เรื่อง : แผ่นดินเพลิง (ដីនៃភ្លើង)
โดย : ละเว้
(ตอนที่๑)
เย็นนั้นฟ้าครึ้มหม่น รถบรรทุกซุงคำรามก้องขณะพุ่งทะยานไปตามเส้นทางลูกรัง ล้อรถบดถนนส่งฝุ่นฟุ้งกระจาย บนรถเต็มไปด้วยซุงท่อนใหญ่ ผมนั่งรับแรงสั่นสะเทือนกับตักพ่อซึ่งกอดผมไว้บนนั้น แม่อยู่ถัดออกไปด้านหลังกับผู้ร่วมเดินทางอีกสองสามฅน ท่ามกลางวันเวลาที่เหมือนว่าหยุดนิ่ง ทุกสิ่งดูเงียบงัน ม่านเงาแห่งความชั่วร้ายเริ่มสยายปีกโอบคลุม เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสความน่ากลัวนั้นได้ แม้ความเข้าใจจะยังไม่ชัดว่ามันคืออะไรก็ตามที
ก่อนหน้านี้ผมยังวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่เลยเมื่อแม่เรียกหา ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรวมถึงผู้ใหญ่บ้านและพวกทหารยืนคุยอยู่กับพ่อหน้าโรงเรียน
“ครูรีบพาลูกเมียไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการนะครับ”
ผมได้ยินชายฅนหนึ่งบอกกับพ่อเมื่อไปถึง ที่จริงผมเริ่มสังเกตได้ว่าผู้ฅนในหมู่บ้านมักมีคำพูดแปลก ๆ กันได้สักพักหนึ่งแล้ว
พ่อทอดสายตาสู่สนามดินเบื้องหน้า แหงนมองปราสาทปลิวสะบัดปลายเสาด้วยแววกังวลเครียดขรึม
“ไอ้เธียก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนสิน่า” เสียงแม่บ่นพึมพำถึงพี่ชายของผม
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวผมเจอจะพาเขาไปทีหลังเองครับ” ชาวบ้านฅนเดิมหันมาบอกกับแม่
รถซุงติดเครื่องรอเราอยู่ไม่ไกลนัก ผมไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร ทำไมเราต้องรีบกันขนาดนี้ แม่ใช้เวลาเก็บของไม่นานเราก็ออกเดินทาง ซึ่งผมพอรู้ได้ว่ามันคือการหลบหนีจากบ้านเกิด
.
ผมชื่อ ‘เวียสะนา’ หมู่บ้านซ็อมโลต จังหวัดบัตด็อมบอง (พระตะบอง) คือสถานที่ซึ่งผมได้ลืมตาดูโลก ปี 1967 วันที่ 11 มีนาคม วันนั้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ พ่อเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่ลุกฮือต่อต้านอำนาจปกครอง พวกเขาถูกกวาดล้างล้มตายหลายร้อยฅน หมู่บ้านถูกเผา เปลวไฟลุกโชนครอบคลุมแทบทุกหลังคาเรือน มันเป็นความโหดร้ายและสยดสยองที่สุดเท่าที่ทุกฅนเคยได้เจอ แต่ไม่มีใครจะได้คาดคิดเลยว่า ทั้งหมด จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นหนึ่งเท่านั้นเอง
.
เมื่อเราออกสู่ถนนลาดยางก็ถึงจุดหมาย วัดแตรง ผมเห็นชาวบ้านหลายฅนมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ที่นี่มีทหารเช่นกันกับที่หมู่บ้านของเรา และดูจะมากกว่าด้วย ทั้งทหารแขมร์กับต่างชาติตัวโตผมทองพวกนั้น
“เราจะทิ้งเขาไว้อย่างนั้นรึ”
ภายในที่พักจากความฉุกละหุกของเรา แม่ถามพลางหันสบสายตาว่างเปล่าของพ่อ
“ให้ฉันกลับไปรับลูกเถอะ”
พ่อนิ่งสักพักก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ
“แม่ ผมไปด้วย” หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะผมก็ร้องขึ้นและรีบวิ่งตามออกไป ความหวาดวิตกจากสิ่งซึ่งยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรนั่นแหละที่ทำให้ไม่อยากห่างแม่ ผมวิ่งออกไปโดยไม่ได้หันกลับหลังเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าพ่อ
.
ในฉากความทรงจำที่ยังแจ่มชัด ท่ามกลางแสงตะเกียงหม่นมัวนั้น แม่ชี้ก้านธูปไล่ตามแถวอักษรบนตำราเรียนสอนผมอ่านหนังสือเช่นทุกคืน
“เก่งมาก” พ่อเอ่ยชมเมื่อผมสะกดคำอ่านได้ถูกต้อง พี่ชายสนใจการท่องตำราของผมเช่นกัน
“ลูก ๆ ต้องเรียนให้เก่ง และขยันหาวิชาความรู้เข้าไว้นะ” พ่อบอกกับเราสองฅนที่ต่างรับคำ แสงตะเกียงวับแวมจับรอยยิ้มใจดีเห็นได้เมื่อเงยหน้ามอง
“โตขึ้นผมจะเป็นนักครูเหมือนพ่อ”
‘คำสัญญายังคงแจ่มชัด หากความเป็นจริงกลับเลือนราง’
“ดีแล้วลูก สำคัญที่สุดของความเป็นฅนก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก”
คำพูดของพ่อยังก้องอยู่ในหัว แม้ว่ายามนี้หลายสิ่งจะเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
.
ฝูงวัวยังคงเล็มหญ้ากลางทุ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สา ผมนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคกกลางนา กับวันเวลาและหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือรอย
“กินน้ำมั้ย” ลุงเมาถามพลางยื่นกระบอกส่งให้เมื่อขึ้นมาบนโคกที่ผมนั่งอยู่ ผมกล่าวขอบคุณก่อนรับมาดื่ม
“แขนขวายังเจ็บอยู่รึไง ถึงใช้แต่แขนซ้าย” แกถามพลางจับข้อมือลูบคลำแขนข้างนั้นของผมไปด้วย
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ แต่มันยังไม่มีแรงและไม่ค่อยถนัดนัก” ผมตอบก่อนวางกระบอกน้ำลง เช็ดปากด้วยฝ่ามือ
“ไม่ถนัดก็ต้องหัดใช้มันบ้างนะ” ลุงเมาเอื้อมมือลูบหัว รอยยิ้มนั้นทำให้ผมคิดถึงพ่อ ซึ่งความจริงสำหรับลุงเมาแล้ว แกถือได้ว่าเป็นฅนมอบชีวิตใหม่ หรือเป็นพ่อฅนที่สองของผมเลยก็ว่าได้
.
เย็นนั้นเมื่อเราสองแม่ลูกย้อนกลับมา กว่าจะพบพี่ชายรถซุงเที่ยวสุดท้ายก็หมดลงแล้ว ฅนรถบอกว่าต้องรอถึงพรุ่งนี้สำหรับรถเที่ยวต่อไป แต่ฟ้าไม่ทันจะสางพวกทหารชุดดำก็มาถึงเสียก่อน พวกเขาสู้รบกับทหารในหมู่บ้านกลางดึก รุ่งเช้าหมู่บ้านก็ถูกปิด ไม่มีใครที่จะสามารถเดินทางเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อีกต่อไป การฝ่าฝืนหรือหลบหนีถือว่าเป็นกบฏ และเราทุกฅนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์
พ่อของผมคือฅนหนึ่งที่พวกเขาต้องการตัว เมื่อไม่เจอพ่อพวกนั้นก็โกรธ และไม่ยอมเชื่อว่าพ่อจะหนีไปฅนเดียวโดยทิ้งพวกเราไว้แบบนี้ พวกเขาจึงควบคุมตัวและทำร้ายเรา เพื่อให้บอกสิ่งที่คิดว่าเราโกหก
“พวกแกบอกมาเสียดี ๆ ว่าครูธัวอยู่ที่ไหน”
ผมไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้นได้เลย ด้วยร่างบอบช้ำและลมหายใจอ่อนล้า ผมถูกมัดมือไขว้หลังอยู่กับพื้นภายในอาคารเรียน มันถูกใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวพวกเรา พวกเขายังคงส่งเสียงเกรี้ยวกราดข่มขู่แม่และพี่ชาย เมื่อคำตอบไม่ได้ดังใจ จะเป็นผมที่มักตกเป็นผู้ถูกทำร้ายเสมอ นับเป็นช่วงเวลายาวนาน ท่ามกลางความทรมานหวาดกลัวและสับสนอย่างแท้จริง
“พวกแกจะบอกหรือไม่บอก” พร้อมกับเสียงนั้น ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกผ่านใบหน้าก่อนสติจะวูบดับไปอีกครั้ง.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
แผ่นดินเพลิง (ដីនៃភ្លើង) ตอนที่๑
โดย : ละเว้
(ตอนที่๑)
เย็นนั้นฟ้าครึ้มหม่น รถบรรทุกซุงคำรามก้องขณะพุ่งทะยานไปตามเส้นทางลูกรัง ล้อรถบดถนนส่งฝุ่นฟุ้งกระจาย บนรถเต็มไปด้วยซุงท่อนใหญ่ ผมนั่งรับแรงสั่นสะเทือนกับตักพ่อซึ่งกอดผมไว้บนนั้น แม่อยู่ถัดออกไปด้านหลังกับผู้ร่วมเดินทางอีกสองสามฅน ท่ามกลางวันเวลาที่เหมือนว่าหยุดนิ่ง ทุกสิ่งดูเงียบงัน ม่านเงาแห่งความชั่วร้ายเริ่มสยายปีกโอบคลุม เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสความน่ากลัวนั้นได้ แม้ความเข้าใจจะยังไม่ชัดว่ามันคืออะไรก็ตามที
ก่อนหน้านี้ผมยังวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่เลยเมื่อแม่เรียกหา ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรวมถึงผู้ใหญ่บ้านและพวกทหารยืนคุยอยู่กับพ่อหน้าโรงเรียน
“ครูรีบพาลูกเมียไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการนะครับ”
ผมได้ยินชายฅนหนึ่งบอกกับพ่อเมื่อไปถึง ที่จริงผมเริ่มสังเกตได้ว่าผู้ฅนในหมู่บ้านมักมีคำพูดแปลก ๆ กันได้สักพักหนึ่งแล้ว
พ่อทอดสายตาสู่สนามดินเบื้องหน้า แหงนมองปราสาทปลิวสะบัดปลายเสาด้วยแววกังวลเครียดขรึม
“ไอ้เธียก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนสิน่า” เสียงแม่บ่นพึมพำถึงพี่ชายของผม
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวผมเจอจะพาเขาไปทีหลังเองครับ” ชาวบ้านฅนเดิมหันมาบอกกับแม่
รถซุงติดเครื่องรอเราอยู่ไม่ไกลนัก ผมไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร ทำไมเราต้องรีบกันขนาดนี้ แม่ใช้เวลาเก็บของไม่นานเราก็ออกเดินทาง ซึ่งผมพอรู้ได้ว่ามันคือการหลบหนีจากบ้านเกิด
.
ผมชื่อ ‘เวียสะนา’ หมู่บ้านซ็อมโลต จังหวัดบัตด็อมบอง (พระตะบอง) คือสถานที่ซึ่งผมได้ลืมตาดูโลก ปี 1967 วันที่ 11 มีนาคม วันนั้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ พ่อเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่ลุกฮือต่อต้านอำนาจปกครอง พวกเขาถูกกวาดล้างล้มตายหลายร้อยฅน หมู่บ้านถูกเผา เปลวไฟลุกโชนครอบคลุมแทบทุกหลังคาเรือน มันเป็นความโหดร้ายและสยดสยองที่สุดเท่าที่ทุกฅนเคยได้เจอ แต่ไม่มีใครจะได้คาดคิดเลยว่า ทั้งหมด จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นหนึ่งเท่านั้นเอง
.
เมื่อเราออกสู่ถนนลาดยางก็ถึงจุดหมาย วัดแตรง ผมเห็นชาวบ้านหลายฅนมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ที่นี่มีทหารเช่นกันกับที่หมู่บ้านของเรา และดูจะมากกว่าด้วย ทั้งทหารแขมร์กับต่างชาติตัวโตผมทองพวกนั้น
“เราจะทิ้งเขาไว้อย่างนั้นรึ”
ภายในที่พักจากความฉุกละหุกของเรา แม่ถามพลางหันสบสายตาว่างเปล่าของพ่อ
“ให้ฉันกลับไปรับลูกเถอะ”
พ่อนิ่งสักพักก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ
“แม่ ผมไปด้วย” หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะผมก็ร้องขึ้นและรีบวิ่งตามออกไป ความหวาดวิตกจากสิ่งซึ่งยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรนั่นแหละที่ทำให้ไม่อยากห่างแม่ ผมวิ่งออกไปโดยไม่ได้หันกลับหลังเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าพ่อ
.
ในฉากความทรงจำที่ยังแจ่มชัด ท่ามกลางแสงตะเกียงหม่นมัวนั้น แม่ชี้ก้านธูปไล่ตามแถวอักษรบนตำราเรียนสอนผมอ่านหนังสือเช่นทุกคืน
“เก่งมาก” พ่อเอ่ยชมเมื่อผมสะกดคำอ่านได้ถูกต้อง พี่ชายสนใจการท่องตำราของผมเช่นกัน
“ลูก ๆ ต้องเรียนให้เก่ง และขยันหาวิชาความรู้เข้าไว้นะ” พ่อบอกกับเราสองฅนที่ต่างรับคำ แสงตะเกียงวับแวมจับรอยยิ้มใจดีเห็นได้เมื่อเงยหน้ามอง
“โตขึ้นผมจะเป็นนักครูเหมือนพ่อ”
‘คำสัญญายังคงแจ่มชัด หากความเป็นจริงกลับเลือนราง’
“ดีแล้วลูก สำคัญที่สุดของความเป็นฅนก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก”
คำพูดของพ่อยังก้องอยู่ในหัว แม้ว่ายามนี้หลายสิ่งจะเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
.
ฝูงวัวยังคงเล็มหญ้ากลางทุ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สา ผมนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคกกลางนา กับวันเวลาและหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือรอย
“กินน้ำมั้ย” ลุงเมาถามพลางยื่นกระบอกส่งให้เมื่อขึ้นมาบนโคกที่ผมนั่งอยู่ ผมกล่าวขอบคุณก่อนรับมาดื่ม
“แขนขวายังเจ็บอยู่รึไง ถึงใช้แต่แขนซ้าย” แกถามพลางจับข้อมือลูบคลำแขนข้างนั้นของผมไปด้วย
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ แต่มันยังไม่มีแรงและไม่ค่อยถนัดนัก” ผมตอบก่อนวางกระบอกน้ำลง เช็ดปากด้วยฝ่ามือ
“ไม่ถนัดก็ต้องหัดใช้มันบ้างนะ” ลุงเมาเอื้อมมือลูบหัว รอยยิ้มนั้นทำให้ผมคิดถึงพ่อ ซึ่งความจริงสำหรับลุงเมาแล้ว แกถือได้ว่าเป็นฅนมอบชีวิตใหม่ หรือเป็นพ่อฅนที่สองของผมเลยก็ว่าได้
.
เย็นนั้นเมื่อเราสองแม่ลูกย้อนกลับมา กว่าจะพบพี่ชายรถซุงเที่ยวสุดท้ายก็หมดลงแล้ว ฅนรถบอกว่าต้องรอถึงพรุ่งนี้สำหรับรถเที่ยวต่อไป แต่ฟ้าไม่ทันจะสางพวกทหารชุดดำก็มาถึงเสียก่อน พวกเขาสู้รบกับทหารในหมู่บ้านกลางดึก รุ่งเช้าหมู่บ้านก็ถูกปิด ไม่มีใครที่จะสามารถเดินทางเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อีกต่อไป การฝ่าฝืนหรือหลบหนีถือว่าเป็นกบฏ และเราทุกฅนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์
พ่อของผมคือฅนหนึ่งที่พวกเขาต้องการตัว เมื่อไม่เจอพ่อพวกนั้นก็โกรธ และไม่ยอมเชื่อว่าพ่อจะหนีไปฅนเดียวโดยทิ้งพวกเราไว้แบบนี้ พวกเขาจึงควบคุมตัวและทำร้ายเรา เพื่อให้บอกสิ่งที่คิดว่าเราโกหก
“พวกแกบอกมาเสียดี ๆ ว่าครูธัวอยู่ที่ไหน”
ผมไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้นได้เลย ด้วยร่างบอบช้ำและลมหายใจอ่อนล้า ผมถูกมัดมือไขว้หลังอยู่กับพื้นภายในอาคารเรียน มันถูกใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวพวกเรา พวกเขายังคงส่งเสียงเกรี้ยวกราดข่มขู่แม่และพี่ชาย เมื่อคำตอบไม่ได้ดังใจ จะเป็นผมที่มักตกเป็นผู้ถูกทำร้ายเสมอ นับเป็นช่วงเวลายาวนาน ท่ามกลางความทรมานหวาดกลัวและสับสนอย่างแท้จริง
“พวกแกจะบอกหรือไม่บอก” พร้อมกับเสียงนั้น ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกผ่านใบหน้าก่อนสติจะวูบดับไปอีกครั้ง.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)