มนตร์รักออนไลน์ 5

กระทู้สนทนา



และแล้วเวลาก็เดินทางมาถึงวันที่ฉันแอบรอคอยเสียที วันพรุ่งนี้เราสองคนจะไปเจอกันตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้หลังจากที่คุยกันครบสามเดือน อีกหนึ่งเรื่องที่รู้สึกดีคือฉันเห็นข่าวหน้าหนึ่งในโซเชียล เป็นข่าวการจับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายหนึ่งที่ภาคเหนือ

คนที่โดนพาดหัวข่าวคือคนร้ายไม่ใช่เขา มีรูปของคนร้ายและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมฉันไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นมีลิปดาอยู่ด้วยหรือเปล่า

นึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก อีกความรู้สึกมันอดที่จะนึกถึงพ่อมานพไม่ได้ ทำไมหนอคุณพ่อของฉันถึงได้เลือกเดินเส้นทางนั้นต่างกับพ่อวินัยลิบลับ ฉันยิ้มให้กับทางเลือกของพ่อตัวเอง ท่านคงตัดสินใจและคิดดีกับเส้นทางที่เลือกแล้ว ก่อนจะสลัดความคิดมากนั้นออกจากหัวไปแล้วกลับมาตื่นเต้นกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง

เป็นการนัดเจอกันที่ย่นระยะเวลาใกล้เข้ามาเร็วกว่าเดิม สาเหตุก็เพราะว่าเขาไปปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงตายรอดกลับมา ฉันที่ได้รับปากเอาไว้แล้วจึงต้องทำตาม อีกอย่างลิปดาบอกว่านัดเจอกันในวันพรุ่งนี้แล้ว เขาก็จะต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศอีกหลายวัน จึงไม่อยากให้รอนานจึงย่นระยะเวลาเข้ามา มันเป็นผลดีกับฉันมากเพราะอยากรู้จักเขาใจแทบขาด

“ดีใจจังครับจะได้เจอกันสักที ฟังเสียงแล้วอยากเจอหน้าสุด ๆ” เขาบอก ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่ม เป็นช่วงเวลาที่เขามักจะโทรฯ หาฉันทุกคืน

“เชอะไม่ต้องมาพูด ไม่ใช่ว่าแอบมาดักเจอแล้วเหรอ ลิปดาคุณแอบมาดักเจอไมล์ก่อนแล้วใช่ไหม” ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่เคยเลยครับ จริง ๆ กระผมสารวัตรลิปดาสาบานด้วยเกียรติของตำรวจว่าไม่เคยไปดักเจอไมล์เลยครับ มีแต่ไปเจอซึ่ง ๆ หน้า” ตามด้วยเสียงหัวเราะพอใจ

“ไมล์ไม่ตลกนะ” ฉันทำเสียงดุ

“ล้อเล่นครับจะไปเจอไมล์ได้ยังไงล่ะ แต่ยอมรับว่าแอบขโมยรูปและเบอร์โทรศัพท์มา แหะ ๆ” ได้ฟังฉันค่อยคลายกังวลลงหน่อย แม้จะยังไม่ชอบใจที่เขาแอบสืบข้อมูลบางส่วนของฉันไปอยู่ในทีก็ตาม “ดีใจไหมพรุ่งนี้จะได้เจอกันแล้ว”

“ดีใจ...ไมล์จะได้สบายใจสักทีว่าไม่ได้คุยกับคนไม่มีตัวตน” ฉันพูดจากความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเอง จะได้เลิกกลืนน้ำลายตัวเองเสียที เรื่องที่ฉันคุยกับคนบนโลกออนไลน์เพื่อน ๆ ก็ยังไม่มีใครรู้ เมื่อเราได้เจอกันแล้วฉันค่อยสบายใจในการบอกกล่าวเรื่องเพื่อนคุยกับทุกคนหน่อย

“ถ้าลิปดาไม่หล่อล่ะ” เขาถามเหมือนหยั่งเชิง

“ได้...คุยได้เสมอแหละ” ฉันตอบแบบไม่ยี่หระ

“แค่คุยได้เหรอรักไม่ได้เลยเหรอ” น้ำเสียงดูแง่งอน

“ก็ต้องดูก่อน ตอนนี้ไมล์ยังบอกอะไรไม่ได้ แต่ไมล์ไม่ใช่พวกคบคนที่ภายนอก” ฉันตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ยอมรับว่าผูกพันกับเขาไปแล้ว หากวันใดวันหนึ่งไม่ได้คุยกันอย่างนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรนึกภาพไม่ออก

“ถ้าลิปดาไม่หล่อไม่รวย” เขาถามอีก ดูจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เสียจริง

“ลิป...ไมล์ก็ไม่มีอะไรดีเหมือนกัน อย่าเพิ่งกลัวอะไรตอนนี้เลยเนอะ เราสองคนก็ยังเป็นเราสองคน เอาไว้เจอกันแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่โปรดเชื่อใจไมล์ว่าไมล์ไม่เคยคบใครที่เปลือกนอก ไมล์คุยกับลิปแล้วมีความสุขมาก สบายใจ ถ้าขาดลิปไปไมล์คงเหงามาก ๆ” ฉันบอกไปตามตรง

“รักไม่ได้เหรอ แค่รู้สึกดีว่างั้น เฮ้อ...วาสนาหมาวัดอย่างลิปดาสิน่า” คำพูดที่ปนไปด้วยคำออดอ้อนของเขาทำไมฉันต้องรู้สึกร้อน ๆ ที่ใบหน้าด้วย

ลิปดาก็เป็นเสียอย่างนี้ เขาเป็นผู้ชายอารมณ์ดีพูดคุยสนุก เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนที่ได้คุยกับเขาต้องรู้สึกไม่ต่างไปจากฉัน มีความสุขที่ได้คุยกับเขาทุกครั้ง ช่วงแรกที่เราคุยกันผ่านข้อความฉันยังชอบที่เขาคุยสนุก พอได้โทรฯ พูดคุยกันอย่างนี้เขาก็ยิ่งพูดแต่เรื่องที่ทำให้ฉันเผลอยิ้มไปด้วยทุกทีไป

“พูดไป ไมล์ไม่ใช่นางฟ้านะ”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง” เขาตอบ

“ปากหวานเสมอต้นเสมอปลาย”

“เคยมาชิมปากของกระผมแล้วเหรอครับถึงได้รู้น่ะ ว่าแต่อยากชิมจริง ๆ ไหมล่ะ เดี๋ยวนัดเจอกันพรุ่งนี้เดี๋ยวจะให้ชิมเลย จะได้รู้ว่าปากหวานจริง ๆ หรือแค่มั่ว”

“ลิปดา...” ฉันค้อนด้วยคำพูด “ไม่มีทางเสียหรอก เชอะ!” ฉันค้อนขวับให้ มาพูดทะลึ่งอะไรแบบนี้ นับวันจะยิ่งทะลึ่งไปกันใหญ่แล้ว

“อ้าวซะงั้นคนจะให้ชิมก็ไม่ยอม แล้วมาบอกว่าเราปากหวานทั้งที่ยังไม่เคยได้ลอง นี่มันมั่วชัด ๆ” ดูเขาพูดสิ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้

“ดึกแล้วไมล์ขอนอนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

“ฝันถึงลิปดาได้หรือเปล่า เออ...ไม่เคยเจอหน้าแล้วจะฝันถึงได้ยังไง งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปไมล์ต้องฝันถึงลิปดาคนเดียวนะ”

“บ้า...ตำรวจหลงตัวเองแบบนี้ทุกคนไหมอยากรู้จริง” ฉันโยนค้อนไปอีกวง

“ไม่หรอกแค่กระผมคนเดียว ฮ่า” เขาหัวเราะร่วนทำเอาฉันเผลอหัวเราะตามไปด้วย จากจะขอวางสายแล้วไปนอนก็ไม่ได้ไปสักที ลิปดาชอบยื้อเอาไว้แบบนี้เสมอถ้าเขายังไม่อยากวางสาย “งั้นคืนนี้ให้ลิปดาฝันถึงไมล์คนเดียวไปก่อนเนอะ นอนกอดรูปทุกคืนเลยเนี่ย”

“เป็นเอามาก นี่ ๆ ลิปอย่าบอกนะว่าเอารูปไมล์ไป...เอ่อ....ไป” ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดลึกเมื่อเขาบอกว่านอนกอดรูปถ่ายของฉันทุกคืน “ไปเข้าห้องน้ำด้วย”

“จะบ้าเหรอครับไมล์....กระผมจะเอารูปไมล์เข้าห้องน้ำไปด้วยทำไมในเมื่อรูปคนสวย ๆ เซ็กซี่นมโต ๆ มีเยอะแยะ” เขาบอกตามมาด้วยเสียงหัวเราะราวกับชอบใจนัก

“เชอะ...ไม่สวยบ้างไม่นมโตบ้างก็ให้มันรู้ไป” ฉันตอบแบบไม่พอใจที่ถูกเปรียบเทียบอย่างนั้นพร้อมก้มมองดูหน้าอกของตัวเอง มันก็พอมีพอใช้ละถึงไม่ตู้ม ๆ ก็เถอะ ส่วนเขาก็หัวเราะส่งมาทางโทรศัพท์ไม่หยุดจะขำอะไรนักหนา

“ไมล์สวยครับ ว่าแต่ไมล์คัพอะไรนะ”

“ของไมล์คัพ...เอ๊ย! นี่ลิปดาจะทะลึ่งไปกันใหญ่แล้วนะ ไม่คุยด้วยแล้วพรุ่งนี้เจอกันฝันดี” ฉันพูดจบก็กดวางสายทันที ผู้ชายอะไรทะลึ่งชะมัด แต่แล้วก็มีข้อความจากเขาส่งมาบอกว่าฝันดีพรุ่งนี้เจอกัน ทำเอาความงอนของฉันมลายหายไปชั่วพริบตา

....


เช้าตรู่ฉันรีบลุกมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปเจอกับเขา สถานที่ที่เรานัดเจอกันไม่ใช่ที่ไหนเลย เป็นสถานีรถไฟฟ้าใกล้ ๆ กับบริษัทของคุณพ่อ

ฉันแต่งตัวให้ดูบ้าน ๆ ธรรมดาที่สุดโดยสวมเพียงเสื้อยืดสีชมพูอ่อน สวมกางเกงยีนตัวโปรดรองเท้าผ้าใบเท่านั้น อยากให้เขาเห็นว่าฉันไม่ได้น่ารักอย่างที่เขาวาดฝันทุกคืน

ฉันตั้งใจไปก่อนเวลานัดเพื่อไปรอเขา “ไมล์หนูจะไปไหนแต่เช้าเหรอลูก” คุณพ่อถามเมื่อเห็นว่าฉันเดินลงบันไดมายังชั้นล่างแล้วจะเดินไปยังประตูหน้าบ้าน เพราะไม่คิดจะทานมื้อเช้าอยู่แล้ว ส่วนคุณพ่อกำลังจะไปยังห้องอาหาร ท่านไล่สายตามองตั้งแต่หัวจดเท้า

ฉันยิ้มเขินคุณพ่อคงสงสัยอยู่ในที ส่วนมากฉันมักจะสวมชุดเดรสตามสไตล์สาวหวานทั่วไป ทว่าวันนี้ฉันกลับแต่งตัวทะมัดทะแมง

“ออกไปข้างนอกค่ะพอดีไมล์นัดเพื่อนไว้แต่เช้า”

“ดูสารรูปซิ แต่งตัวอะไรแบบนี้ไม่มีความเป็นผู้ดีเอาเสียเลย เชื้อไม่ทิ้งแถว” คุณนายศจีพูด เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ คุณพ่อพร้อมไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจดเท่าเหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้โต้ตอบกลับรู้สึกชินชาเสียแล้ว โดนคุณนายจิกกัดตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เมื่อตอนอายุแปดขวบ

ตอนนั้นคุณแม่ไหมของฉันเกิดอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต คุณพ่อจึงรับฉันเข้ามาอยู่ในบ้านฉัตรบดินทร์ด้วย

“ถ้าเขารู้ว่าเป็นลูกสาวบ้านนี้เสียชื่อฉันหมด”

“คุณ...” คุณพ่อปราม “จะไปธุระก็รีบไปเถอะลูก แล้วอย่ากลับค่ำนักล่ะพ่อเป็นห่วง” คุณพ่อบอกส่วนคนข้าง ๆ ยืนคอตั้งหน้าเชิด

“ชุดดี ๆ ราคาแพง ๆ มีตั้งมากมายไม่ยอมใส่ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น” คุณนายยังไม่หยุดบ่น

“คือไมล์ต้องไปทำกิจกรรมค่ะ ไมล์นัดเพื่อนสมัยเด็ก ๆ เอาไว้ก็เลยไม่ได้สวมชุดออกงานสังคมค่ะ” ฉันโกหกเพื่ออยากให้เรื่องจบ

“เพื่อนสมัยที่อยู่ในสลัมน่ะเหรอ” คุณนายศจียังต่อว่าไม่หยุด “หลังแม่ตายฉันอุตส่าห์ชุบตัวฉุดให้ขึ้นมาจากโคลนตมยังจะหวนกลับไปตรงนั้นอีก อย่างที่เขาว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ”

น้ำตาของฉันคลอหน่วย คุณนายต่อว่าฉันแรงเกินไปแล้ว แต่ไม่ว่าครั้งไหน ๆ คุณนายก็ไม่เคยปรานีสักครั้งเมื่อมีโอกาสอย่างในตอนนี้ก็เช่นกัน ฉันทำได้เพียงอดทนเพื่อตอบแทนบุญคุณคุณพ่อเท่านั้น

“ศจี...ถ้าพูดแล้วไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นก็อยู่เฉย ๆ เถอะ ยิ่งคุณดูถูกไหมดูถูกมานพดูถูกไมล์ก็เท่ากับว่าคุณดูถูกชาติตระกูลของผมด้วย ถ้าคุณรังเกียจคนที่มาจากสลัมแล้วคุณมาแต่งงานกับผมทำไม หรือเห็นว่าเพราะผมมีเงินทั้งที่ผมไม่ได้มีชาติตระกูลอะไรเลย ผมโตมาได้ทุกวันนี้เพราะข้าวก้นบาตรของหลวงตา ผมเองก็เป็นเด็กวัดเหมือนกับมานพเราโตมาด้วยกัน ตระกูลเดิมผมก็ไม่ใช่ฉัตรบดินทร์คุณลืมไปแล้วเหรอ แล้วจำไว้ว่าที่เป็นฉัตรบดินทร์มาได้ทุกวันนี้ คนที่มีบุญคุณกับคุณและผมมากที่สุดคือมานพพ่อของไมล์จำไว้” คุณพ่อคงเหลืออดเต็มทน “จะไปทำธุระก็ไปเถอะลูก อย่าใส่ใจแม่เขาเลย”

“ค่ะคุณพ่อ”

“ที่ฉันพูดก็เพราะฉันห่วงมัน ฉันเห็นว่ามันเป็นลูกสาวของฉันต่างหากล่ะ” ฉันเดินจากมาแล้วได้ยินเสียงของคุณนายพูดตามหลัง ฉันยิ้มทั้งน้ำตา ความหน่วงในใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง ขอบคุณคุณนายที่ยอมรับในตัวของฉันที่เห็นฉันเป็นลูกสาวและเป็นห่วง

“ก็หัดพูดดี ๆ กับลูกบ้างซี” เสียงของคุณพ่อปราม จากนั้นฉันก็รีบเดินมาขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไป ฉันอยากให้ตนเองไปถึงก่อนลิปดาจะได้คอยแอบซุ่มดูเขา ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นคนหน้าตาอย่างไรมาก

....


ณ สถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ ๆ กับบริษัทของคุณพ่อซึ่งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ฉันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่ฉันนัดเจอเขา ดูนาฬิกาข้อมือเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดแล้วยิ่งตื่นเต้น จินตนาการไม่ออกว่าสารวัตรลิปดาจะเป็นหน้าตาแบบไหน

เอาเข้าจริงหัวใจของฉันสั่นไหว คิดว่าถ้าเจอกันแล้วยังจะรู้สึกอย่างนี้อยู่ไหม หรืออาจจะรู้สึกมากกว่าเดิม สถานที่ที่เรานัดเจอกันคือตรงบริเวณชั้นสองของสถานีที่มายืนรอรถไฟฟ้า เพราะถ้าเราเจอกันแล้วเราจะไปทานไอศกรีมด้วยกันเขาบอกอย่างนั้น ตอนนี้ฉันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อรอดูเขา

และแล้วเวลาที่ทำให้ฉันหัวใจวาบหวามก็มาถึง เมื่อนาฬิกาคืบคลานเข้าสู่เลขที่เรานัดหมายกันเอาไว้ ฉันที่ยืนรออยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างใจจดจ่อ เห็นผู้ชายรูปร่างสมส่วนค่อนข้างสูงเดินมาหยุดยืนตรงบริเวณที่ยืนรอขบวนรถไฟฟ้า ช่วงนี้รถไฟฟ้ายังไม่วิ่งผ่านจึงสามารถมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้ถนัดตา ตราบใดที่เราสองคนยังไม่ได้พบกันจะไม่มีใครคนใดคนหนึ่งขึ้นรถไปก่อน

ชายผิวขาวเนียนคิ้วเข้มทรงผมสั้นประมาณหนึ่งคล้าย ๆ พวกตำรวจทั่วไปดูสะดุดตาหรือจะเป็นเขา การแต่งกายก็เป็นไปตามที่ลิปดาได้แจ้งเอาไว้เมื่อคืน

เมื่อวานที่ได้อ่านข่าวการจับกุมเจ้าพ่อยาเสพติด ฉันได้บันทึกรูปภาพเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเอาไว้ด้วย แต่พอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าไม่มีเขาอยู่ในนั้น

ทว่าสิ่งที่ทำให้ฉันคาดไม่ถึงคือ เขาเป็นคนคนเดียวกันกับผู้ชายที่สวมสูทเนี้ยบราคาแพงคนนั้น คนที่ฉันเจอในงานสมาคมพวกคุณหญิงคุณนายเมื่อสองเดือนก่อน ต่างกันก็แค่ทรงผมที่วันนี้ดู้สั้นกว่าวันนั้นมาก นึกโกรธที่เขาหลอกฉันมาโดยตลอดทั้งที่เขาเคยเจอกับฉันแล้ว

ลิปดาเดินวนไปวนมาอยู่สองสามรอบ จากนั้นก็มองมาทางฉันที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรฯ หาใครสักคน ซึ่งนั่นก็คือฉันเอง ก่อนที่ฉันรีบวิ่งลงบันไดไปยังชั้นล่างเพื่อกดรับสาย

“อืมว่า...ลิปมาถึงแล้วเหรอ” ฉันทำเสียงให้ปกติที่สุดเมื่อกดรับสาย

“มาถึงแล้วไมล์อยู่ไหน มาถึงหรือยัง” เขาตอบ

“ไมล์มาถึงบีทีเอสแล้วลิปรอก่อนนะไมล์กำลังไป” ฉันพูดพลางวิ่งกระหืดกระหอบมาอีกฝั่งเพื่อขึ้นไปหาเขาที่ชั้นสอง

“ครับ...ไม่ต้องวางสายนะ”

ฉันเดินถือโทรศัพท์แนบหูขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้นสอง มองหาเขาไม่นานก็เจอจากนั้นก็เดินมาหา

“ลิปดา” ฉันเอ่ยเรียกเบา ๆ ก่อนจะกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าสะพายใบเล็กกะทัดรัดที่สะพายมาด้วย

“ไมล์” เขายิ้มกว้างเห็นฟันขาวแววตาเปล่งประกายแห่งความสุขที่ได้เจอกัน แต่ฉันสิกลับมีความคุกรุ่นในหัวใจ รู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกมาโดยตลอด

แล้วที่ผ่านมาละ เขาเป็นฝ่ายรับรู้เรื่องราวชีวิตของฉันมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ

“ตัวจริงไมล์สวยน่ารักกว่าในรูปมากครับ” เขาชม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่