เช้านี้ฉันก็ยังจะขอติดรถไปทำงานกับพี่องศาเหมือนเดิมทั้งที่คุณพ่อซื้อรถคันใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากไปกับพี่ชายด้วย ไม่รู้สิแค่ไม่อยากขับรถไปเองเท่านั้น
“พี่องศารอไมล์ด้วยค่ะ” ตะโกนเรียกพร้อมวิ่งกระหืดกระหอบตาม พี่องศาหยุดเดินพร้อมหันมาทางฉัน
“อะไรเหรอไมล์” พี่ชายหยุดกึกหันหน้ามาถาม
“คือไมล์อยากจะขอติดรถไปบริษัทด้วยค่ะ” ฉันบอกความประสงค์ด้วยใบหน้าเจื่อน เนื่องจากแม้ได้รถราคาสูงลิ่วมาเป็นของขวัญวันจบการศึกษาแล้วแท้ ๆ แต่ก็ไม่ยอมขับไปเอง ยังต้องอาศัยติดรถให้พี่ชายลำบากอีก
บอกตามตรงว่าก็ตั้งแต่รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไรฉันก็เกรงใจไปหมดทุกเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินและภาระอย่างไรไม่รู้ ตอนนี้หน้าที่ที่ต้องทำคือตั้งใจทำงานในบริษัทของคุณพ่อให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน
พี่องศาส่งยิ้มละมุนแววตาแฝงความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด เวลามองสายตาอบอุ่นคู่นั้นทีไรฉันสุขใจทุกครั้ง
“รถเราก็มีนี่นาหรือไม่ชอบ พี่ซื้อคันใหม่ให้ก็ได้นะ”
“เอ่อ...คือ...งั้นไมล์ไม่รบกวนพี่องศาแล้วก็ได้ค่ะ ไมล์ไปบริษัทเองก็ได้” ฉันเข้าใจว่าพี่องศาไม่ได้หวงแต่เขาคงเห็นว่าฉันน่าจะไปเองได้แล้ว
“แนะ...น้อยใจอีกแล้ว” พี่องศาพูดพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะโอบไหล่ของฉันแล้วดันให้เดินไปขึ้นรถด้วยกัน พอเข้ามานั่งในรถก็สตาร์ทแล้วขับออกไประหว่างนั้นก็คุยกันไปด้วย
“พี่ไม่ได้หวงของกับน้องน้อยของพี่เลย แต่แค่เห็นว่าเราควรจะหัดขับรถไปทำงานเองได้แล้ว เราโตแล้วนะไมล์ เป็นผู้นำพนักงานหลายคนในบริษัทก็ควรจะดูภูมิฐานมั่นใจในตัวเอง พี่รู้ว่าไมล์เกรงใจตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องสถานะของตัวเอง แต่พี่กับคุณพ่อไม่สนใจ เพราะถึงความจริงจะเป็นอย่างไรไมล์ก็ยังเป็นน้องสาวที่พี่รักและห่วงที่สุด คุณพ่อก็เหมือนกัน ท่านคงเสียใจที่ไมล์คิดแบบนั้น อีกอย่างไมล์ไม่คิดถึงจิตใจของแม่ไหมและพ่อมานพบ้างเหรอ ไมล์คิดแปลกแยกแบบนี้ท่านคงไม่สบายใจ ไมล์เป็นน้องสาวของพี่ ไมล์เป็นลูกสาวของคุณพ่อวินัย ไมล์เป็นฉัตรบดินทร์นะจำเอาไว้” พี่องศาบอกหนักแน่น
“ไมล์...” ฉันพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว อีกอย่างที่พี่อยากให้ไมล์ขับรถมาทำงานเอง เพราะบางวันพี่ก็ต้องไปทำธุระส่วนตัวบ้าง พี่ไม่อยากให้ไมล์ต้องนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์กลับ มันอันตรายและดูไม่ดีในสายตาพนักงานของเรา อย่างวันนี้ตอนบ่ายพี่ก็ต้องออกไปหาเพื่อนไปฉลองตำแหน่งน่ะ”
พี่องศาพูดเขาหันมามองฉันแวบหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มแบบมีเลศนัย อีกทั้งสายตาคู่คมนั้นด้วยดูเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ ฉันสัมผัสได้ถึงความมีอะไรบางอย่างในรอยยิ้มของพี่ชาย ส่วนเพื่อนที่ว่าคงเป็นนายตำรวจคนนั้นแน่ วันก่อนได้ยินพี่ชายคุยโทรศัพท์ถึงเรื่องเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง
ระหว่างที่พี่องศากำลังตั้งใจมองทางข้างหน้า ฉันมองใบหน้าคมเข้มของพี่องศากลับ เพราะเขามองมาด้วยสายตาเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่นั่นละ ฉันถึงได้หันไปจ้องเขาคืน นึกในใจว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวฉันด้วยหรือเปล่า แถมยังมองมุมไหนก็คล้ายคุณพ่อไปหมด
“เพื่อน...ใครหรือคะ” ถามแม้จะพอเดาได้ว่าเป็นนายตำรวจคนนั้น
พี่องศาหัวเราะ “ไมล์จำไม่ได้หรอก ขนาดมันยังจำไมล์ไม่ได้เลย พี่เอารูปไมล์ให้มันดูมันยังนึกแล้วนึกอีกว่าใคร จนพี่ต้องเฉลยว่าเป็นไมล์”
“ใครเหรอคะ” ฉันถามอย่างตื่นเต้นพร้อมพยายามนึกถึงเพื่อนของพี่ชายที่ตนเองจำหน้าไม่ได้ สรุปก็คือไม่มี แถมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกด้วย ที่มีอยู่ก็จำหน้ากันได้ทุกคนและทุกคนก็รู้จักฉันดี สรุปแล้วเขาเป็นใครกัน ครุ่นคิดทว่าไม่ได้ใส่ใจนักจะเป็นใครก็ช่างเถอะเจอหน้ากันคงจำได้เอง
“ญาติผู้น้องของพี่น่ะ อยู่ทางฝั่งของคุณแม่พี่เอง เป็นเพื่อนสนิทของพี่ด้วย พ่อแม่เป็นนักธุรกิจไม่ยักรู้ว่าริอ่านมาเป็นตำรวจ ไปฉลองตำแหน่งท่านสารวัตรให้เขาน่ะ”
ฉันพยักหน้าเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่รู้จักเพื่อนคนนี้ของพี่องศาเลย ก็เพราะเป็นญาติของคุณนายศจีเอง ส่วนญาติฝั่งของคุณพ่อทุกคนเอ็นดูฉันเหมือนพี่องศา เพราะเข้าใจว่าเป็นสายเลือดฉัตรบดินทร์เหมือนกัน แม้จะเกิดจากเมียน้อยของคุณพ่อก็ตาม
ตอนเด็ก ๆ คุณนายศจีเกลียดฉันอย่างกับอะไรดี เวลามีญาติ ๆ ฝ่ายของเธอมาที่บ้านก็ไล่ให้ฉันไปเล่นไกล ๆ ไม่ให้มาพัวพันด้วย เวลานั้นฉันต้องได้อยู่กับแม่บ้านเสมอ ถึงอย่างนั้นก็พอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งมักจะแอบมาเล่นกับฉันเสมอ แต่ว่านึกอย่างไรก็จำใบหน้าและชื่อไม่ได้แล้ว ป่านนี้คงโตแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วละ
“อ่องั้นเดี๋ยวเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลยไมล์จะขับรถมาทำงานเองก็แล้วกัน”
“ดีมาก...ไมล์อย่าคิดมาก ทุกอย่างในฉัตรบดินทร์ไมล์มีสิทธิ์เหมือนกันกับพี่ นี่ไม่อยากจะเมาท์เลยว่าคุณพ่อรักลูกสาวมากกว่าลูกชายอย่างพี่ซะอีก” พี่องศาพูดปนหัวเราะ
“พูดไป” ฉันค้อนขวับ
“จริง” พี่องศาชวนคุยตลอดทางจนถึงบริษัทเครือฉัตรบดินทร์กรุ๊ป เหมือนเดิมเมื่อมาถึงเราก็แยกย้ายกัน พี่องศาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นผู้บริหารส่วนฉันก็มายังแผนกบัญชีของบริษัท
....
ระหว่างวันทำงานทำไมฉันถึงได้ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย มันคอยแต่จะมองว่าเมื่อไหร่บางคนจะส่งข้อความมาคุยด้วย ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่ตนเองรอคอยคนไม่มีตัวตนอย่างนี้ หัวใจกระสับกระส่ายอยู่ไม่ค่อยสุขเที่ยวมองแต่หน้าจอโทรศัพท์มือถือตลอดทั้งวัน
แม้แต่รูปสักใบของลิปดาก็ไม่เคยเห็น แล้วทำไมฉันต้องรอด้วย ลิปดาบอกพรุ่งนี้จะส่งข้อความมาคุยด้วยแต่ว่าผ่านไปครึ่งวันแล้วยังไม่เห็นวี่แววเลย นึกดูดี ๆ เขาเป็นตำรวจนี่เป็นถึงขั้นสารวัตรเลยเชียว ใครจะมีเวลาว่างมาคุยกับสาว ๆ ได้ทั้งวันทุกวันขนาดนั้น
พอนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นสารวัตรก็ทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ ‘สารวัตรลิปดา’ แล้วลิปดานามสกุลอะไร ก่อนจะถอนหายใจออกมาให้กับความโง่ของตนเอง ทำไมถึงไม่รอบคอบขนาดนี้
ฉันเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นเลยที่คุยกับใครก็ไม่รู้ ถ้าเพื่อน ๆ รู้ว่าฉันกำลังคิดถึงคนในโลกออนไลน์ล่ะก็ ต้องโดนด่าแน่ เพราะเคยบอกกับเพื่อน ๆ เอาไว้ว่า หากฉันจะมีแฟนสักคนต้องเป็นคนที่มีตัวตน สามารถเจอกันได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ แต่นี่....มันเหมือนว่ากำลังกลืนน้ำลายที่ตัวเองถ่มลงพื้นไปแล้วชัด ๆ
‘สารวัตร ลิปดา....’
ฉันพิมพ์ตำแหน่งและชื่อของเขาค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็ไม่เจอ สุดท้ายก็ยอมแพ้ไปล้มเลิกการค้นหาตัวตนของเขา คืนนี้รอดูว่าลิปดาจะส่งข้อความมาไหม เขาสัญญากับฉันแล้วเมื่อคืนว่าวันนี้จะทักมาคุยด้วยเหมือนอย่างเคย
ถึงจะไม่ส่งข้อความมาหรือหายไปเลยก็คงไม่เป็นอะไรมาก แค่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปบนโลกออนไลน์เท่านั้นละ
ไม่อยากนึกถึงใครอีกแล้ว ฉันรีบเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จก่อนบ่ายสามโมง เนื่องจากว่าวันนี้ต้องกลับบ้านเอง ระหว่างที่กำลังยุ่ง ๆ อยู่โทรศัพท์มือถือของฉันก็มีคนโทรฯ เข้าแต่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะมัวแต่ดูรายการบัญชีของบริษัทอยู่ ตอนนี้เรื่องอะไรก็ตามถ้าไม่สำคัญเอาไว้ทีหลัง เพราะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของบริษัทต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด
เมื่อเคลียร์งานเสร็จแล้วฉันหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูว่าเป็นใครโทรฯ มา เห็นเบอร์ที่ไม่ได้รับโชว์เป็นหมายเลขสิบหลัก เป็นเบอร์ของใครกัน หรือจะเป็นพวกโทรฯ มาขายประกันหรือพวกคอลเซนเตอร์ หรือถ้าหากไม่ใช่ทั้งสองอย่างมีธุระจริง ๆ ก็โทรฯ มาใหม่แล้วกัน ฉันนึกอย่างคนหยิ่งก่อนจะเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
ระหว่างที่เดินมารอเรียกแท็กซี่ที่หน้าบริษัทรถยุโรปสีดำคันคุ้นตาก็วิ่งเข้ามาจอดตรงหน้า คนในรถเปิดประตูลงมาเป็นพี่อาวุธเอง ฉันหันหลังจะเดินกลับเข้าไปในบริษัททว่าก็โดนมือแข็งแรงของเขารั้งแขนเอาไว้ก่อน
“ไมล์อย่าหลบหน้าพี่เลยนะ ไมล์จะกลับบ้านเหรอขอให้พี่ไปส่งได้ไหม” พี่อาวุธกล่าวขอร้องด้วยแววตาเว้าวอน
“ไม่สมควรค่ะ ถ้าคุณแม่รู้คุณแม่ต้องเล่นงานไมล์แน่ ๆ” ฉันไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิดหวังว่าพี่อาวุธจะเข้าใจ
“พี่เข้าใจแต่พี่อยากคุยกับไมล์ อยากปรับความเข้าใจกัน” เขายังไม่ละความพยายามที่จะอยากคืนดีด้วย
สำหรับฉันถ้าจะให้เป็นพี่น้องเป็นคนรู้จักกันก็ยินดี แต่ถ้าให้กลับไปรักเหมือนเมื่อก่อนคงทำไม่ได้เพราะว่า...
พอนึกหาเหตุผลว่าทำไมห้องแช็ตและโพรไฟล์ของลิปดาก็ผุดเข้ามาในหัว ไม่สิ! ที่ฉันไม่ยอมกลับไปคืนดีกับพี่อาวุธต้องเป็นเพราะเขากำลังจะมีลูกกับภรรยาของเขาต่างหาก
“เอ่อนี่ไมล์หิวไหมเราไปหาอะไรนั่งทานและคุยกันดีกว่า พี่มีหลายเรื่องที่อยากปรับความเข้าใจกับไมล์นะ”
ก็ดีเหมือนกันฉันก็ต้องการที่จะคุยทุกอย่างให้พี่อาวุธเข้าใจเหมือนกันว่า เรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ฉันไม่ได้รักเขาแล้ว
“ค่ะ...”
“งั้นเชิญขึ้นรถเลยครับ เอาแบบนี้ไหมไปร้านอาหารที่ไมล์ชอบดีกว่าเนอะ” เขาพูดเอาใจก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่งพร้อมเอื้อมมือมาหยิบเข็มขัดนิรภัยคาดให้ด้วย จากนั้นก็ปิดประตูให้แล้วเขาก็เดินไปขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วขับออกไป ระหว่างทางฉันนั่งเงียบมาโดยตลอดเพราะไม่มีอะไรจะคุยด้วย
“เมื่อเช้าไมล์มาทำงานยังไงเหรอ ทำไมตอนกลับถึงต้องมาเรียกแท็กซี่กลับเอง” พี่อาวุธถามเพื่อทำลายความเงียบ
“ไมล์ขอติดรถมากับพี่องศาค่ะ พอดีช่วงบ่ายพี่องศาติดธุระไมล์เลยต้องกลับเอง”
“อ่อ แล้วไมล์ไม่คิดอยากจะมีรถไว้ใช้สักคนเหรอครับ พี่ว่ามันก็ดีนะสะดวกเราด้วย” เขาชวนคุยไม่หยุด
“ที่จริงคุณพ่อก็ซื้อให้ไมล์แล้วแหละค่ะ แต่ไมล์ไม่อยากขับมาเอง อยากติดรถพี่องศามาทำงานด้วย”
“ยังไงเย็นนี้พี่ขอไปส่งไมล์ที่บ้านได้ไหมล่ะ คุณป้าศจีไม่ว่าหรอกถึงว่าพี่ก็จะปกป้องไมล์เอง” ฉันเงียบไม่ยอมพูดอะไรอีก เขาจะปกป้องฉันอย่างนั้นหรือไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
พี่อาวุธหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามาจอดยังที่จอดรถของร้านอาหารชื่อดังย่านใจกลางเมือง เมื่อก่อนมันเคยเป็นร้านประจำของฉันกับเขา ทุก ๆ ครั้งเราสองคนมักจะมาทานอาหารด้วยกันที่นี่เป็นประจำ แต่ต่อไปมันคงไม่เป็นที่พึงประสงค์ของฉันอีกแล้ว
เราสองคนเดินเข้ามาภายในร้าน พี่อาวุธเลือกมุมเดิมโต๊ะเดิมที่เราสองคนชอบมานั่งราวกับว่าอยากรำลึกความหลัง แต่ฉันไม่ดื่มด่ำไปด้วยสักนิด กลับรู้สึกเกรงใจคนที่บ้านของเขามากกว่า
ระหว่างนั้นมีพนักงานเดินมารับเมนูอาหาร พี่อาวุธปรนนิบัติกับฉันอย่างเคย จัดการสั่งอาหารให้ เขายังจำเมนูที่ฉันชอบทานประจำได้ มันจะรู้สึกดีมาก ๆ ถ้าเรื่องของเราสองคนมันไม่จบลงกลางคันเสียก่อน
“ไมล์พี่สั่งให้เหมือนเดิมนะครับ” เขาถามอย่างเอาอกเอาใจ
ฉันยิ้มมุมปากก่อนจะบอกว่าเหมือนเดิมนั่นละ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟเราก็คุยกันไปเรื่อย วันนี้ฉันตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะตัดขาดกับเขาอย่างจริงจัง จะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกันเสียที
“ไมล์คงจะลำบากใจที่มานั่งทานอาหารกับพี่แบบนี้” พี่อาวุธถามเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังอึดอัด “พี่ขอโทษไมล์นะคือพี่...พี่คิดถึงไมล์จริง ๆ”
“พี่วุฒิคะเมื่อก่อนไมล์ยอมรับนะว่าทำใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ มันกะทันหันและไมล์ก็เสียใจมาก แต่พอเวลามันผ่านไปเรื่อย ๆ มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตของไมล์ มันก็ทำให้ไมล์ลืมเรื่องของเราได้” ฉันบอกกับเขา ที่จริงก็ยังทำใจไม่ได้ถึงขนาดนั้นก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
“ไมล์รู้ว่าพี่วุฒิรู้สึกยังไง แต่มันจะไม่ดีกว่าหรือคะหากพี่วุฒิทำใจยอมรับมัน ทำหน้าที่พ่อที่ดีแม้อาจจะไม่ได้เป็นสามีที่ดี อืม...ที่พี่บอกไม่ได้รักคุณทอฝันไมล์ไม่สนใจหรอก แต่เวลานี้คุณทอฝันกำลังท้องแก่ใกล้คลอดเธอต้องการกำลังใจนะคะ ยังไงไมล์ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วเพราะ...” ฉันก็ไม่อยากจะพูดแอบอ้างนักหรอกว่าฉันมีสารวัตรลิปดาเป็นเพื่อนคุยแล้ว
“ไมล์มีคนอื่นไปแล้วเหรอ” เขาถามฉันเสียงแผ่ว
“ก็ไม่เชิงค่ะไมล์คุยมาได้สักพักแล้ว เรากำลังศึกษาดูใจกันอยู่ กับคนนี้ไมล์ก็ไม่รู้ว่าเราจะไปกันได้ไกลขนาดไหน ไมล์พร้อมเมื่อไหร่แล้วไมล์จะพามาแนะนำนะคะ” ฉันบอกออกไป
“เขาเป็นใครเหรอ...ทำไมล์ถึงลืมพี่ได้เร็วนัก”
“เขาคือ....” ฉันอ้ำอึ้ง
“พี่วุฒิคะคุณไมล์” ระหว่างที่ฉันกำลังนึกหาคำตอบก็มีเสียงเรียกดังขึ้นทางด้านหลัง พอหันไปดูว่าเป็นใครต้องตกใจเพราะเป็นคุณทอฝันภรรยาของพี่อาวุธเอง เธอมาตามสามีทั้งที่ท้องโย้มากแล้ว น้ำตาของเธอไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างน่าสงสาร
มนตร์รักออนไลน์ 3
เช้านี้ฉันก็ยังจะขอติดรถไปทำงานกับพี่องศาเหมือนเดิมทั้งที่คุณพ่อซื้อรถคันใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากไปกับพี่ชายด้วย ไม่รู้สิแค่ไม่อยากขับรถไปเองเท่านั้น
“พี่องศารอไมล์ด้วยค่ะ” ตะโกนเรียกพร้อมวิ่งกระหืดกระหอบตาม พี่องศาหยุดเดินพร้อมหันมาทางฉัน
“อะไรเหรอไมล์” พี่ชายหยุดกึกหันหน้ามาถาม
“คือไมล์อยากจะขอติดรถไปบริษัทด้วยค่ะ” ฉันบอกความประสงค์ด้วยใบหน้าเจื่อน เนื่องจากแม้ได้รถราคาสูงลิ่วมาเป็นของขวัญวันจบการศึกษาแล้วแท้ ๆ แต่ก็ไม่ยอมขับไปเอง ยังต้องอาศัยติดรถให้พี่ชายลำบากอีก
บอกตามตรงว่าก็ตั้งแต่รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไรฉันก็เกรงใจไปหมดทุกเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินและภาระอย่างไรไม่รู้ ตอนนี้หน้าที่ที่ต้องทำคือตั้งใจทำงานในบริษัทของคุณพ่อให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน
พี่องศาส่งยิ้มละมุนแววตาแฝงความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด เวลามองสายตาอบอุ่นคู่นั้นทีไรฉันสุขใจทุกครั้ง
“รถเราก็มีนี่นาหรือไม่ชอบ พี่ซื้อคันใหม่ให้ก็ได้นะ”
“เอ่อ...คือ...งั้นไมล์ไม่รบกวนพี่องศาแล้วก็ได้ค่ะ ไมล์ไปบริษัทเองก็ได้” ฉันเข้าใจว่าพี่องศาไม่ได้หวงแต่เขาคงเห็นว่าฉันน่าจะไปเองได้แล้ว
“แนะ...น้อยใจอีกแล้ว” พี่องศาพูดพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะโอบไหล่ของฉันแล้วดันให้เดินไปขึ้นรถด้วยกัน พอเข้ามานั่งในรถก็สตาร์ทแล้วขับออกไประหว่างนั้นก็คุยกันไปด้วย
“พี่ไม่ได้หวงของกับน้องน้อยของพี่เลย แต่แค่เห็นว่าเราควรจะหัดขับรถไปทำงานเองได้แล้ว เราโตแล้วนะไมล์ เป็นผู้นำพนักงานหลายคนในบริษัทก็ควรจะดูภูมิฐานมั่นใจในตัวเอง พี่รู้ว่าไมล์เกรงใจตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องสถานะของตัวเอง แต่พี่กับคุณพ่อไม่สนใจ เพราะถึงความจริงจะเป็นอย่างไรไมล์ก็ยังเป็นน้องสาวที่พี่รักและห่วงที่สุด คุณพ่อก็เหมือนกัน ท่านคงเสียใจที่ไมล์คิดแบบนั้น อีกอย่างไมล์ไม่คิดถึงจิตใจของแม่ไหมและพ่อมานพบ้างเหรอ ไมล์คิดแปลกแยกแบบนี้ท่านคงไม่สบายใจ ไมล์เป็นน้องสาวของพี่ ไมล์เป็นลูกสาวของคุณพ่อวินัย ไมล์เป็นฉัตรบดินทร์นะจำเอาไว้” พี่องศาบอกหนักแน่น
“ไมล์...” ฉันพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว อีกอย่างที่พี่อยากให้ไมล์ขับรถมาทำงานเอง เพราะบางวันพี่ก็ต้องไปทำธุระส่วนตัวบ้าง พี่ไม่อยากให้ไมล์ต้องนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์กลับ มันอันตรายและดูไม่ดีในสายตาพนักงานของเรา อย่างวันนี้ตอนบ่ายพี่ก็ต้องออกไปหาเพื่อนไปฉลองตำแหน่งน่ะ”
พี่องศาพูดเขาหันมามองฉันแวบหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มแบบมีเลศนัย อีกทั้งสายตาคู่คมนั้นด้วยดูเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ ฉันสัมผัสได้ถึงความมีอะไรบางอย่างในรอยยิ้มของพี่ชาย ส่วนเพื่อนที่ว่าคงเป็นนายตำรวจคนนั้นแน่ วันก่อนได้ยินพี่ชายคุยโทรศัพท์ถึงเรื่องเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง
ระหว่างที่พี่องศากำลังตั้งใจมองทางข้างหน้า ฉันมองใบหน้าคมเข้มของพี่องศากลับ เพราะเขามองมาด้วยสายตาเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่นั่นละ ฉันถึงได้หันไปจ้องเขาคืน นึกในใจว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวฉันด้วยหรือเปล่า แถมยังมองมุมไหนก็คล้ายคุณพ่อไปหมด
“เพื่อน...ใครหรือคะ” ถามแม้จะพอเดาได้ว่าเป็นนายตำรวจคนนั้น
พี่องศาหัวเราะ “ไมล์จำไม่ได้หรอก ขนาดมันยังจำไมล์ไม่ได้เลย พี่เอารูปไมล์ให้มันดูมันยังนึกแล้วนึกอีกว่าใคร จนพี่ต้องเฉลยว่าเป็นไมล์”
“ใครเหรอคะ” ฉันถามอย่างตื่นเต้นพร้อมพยายามนึกถึงเพื่อนของพี่ชายที่ตนเองจำหน้าไม่ได้ สรุปก็คือไม่มี แถมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกด้วย ที่มีอยู่ก็จำหน้ากันได้ทุกคนและทุกคนก็รู้จักฉันดี สรุปแล้วเขาเป็นใครกัน ครุ่นคิดทว่าไม่ได้ใส่ใจนักจะเป็นใครก็ช่างเถอะเจอหน้ากันคงจำได้เอง
“ญาติผู้น้องของพี่น่ะ อยู่ทางฝั่งของคุณแม่พี่เอง เป็นเพื่อนสนิทของพี่ด้วย พ่อแม่เป็นนักธุรกิจไม่ยักรู้ว่าริอ่านมาเป็นตำรวจ ไปฉลองตำแหน่งท่านสารวัตรให้เขาน่ะ”
ฉันพยักหน้าเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่รู้จักเพื่อนคนนี้ของพี่องศาเลย ก็เพราะเป็นญาติของคุณนายศจีเอง ส่วนญาติฝั่งของคุณพ่อทุกคนเอ็นดูฉันเหมือนพี่องศา เพราะเข้าใจว่าเป็นสายเลือดฉัตรบดินทร์เหมือนกัน แม้จะเกิดจากเมียน้อยของคุณพ่อก็ตาม
ตอนเด็ก ๆ คุณนายศจีเกลียดฉันอย่างกับอะไรดี เวลามีญาติ ๆ ฝ่ายของเธอมาที่บ้านก็ไล่ให้ฉันไปเล่นไกล ๆ ไม่ให้มาพัวพันด้วย เวลานั้นฉันต้องได้อยู่กับแม่บ้านเสมอ ถึงอย่างนั้นก็พอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งมักจะแอบมาเล่นกับฉันเสมอ แต่ว่านึกอย่างไรก็จำใบหน้าและชื่อไม่ได้แล้ว ป่านนี้คงโตแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วละ
“อ่องั้นเดี๋ยวเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลยไมล์จะขับรถมาทำงานเองก็แล้วกัน”
“ดีมาก...ไมล์อย่าคิดมาก ทุกอย่างในฉัตรบดินทร์ไมล์มีสิทธิ์เหมือนกันกับพี่ นี่ไม่อยากจะเมาท์เลยว่าคุณพ่อรักลูกสาวมากกว่าลูกชายอย่างพี่ซะอีก” พี่องศาพูดปนหัวเราะ
“พูดไป” ฉันค้อนขวับ
“จริง” พี่องศาชวนคุยตลอดทางจนถึงบริษัทเครือฉัตรบดินทร์กรุ๊ป เหมือนเดิมเมื่อมาถึงเราก็แยกย้ายกัน พี่องศาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นผู้บริหารส่วนฉันก็มายังแผนกบัญชีของบริษัท
....
ระหว่างวันทำงานทำไมฉันถึงได้ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย มันคอยแต่จะมองว่าเมื่อไหร่บางคนจะส่งข้อความมาคุยด้วย ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่ตนเองรอคอยคนไม่มีตัวตนอย่างนี้ หัวใจกระสับกระส่ายอยู่ไม่ค่อยสุขเที่ยวมองแต่หน้าจอโทรศัพท์มือถือตลอดทั้งวัน
แม้แต่รูปสักใบของลิปดาก็ไม่เคยเห็น แล้วทำไมฉันต้องรอด้วย ลิปดาบอกพรุ่งนี้จะส่งข้อความมาคุยด้วยแต่ว่าผ่านไปครึ่งวันแล้วยังไม่เห็นวี่แววเลย นึกดูดี ๆ เขาเป็นตำรวจนี่เป็นถึงขั้นสารวัตรเลยเชียว ใครจะมีเวลาว่างมาคุยกับสาว ๆ ได้ทั้งวันทุกวันขนาดนั้น
พอนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นสารวัตรก็ทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ ‘สารวัตรลิปดา’ แล้วลิปดานามสกุลอะไร ก่อนจะถอนหายใจออกมาให้กับความโง่ของตนเอง ทำไมถึงไม่รอบคอบขนาดนี้
ฉันเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นเลยที่คุยกับใครก็ไม่รู้ ถ้าเพื่อน ๆ รู้ว่าฉันกำลังคิดถึงคนในโลกออนไลน์ล่ะก็ ต้องโดนด่าแน่ เพราะเคยบอกกับเพื่อน ๆ เอาไว้ว่า หากฉันจะมีแฟนสักคนต้องเป็นคนที่มีตัวตน สามารถเจอกันได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ แต่นี่....มันเหมือนว่ากำลังกลืนน้ำลายที่ตัวเองถ่มลงพื้นไปแล้วชัด ๆ
‘สารวัตร ลิปดา....’
ฉันพิมพ์ตำแหน่งและชื่อของเขาค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็ไม่เจอ สุดท้ายก็ยอมแพ้ไปล้มเลิกการค้นหาตัวตนของเขา คืนนี้รอดูว่าลิปดาจะส่งข้อความมาไหม เขาสัญญากับฉันแล้วเมื่อคืนว่าวันนี้จะทักมาคุยด้วยเหมือนอย่างเคย
ถึงจะไม่ส่งข้อความมาหรือหายไปเลยก็คงไม่เป็นอะไรมาก แค่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปบนโลกออนไลน์เท่านั้นละ
ไม่อยากนึกถึงใครอีกแล้ว ฉันรีบเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จก่อนบ่ายสามโมง เนื่องจากว่าวันนี้ต้องกลับบ้านเอง ระหว่างที่กำลังยุ่ง ๆ อยู่โทรศัพท์มือถือของฉันก็มีคนโทรฯ เข้าแต่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะมัวแต่ดูรายการบัญชีของบริษัทอยู่ ตอนนี้เรื่องอะไรก็ตามถ้าไม่สำคัญเอาไว้ทีหลัง เพราะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของบริษัทต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด
เมื่อเคลียร์งานเสร็จแล้วฉันหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูว่าเป็นใครโทรฯ มา เห็นเบอร์ที่ไม่ได้รับโชว์เป็นหมายเลขสิบหลัก เป็นเบอร์ของใครกัน หรือจะเป็นพวกโทรฯ มาขายประกันหรือพวกคอลเซนเตอร์ หรือถ้าหากไม่ใช่ทั้งสองอย่างมีธุระจริง ๆ ก็โทรฯ มาใหม่แล้วกัน ฉันนึกอย่างคนหยิ่งก่อนจะเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
ระหว่างที่เดินมารอเรียกแท็กซี่ที่หน้าบริษัทรถยุโรปสีดำคันคุ้นตาก็วิ่งเข้ามาจอดตรงหน้า คนในรถเปิดประตูลงมาเป็นพี่อาวุธเอง ฉันหันหลังจะเดินกลับเข้าไปในบริษัททว่าก็โดนมือแข็งแรงของเขารั้งแขนเอาไว้ก่อน
“ไมล์อย่าหลบหน้าพี่เลยนะ ไมล์จะกลับบ้านเหรอขอให้พี่ไปส่งได้ไหม” พี่อาวุธกล่าวขอร้องด้วยแววตาเว้าวอน
“ไม่สมควรค่ะ ถ้าคุณแม่รู้คุณแม่ต้องเล่นงานไมล์แน่ ๆ” ฉันไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิดหวังว่าพี่อาวุธจะเข้าใจ
“พี่เข้าใจแต่พี่อยากคุยกับไมล์ อยากปรับความเข้าใจกัน” เขายังไม่ละความพยายามที่จะอยากคืนดีด้วย
สำหรับฉันถ้าจะให้เป็นพี่น้องเป็นคนรู้จักกันก็ยินดี แต่ถ้าให้กลับไปรักเหมือนเมื่อก่อนคงทำไม่ได้เพราะว่า...
พอนึกหาเหตุผลว่าทำไมห้องแช็ตและโพรไฟล์ของลิปดาก็ผุดเข้ามาในหัว ไม่สิ! ที่ฉันไม่ยอมกลับไปคืนดีกับพี่อาวุธต้องเป็นเพราะเขากำลังจะมีลูกกับภรรยาของเขาต่างหาก
“เอ่อนี่ไมล์หิวไหมเราไปหาอะไรนั่งทานและคุยกันดีกว่า พี่มีหลายเรื่องที่อยากปรับความเข้าใจกับไมล์นะ”
ก็ดีเหมือนกันฉันก็ต้องการที่จะคุยทุกอย่างให้พี่อาวุธเข้าใจเหมือนกันว่า เรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ฉันไม่ได้รักเขาแล้ว
“ค่ะ...”
“งั้นเชิญขึ้นรถเลยครับ เอาแบบนี้ไหมไปร้านอาหารที่ไมล์ชอบดีกว่าเนอะ” เขาพูดเอาใจก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่งพร้อมเอื้อมมือมาหยิบเข็มขัดนิรภัยคาดให้ด้วย จากนั้นก็ปิดประตูให้แล้วเขาก็เดินไปขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วขับออกไป ระหว่างทางฉันนั่งเงียบมาโดยตลอดเพราะไม่มีอะไรจะคุยด้วย
“เมื่อเช้าไมล์มาทำงานยังไงเหรอ ทำไมตอนกลับถึงต้องมาเรียกแท็กซี่กลับเอง” พี่อาวุธถามเพื่อทำลายความเงียบ
“ไมล์ขอติดรถมากับพี่องศาค่ะ พอดีช่วงบ่ายพี่องศาติดธุระไมล์เลยต้องกลับเอง”
“อ่อ แล้วไมล์ไม่คิดอยากจะมีรถไว้ใช้สักคนเหรอครับ พี่ว่ามันก็ดีนะสะดวกเราด้วย” เขาชวนคุยไม่หยุด
“ที่จริงคุณพ่อก็ซื้อให้ไมล์แล้วแหละค่ะ แต่ไมล์ไม่อยากขับมาเอง อยากติดรถพี่องศามาทำงานด้วย”
“ยังไงเย็นนี้พี่ขอไปส่งไมล์ที่บ้านได้ไหมล่ะ คุณป้าศจีไม่ว่าหรอกถึงว่าพี่ก็จะปกป้องไมล์เอง” ฉันเงียบไม่ยอมพูดอะไรอีก เขาจะปกป้องฉันอย่างนั้นหรือไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
พี่อาวุธหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามาจอดยังที่จอดรถของร้านอาหารชื่อดังย่านใจกลางเมือง เมื่อก่อนมันเคยเป็นร้านประจำของฉันกับเขา ทุก ๆ ครั้งเราสองคนมักจะมาทานอาหารด้วยกันที่นี่เป็นประจำ แต่ต่อไปมันคงไม่เป็นที่พึงประสงค์ของฉันอีกแล้ว
เราสองคนเดินเข้ามาภายในร้าน พี่อาวุธเลือกมุมเดิมโต๊ะเดิมที่เราสองคนชอบมานั่งราวกับว่าอยากรำลึกความหลัง แต่ฉันไม่ดื่มด่ำไปด้วยสักนิด กลับรู้สึกเกรงใจคนที่บ้านของเขามากกว่า
ระหว่างนั้นมีพนักงานเดินมารับเมนูอาหาร พี่อาวุธปรนนิบัติกับฉันอย่างเคย จัดการสั่งอาหารให้ เขายังจำเมนูที่ฉันชอบทานประจำได้ มันจะรู้สึกดีมาก ๆ ถ้าเรื่องของเราสองคนมันไม่จบลงกลางคันเสียก่อน
“ไมล์พี่สั่งให้เหมือนเดิมนะครับ” เขาถามอย่างเอาอกเอาใจ
ฉันยิ้มมุมปากก่อนจะบอกว่าเหมือนเดิมนั่นละ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟเราก็คุยกันไปเรื่อย วันนี้ฉันตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะตัดขาดกับเขาอย่างจริงจัง จะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกันเสียที
“ไมล์คงจะลำบากใจที่มานั่งทานอาหารกับพี่แบบนี้” พี่อาวุธถามเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังอึดอัด “พี่ขอโทษไมล์นะคือพี่...พี่คิดถึงไมล์จริง ๆ”
“พี่วุฒิคะเมื่อก่อนไมล์ยอมรับนะว่าทำใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ มันกะทันหันและไมล์ก็เสียใจมาก แต่พอเวลามันผ่านไปเรื่อย ๆ มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตของไมล์ มันก็ทำให้ไมล์ลืมเรื่องของเราได้” ฉันบอกกับเขา ที่จริงก็ยังทำใจไม่ได้ถึงขนาดนั้นก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
“ไมล์รู้ว่าพี่วุฒิรู้สึกยังไง แต่มันจะไม่ดีกว่าหรือคะหากพี่วุฒิทำใจยอมรับมัน ทำหน้าที่พ่อที่ดีแม้อาจจะไม่ได้เป็นสามีที่ดี อืม...ที่พี่บอกไม่ได้รักคุณทอฝันไมล์ไม่สนใจหรอก แต่เวลานี้คุณทอฝันกำลังท้องแก่ใกล้คลอดเธอต้องการกำลังใจนะคะ ยังไงไมล์ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วเพราะ...” ฉันก็ไม่อยากจะพูดแอบอ้างนักหรอกว่าฉันมีสารวัตรลิปดาเป็นเพื่อนคุยแล้ว
“ไมล์มีคนอื่นไปแล้วเหรอ” เขาถามฉันเสียงแผ่ว
“ก็ไม่เชิงค่ะไมล์คุยมาได้สักพักแล้ว เรากำลังศึกษาดูใจกันอยู่ กับคนนี้ไมล์ก็ไม่รู้ว่าเราจะไปกันได้ไกลขนาดไหน ไมล์พร้อมเมื่อไหร่แล้วไมล์จะพามาแนะนำนะคะ” ฉันบอกออกไป
“เขาเป็นใครเหรอ...ทำไมล์ถึงลืมพี่ได้เร็วนัก”
“เขาคือ....” ฉันอ้ำอึ้ง
“พี่วุฒิคะคุณไมล์” ระหว่างที่ฉันกำลังนึกหาคำตอบก็มีเสียงเรียกดังขึ้นทางด้านหลัง พอหันไปดูว่าเป็นใครต้องตกใจเพราะเป็นคุณทอฝันภรรยาของพี่อาวุธเอง เธอมาตามสามีทั้งที่ท้องโย้มากแล้ว น้ำตาของเธอไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างน่าสงสาร