห็นพี่องศานั่งอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งฉันเองไม่คุ้นหน้าเลย แฟนใหม่ของพี่ชายหรือ ไม่น่าใช่เพราะเมื่อวานยังเห็นพี่พราวเดินชอปปิงด้วยกันอยู่เลย จะเลิกกันและมีใหม่ปุบปับอะไรขนาดนั้น หรือว่าพี่องศาแอบพากิ๊กมาบ้าน ไม่ได้เสียละเรื่องนี้ต้องถึงหูว่าที่พี่สะใภ้ของฉัน
“อ้าวไมล์นั่นเราจะไปไหนเหรอ” พี่องศาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเดินลงบันไดมา สาวสวยดวงตากลมสุกใสก็หันมามองตามด้วย
“ไมล์จะออกไปธุระกับพี่พราวหน่อยค่ะ พี่องศาจะเอาอะไรไหมคะ” ฉันตอบและเน้นตรงชื่อของว่าที่พี่สะใภ้ให้พี่ชายรู้ตัว แต่พี่องศากลับยังทำเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว สำหรับฉันคนที่จองตัวเป็นสะใภ้ของบ้านคือพี่พราวคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นไม่นับ แต่ก็อีกนั่นล่ะตามใจพี่ชาย ถ้าเกิดเขารักใครชอบใครก็เป็นสิทธิ์ของเขา คงไม่กล้ามีปัญหาด้วย
“น้องสาวขององศาเหรอสวยไม่เบาเลย” เธอคนนั้นถาม “แนะนำให้ปลายฟ้ารู้จักหน่อยสิ” น้ำเสียงและแววตาของผู้หญิงคนนี้ดูเป็นมิตรใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรฉันก็รู้สึกแปลก ๆ หากพี่องศาจะแนะนำว่าผู้หญิงคนนี้เป็นกิ๊กของเขา
“นี่คือไมล์น้องสาวของเรา ส่วนไมล์นี่คือปลายฟ้าแฟนของเพื่อนพี่ พอดีปลายฟ้ามาขอคำปรึกษาเรื่องเพื่อนพี่น่ะ” เป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันยิ้มพร้อมยกมือไหว้ก่อนจะขอตัว
ระหว่างที่เดินจากมาก็ได้ยินเสียงพูดของพี่องศาดังแว่วว่า ใครบางคนจำฉันไม่ได้ เขาเคยเจอฉันตอนเด็ก ๆ ชื่อบี้ป ๆ อะไรสักอย่าง ฉันเดินออกมาไกลแล้วฟังไม่ค่อยถนัด
ถ้าหากให้เดาเพื่อนของพี่ชายที่ว่าจำหน้าของฉันไม่ได้เพราะเคยเจอตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คงจะเป็นคนเดียวกันกับที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่องศาคนนั้น เขาต้องเป็นแฟนของคุณปลายฟ้าแน่ ๆ ฉันเดา