เรื่อง : แผ่นดินเพลิง (ដីនៃភ្លើង)
โดย : ละเว้
(ตอนจบ)
ในที่สุดเราสามแม่ลูกก็ถูกแยกจากกัน หลังจากโดนทำร้ายจนสาหัสผมก็ถูกส่งตัวไปสังหาร
กับก้าวย่างไร้ความรู้สึกนั้น ผมใช้มือข้างหนึ่ง ประคองแขนอีกข้างที่เจ็บจนไม่สามารถขยับได้ ลากสังขารไร้แรงตามผู้ถูกต้อนฅนอื่น ๆ ไปอย่างสิ้นหวัง
“ผมขอไอ้หนูนั่นไปช่วยเลี้ยงวัวได้ไหมครับ” แม้จะได้ยินเสียงนั้น แต่ดูว่าทุกสิ่งจะอยู่เหนือความรับรู้ ผมยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลือลากเท้าไปตามทาง ทั้งยังคงสับสนแม้เมื่อถูกนำตัวออกมาแล้วก็ตาม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมควรจะดีใจไหม
.
ลมร้อนพัดฝุ่นฟุ้งกระจายในบางครั้ง ผมหันมองรอยยิ้มใจดีบนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรลุงเมายังทำให้ผมยิ้มได้ แม้ความรู้สึกต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตามที
หลังจากพาผมมารักษาตัวจนหายดีแล้วแกก็ให้ผมช่วยเลี้ยงวัวควายอยู่กับแกนับแต่นั้นมา
“ทำไมพวกเขาถึงเกลียดฅนมีความรู้ เกลียดฅนมีวิชา” ผมถามออกไป รู้ว่าพวกเขาต้องการตัวพ่อของผมเพราะพ่อเป็นครู ลุงเมาส่อสายตากลัวเกรง ยกมือปิดปากผมไว้พลางจ้องหน้า
"อย่าเที่ยวไปถามใครแบบนี้นะรู้มั้ย" แกบอกเพียงเท่านั้นก่อนเบือนหน้าสู่ท้องทุ่ง เลยฝูงวัวออกไป เด็กกลุ่มหนึ่งทำงานอยู่กลางแดด ไม่มีพี่ชายของผมอยู่ในนั้น ผมไม่เคยได้เจอเขาอีกเลย รวมถึงพ่อและแม่ด้วยเช่นกัน
.
ชีวิตคืออะไร คือทุกข์ยาก สับสน และความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างนั้นหรือ เหมือนว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง ที่ผมยังสนุกกับการวิ่งเล่นหาปูปลากับพี่ชายและเพื่อน ๆ ในท้องทุ่งแห่งนี้อยู่เลย แล้วจู่ ๆ ความสุขตามประสานั้นกลับถูกตัดขาดอย่างฉับพลัน กว่าจะทันได้รู้ตัวก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว
ท่ามกลางความโหดร้ายหวาดกลัวนั้น ผมยังคงไม่ทิ้งความหวังที่จะได้เจอพ่อ ได้เจอแม่และพี่ชาย แม้มันจะเลือนรางเต็มทนแล้วก็ตาม ผมวาดนิ้วบนผืนทราย ขีดเขียนอักษรกอ กา ไปตามประสา นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ยามคิดถึงพ่อแม่และพี่ชายแบบนี้
.
วันนี้มีเสียงสู้รบ มันดังมาแต่เช้าท่ามกลางสายลมหยุดนิ่ง และดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ผมไม่เคยได้ยินเสียงปะทะก้องป่าแบบนี้นานมากแล้ว นับจากวันที่อยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์ การอยู่ฅนเดียวทำให้อดผวาไม่ได้ คิดถึงลุงเมาที่หายไปไหนแต่เช้า อยากให้แกรีบกลับมาพร้อมกับกระบอกน้ำเสียจริง
แผ่นดินสั่นสะเทือนตามเสียงกัมปนาท ผมได้แต่ขดนิ่งตัวสั่นอยู่โคนไม้ คิดผละจากฝูงวัวเข้าไปในหมู่บ้านก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ เฝ้าแต่ภาวนาให้เสียงสู้รบเบาบางลงบ้างเท่านั้น
แว่วเสียงฅนเดินเข้ามา ผมรีบหันหน้าเข้าหาทันที
“ลุง” ผมร้องออกไปพร้อมฉีกยิ้มรับ ลุงเมาทรุดร่างลง ผมเพิ่งเห็นได้ว่า เสื้อผ้าเก่าคร่ำที่ห่อหุ้มร่างชรานั้นเปรอะไปด้วยเลือด
“ลุงเป็นไร” ผมร้องถามพลางวิ่งเข้าหา พยายามประคองแกขึ้นมา
“หนีไป” แกบอกขณะพยายามแกะมือผมออก
“ทำไม” ผมถามทั้งน้ำตา
“พวกเวียดนามบุกมาแล้ว ที่นี่กำลังจะแตก รีบหนีไป”
‘พวกเวียดนามนั้นชั่วร้ายที่สุดจำไว้’
ผมนึกถึงคำพูดที่ย้ำเตือนพวกเราเสมอในที่ประชุม
“ชาวบ้านหลายฅนไปกันแล้ว รีบตามพวกเขาไป” ลุงเมาพูดพลางหรี่ตาลง ผมมองใบหน้าเหี่ยวย่นเหยเกผ่านหยาดน้ำตา รู้ว่าหากผมหันหลังไป นั่นคือครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าชายชราฅนนี้
“ไปสิ ไปตามหาพ่อเอ็ง” แกร้องบอกโดยไม่ลืมตา ทั้งยังคงพยายามผลักให้ออก
ผมลุกขึ้น หากยังนิ่งมองภาพพร่ามัวอยู่ชั่วขณะ ก่อนหันหลังตัดใจวิ่งออกมาในที่สุด เสียงระเบิดเสียงปืนต่าง ๆ ยังคงดังลั่น ผมหลับหูหลับตาวิ่ง ความอัดอั้นทั้งหมดถูกระบายออกมาจากทุกฝีเท้าและหยาดน้ำตา ไม่อยากคิดเลยว่าลุงเมาต้องบาดเจ็บเพราะมารับผมแทนที่จะรีบหนีไป
.
ผมไม่เจอชาวบ้านไม่เจอใครที่ลุงเมาว่า จึงได้แต่เลาะริมทางไปฅนเดียว ไม่กล้าแม้แต่จะเดินบนถนน ค่ำก็นอน เช้าเดินต่อ หาขุดหัวมันกินตามประสา
เมื่อถึงแตรงผมก็ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสี่ปี วัดร้างไม่มีพระ ไม่มีทหารอเมริกาแล้ววันนี้ จะเห็นมีก็แต่ทหารเวียดนามที่ผมเคยหวาดกลัวเท่านั้น
เมื่อไม่เจอพ่อที่นี่ผมก็ต้องร่วมขบวนไปกับชาวบ้านและทหารเวียดนามเหล่านั้น ท่ามกลางเศษซากสงครามซึ่งเห็นได้ตลอดทาง ถนนลาดยางกลายเป็นหลุมบ่อ หมู่บ้านร้าง ซากศพส่งกลิ่นโชยมีให้พบเห็นได้ตลอด ไฟสงครามแผดเผาไปทั่วทั้งแผ่นดินจริง ๆ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากความหวังว่าจะได้เจอพ่อเท่านั้น แต่ทว่า
“พ่อเอ็งตายแล้วล่ะลูกเอ๊ย”
ความหวังทั้งมวลของผมสูญสิ้นไปกับคำบอกเล่านั้นแล้ว
.
เมื่อหอบความลำเค็ญเร่ร่อนมาถึงสะเดาผมก็ได้พบกับแก ป้าเมียน แกรู้จักครอบครัวผมดี เราหนีมาด้วยกันในวันที่ผมพลัดกับพ่อ แกเล่าให้ฟังว่าเมื่อรัฐบาลสาธารณะรัฐพ่ายแพ้ พ่อก็ต้องหนีไปเรื่อย แต่ไม่หยุดที่จะสอนเด็ก
‘สำคัญที่สุดของฅน คือการมีวิชาความรู้’
ผมอดนึกถึงคำสอนของพ่อไม่ได้ ป้าเมียนยังบอกอีกว่าพ่อมาเป็นครูอยู่ที่สะเดาได้พักหนึ่งก็หนีไปสะนึง พ่อโดนจับได้ที่นั่นก่อนถูกนำตัวไปเขาสำเภา ที่ซึ่งไม่มีใครเมื่อถูกจับไปแล้วจะได้กลับมา ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ผมยังคงนิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ ปล่อยน้ำตาไหลออกมาโดยไม่คิดฝืน ป้าเมียนเอื้อมมือลูบหัว คลำแขนข้างลีบเล็กของผม
“แล้วแม่กับพี่เอ็งล่ะ” แกถามเบา ๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ สงครามพรากทุกฅนและทุกสิ่งไปจากผมจนหมด ทิ้งไว้เพียงร่างพิการนี่เท่านั้น
ป้าเมียนดึงตัวผมเข้าไปกอด
“อยู่นี่แหละไม่ต้องไปไหนแล้ว มาเป็นลูกแม่ก็ได้”
ผมรู้สึกถึงก้อนสะอื้นจุกอก รับรู้ได้ว่าอย่างน้อย ความรักเมตตาและน้ำใจนั้นยังคงหาได้ท่ามกลางสงคราม
.
วันนี้แม้ว่าสงครามจะแค่เปลี่ยนรูปแบบและยังไม่มีทีท่าสิ้นสุด แต่ไม่ว่าอย่างไรท้องฟ้าก็ยังดูสดใส ผมออกจากบ้านแต่เช้า วิ่งเล่นหยอกล้อไปกับเพื่อน ๆ เราพูดคุยเสียงดังกันตลอดทาง กระทั่งมาหยุดหน้าประตูทางเข้า
“ศาลาเรียนแซรอ็อนโดง” เด็กฅนหนึ่งพยายามอ่านข้อความบนป้ายอวดเพื่อน
"ไอ้บ้า เอ็งเดาเอา ป้ายศาลาเรียนก็ต้องเขียนว่าศาลาเรียนสิวะ" เด็กอีกฅนค้านเสียงดัง เจ้าฅนอ่านทำหน้าเด๋อด๋าเมื่อถูกหัวเราะใส่
“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวนักครูก็สอนเราเองนั่นแหละ” ผมบอกกับพวกเขาก่อนก้าวไปกับรอยยิ้ม
‘สำคัญที่สุดของความเป็นฅน ก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก’
เป็นครั้งแรกที่ผมนึกถึงคำสอนของพ่อแล้วยิ้มได้
“ครับพ่อ โตขึ้นผมจะเป็นนักครูเหมือนพ่อ”
ไม่ว่าพ่อจะรับรู้ได้หรือไม่ก็ตาม หากผมยังคงยืนยันในคำสัญญา.
-จบ-
แผ่นดินเพลิง (ដីនៃភ្លើង) ตอนจบ
โดย : ละเว้
(ตอนจบ)
ในที่สุดเราสามแม่ลูกก็ถูกแยกจากกัน หลังจากโดนทำร้ายจนสาหัสผมก็ถูกส่งตัวไปสังหาร
กับก้าวย่างไร้ความรู้สึกนั้น ผมใช้มือข้างหนึ่ง ประคองแขนอีกข้างที่เจ็บจนไม่สามารถขยับได้ ลากสังขารไร้แรงตามผู้ถูกต้อนฅนอื่น ๆ ไปอย่างสิ้นหวัง
“ผมขอไอ้หนูนั่นไปช่วยเลี้ยงวัวได้ไหมครับ” แม้จะได้ยินเสียงนั้น แต่ดูว่าทุกสิ่งจะอยู่เหนือความรับรู้ ผมยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลือลากเท้าไปตามทาง ทั้งยังคงสับสนแม้เมื่อถูกนำตัวออกมาแล้วก็ตาม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมควรจะดีใจไหม
.
ลมร้อนพัดฝุ่นฟุ้งกระจายในบางครั้ง ผมหันมองรอยยิ้มใจดีบนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรลุงเมายังทำให้ผมยิ้มได้ แม้ความรู้สึกต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตามที
หลังจากพาผมมารักษาตัวจนหายดีแล้วแกก็ให้ผมช่วยเลี้ยงวัวควายอยู่กับแกนับแต่นั้นมา
“ทำไมพวกเขาถึงเกลียดฅนมีความรู้ เกลียดฅนมีวิชา” ผมถามออกไป รู้ว่าพวกเขาต้องการตัวพ่อของผมเพราะพ่อเป็นครู ลุงเมาส่อสายตากลัวเกรง ยกมือปิดปากผมไว้พลางจ้องหน้า
"อย่าเที่ยวไปถามใครแบบนี้นะรู้มั้ย" แกบอกเพียงเท่านั้นก่อนเบือนหน้าสู่ท้องทุ่ง เลยฝูงวัวออกไป เด็กกลุ่มหนึ่งทำงานอยู่กลางแดด ไม่มีพี่ชายของผมอยู่ในนั้น ผมไม่เคยได้เจอเขาอีกเลย รวมถึงพ่อและแม่ด้วยเช่นกัน
.
ชีวิตคืออะไร คือทุกข์ยาก สับสน และความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างนั้นหรือ เหมือนว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง ที่ผมยังสนุกกับการวิ่งเล่นหาปูปลากับพี่ชายและเพื่อน ๆ ในท้องทุ่งแห่งนี้อยู่เลย แล้วจู่ ๆ ความสุขตามประสานั้นกลับถูกตัดขาดอย่างฉับพลัน กว่าจะทันได้รู้ตัวก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว
ท่ามกลางความโหดร้ายหวาดกลัวนั้น ผมยังคงไม่ทิ้งความหวังที่จะได้เจอพ่อ ได้เจอแม่และพี่ชาย แม้มันจะเลือนรางเต็มทนแล้วก็ตาม ผมวาดนิ้วบนผืนทราย ขีดเขียนอักษรกอ กา ไปตามประสา นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ยามคิดถึงพ่อแม่และพี่ชายแบบนี้
.
วันนี้มีเสียงสู้รบ มันดังมาแต่เช้าท่ามกลางสายลมหยุดนิ่ง และดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ผมไม่เคยได้ยินเสียงปะทะก้องป่าแบบนี้นานมากแล้ว นับจากวันที่อยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์ การอยู่ฅนเดียวทำให้อดผวาไม่ได้ คิดถึงลุงเมาที่หายไปไหนแต่เช้า อยากให้แกรีบกลับมาพร้อมกับกระบอกน้ำเสียจริง
แผ่นดินสั่นสะเทือนตามเสียงกัมปนาท ผมได้แต่ขดนิ่งตัวสั่นอยู่โคนไม้ คิดผละจากฝูงวัวเข้าไปในหมู่บ้านก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ เฝ้าแต่ภาวนาให้เสียงสู้รบเบาบางลงบ้างเท่านั้น
แว่วเสียงฅนเดินเข้ามา ผมรีบหันหน้าเข้าหาทันที
“ลุง” ผมร้องออกไปพร้อมฉีกยิ้มรับ ลุงเมาทรุดร่างลง ผมเพิ่งเห็นได้ว่า เสื้อผ้าเก่าคร่ำที่ห่อหุ้มร่างชรานั้นเปรอะไปด้วยเลือด
“ลุงเป็นไร” ผมร้องถามพลางวิ่งเข้าหา พยายามประคองแกขึ้นมา
“หนีไป” แกบอกขณะพยายามแกะมือผมออก
“ทำไม” ผมถามทั้งน้ำตา
“พวกเวียดนามบุกมาแล้ว ที่นี่กำลังจะแตก รีบหนีไป”
‘พวกเวียดนามนั้นชั่วร้ายที่สุดจำไว้’
ผมนึกถึงคำพูดที่ย้ำเตือนพวกเราเสมอในที่ประชุม
“ชาวบ้านหลายฅนไปกันแล้ว รีบตามพวกเขาไป” ลุงเมาพูดพลางหรี่ตาลง ผมมองใบหน้าเหี่ยวย่นเหยเกผ่านหยาดน้ำตา รู้ว่าหากผมหันหลังไป นั่นคือครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าชายชราฅนนี้
“ไปสิ ไปตามหาพ่อเอ็ง” แกร้องบอกโดยไม่ลืมตา ทั้งยังคงพยายามผลักให้ออก
ผมลุกขึ้น หากยังนิ่งมองภาพพร่ามัวอยู่ชั่วขณะ ก่อนหันหลังตัดใจวิ่งออกมาในที่สุด เสียงระเบิดเสียงปืนต่าง ๆ ยังคงดังลั่น ผมหลับหูหลับตาวิ่ง ความอัดอั้นทั้งหมดถูกระบายออกมาจากทุกฝีเท้าและหยาดน้ำตา ไม่อยากคิดเลยว่าลุงเมาต้องบาดเจ็บเพราะมารับผมแทนที่จะรีบหนีไป
.
ผมไม่เจอชาวบ้านไม่เจอใครที่ลุงเมาว่า จึงได้แต่เลาะริมทางไปฅนเดียว ไม่กล้าแม้แต่จะเดินบนถนน ค่ำก็นอน เช้าเดินต่อ หาขุดหัวมันกินตามประสา
เมื่อถึงแตรงผมก็ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสี่ปี วัดร้างไม่มีพระ ไม่มีทหารอเมริกาแล้ววันนี้ จะเห็นมีก็แต่ทหารเวียดนามที่ผมเคยหวาดกลัวเท่านั้น
เมื่อไม่เจอพ่อที่นี่ผมก็ต้องร่วมขบวนไปกับชาวบ้านและทหารเวียดนามเหล่านั้น ท่ามกลางเศษซากสงครามซึ่งเห็นได้ตลอดทาง ถนนลาดยางกลายเป็นหลุมบ่อ หมู่บ้านร้าง ซากศพส่งกลิ่นโชยมีให้พบเห็นได้ตลอด ไฟสงครามแผดเผาไปทั่วทั้งแผ่นดินจริง ๆ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากความหวังว่าจะได้เจอพ่อเท่านั้น แต่ทว่า
“พ่อเอ็งตายแล้วล่ะลูกเอ๊ย”
ความหวังทั้งมวลของผมสูญสิ้นไปกับคำบอกเล่านั้นแล้ว
.
เมื่อหอบความลำเค็ญเร่ร่อนมาถึงสะเดาผมก็ได้พบกับแก ป้าเมียน แกรู้จักครอบครัวผมดี เราหนีมาด้วยกันในวันที่ผมพลัดกับพ่อ แกเล่าให้ฟังว่าเมื่อรัฐบาลสาธารณะรัฐพ่ายแพ้ พ่อก็ต้องหนีไปเรื่อย แต่ไม่หยุดที่จะสอนเด็ก
‘สำคัญที่สุดของฅน คือการมีวิชาความรู้’
ผมอดนึกถึงคำสอนของพ่อไม่ได้ ป้าเมียนยังบอกอีกว่าพ่อมาเป็นครูอยู่ที่สะเดาได้พักหนึ่งก็หนีไปสะนึง พ่อโดนจับได้ที่นั่นก่อนถูกนำตัวไปเขาสำเภา ที่ซึ่งไม่มีใครเมื่อถูกจับไปแล้วจะได้กลับมา ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ผมยังคงนิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ ปล่อยน้ำตาไหลออกมาโดยไม่คิดฝืน ป้าเมียนเอื้อมมือลูบหัว คลำแขนข้างลีบเล็กของผม
“แล้วแม่กับพี่เอ็งล่ะ” แกถามเบา ๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ สงครามพรากทุกฅนและทุกสิ่งไปจากผมจนหมด ทิ้งไว้เพียงร่างพิการนี่เท่านั้น
ป้าเมียนดึงตัวผมเข้าไปกอด
“อยู่นี่แหละไม่ต้องไปไหนแล้ว มาเป็นลูกแม่ก็ได้”
ผมรู้สึกถึงก้อนสะอื้นจุกอก รับรู้ได้ว่าอย่างน้อย ความรักเมตตาและน้ำใจนั้นยังคงหาได้ท่ามกลางสงคราม
.
วันนี้แม้ว่าสงครามจะแค่เปลี่ยนรูปแบบและยังไม่มีทีท่าสิ้นสุด แต่ไม่ว่าอย่างไรท้องฟ้าก็ยังดูสดใส ผมออกจากบ้านแต่เช้า วิ่งเล่นหยอกล้อไปกับเพื่อน ๆ เราพูดคุยเสียงดังกันตลอดทาง กระทั่งมาหยุดหน้าประตูทางเข้า
“ศาลาเรียนแซรอ็อนโดง” เด็กฅนหนึ่งพยายามอ่านข้อความบนป้ายอวดเพื่อน
"ไอ้บ้า เอ็งเดาเอา ป้ายศาลาเรียนก็ต้องเขียนว่าศาลาเรียนสิวะ" เด็กอีกฅนค้านเสียงดัง เจ้าฅนอ่านทำหน้าเด๋อด๋าเมื่อถูกหัวเราะใส่
“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวนักครูก็สอนเราเองนั่นแหละ” ผมบอกกับพวกเขาก่อนก้าวไปกับรอยยิ้ม
‘สำคัญที่สุดของความเป็นฅน ก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก’
เป็นครั้งแรกที่ผมนึกถึงคำสอนของพ่อแล้วยิ้มได้
“ครับพ่อ โตขึ้นผมจะเป็นนักครูเหมือนพ่อ”
ไม่ว่าพ่อจะรับรู้ได้หรือไม่ก็ตาม หากผมยังคงยืนยันในคำสัญญา.
-จบ-