กุหลาบพระตะบอง (កុលាបបាត់ដំបង) ตอนที่๑

กระทู้สนทนา
เรื่อง : กุหลาบพระตะบอง (កុលាបបាត់ដំបង)
โดย : ละเว้
(ตอนที่๑)

วัวสองตัวลากเกวียนไปตามทาง ฉันนั่งรับแรงสะท้อนอยู่กับพวกพ้องบนนี้ เสียงเพลงในงานแต่งยังยินแว่ว เราเพิ่งมาจากที่นั่นกัน ตะวันต่ำบังยอดไม้ขณะความร้อนระอุยังคงไม่ผ่อนคลาย พาหนะสองล้อยี่ห้อ SANYAN วิ่งสวนมา โยกส่ายตามสภาพเส้นทางลูกรัง ฝุ่นฟุ้งไล่หลัง

ชนบทบ้านเรายามนี้ จักรยานยนต์เป็นสิ่งมีให้เห็นมากขึ้นเมื่อกลิ่นควันปืนเริ่มบางเบา แต่ยังใช่ว่าใครจะเป็นเจ้าของกันได้ง่ายนัก แม้หลายคันจะถูกเรียกว่ารถมือสองก็ตาม

🎶'កុលាបបបាត់ដំបងអើយ  បងមកវិញហើយណាថ្លៃ'

บทเพลงอมตะของนักร้องอมตะที่ดังผ่านวิทยุเทปจากบ้านเรือนริมทางนั้น พาให้คิดถึงใครคนหนึ่งผู้มีรอยยิ้มยับย่นแฝงซื่อแม้ในช่วงข้นคลั่กของสงคราม

.
🎶นอนเถิด นอนเถิด มนุษย์สัตว์ทั้งหลาย

วันที่ความทุกข์เข็ญยังเป็นปกติ เขาเอ่ยเป็นเสียงเพลงขณะคลื่นความร้อนแผ่ระยับทั่วผืนนา ฉันเอนร่างอยู่กับโคนไม้ข้างโคก จ้องมองเขา แก้มตอบตรงหน้าฉีกยิ้ม เผยรอยยับย่นไม่ต่างจากเสื้อผ้าชุดดำเก่าคร่ำที่สวมใส่

“นอนไปเถอะ มีแรงแล้วค่อยทำต่อ” คราวนี้เขาบอกเป็นคำพูดออกมา ฉันพยักหน้ารับรู้ อากาศร้อนสะบัด แม้แต่ใต้ร่มไม้ยังอบอ้าว สายลมคงอัดอั้นอยู่แห่งไหนของมันสักที่

เขาหันหลังออกไปยังกลุ่มฅนกลางตะวัน เริ่มจริงจังกับงาน ขุดดินใส่บุ้งกี๋หาบออกไปเทถมเส้นทางกลางผืนนา ฉันเริ่มงีบหลับด้วยความอ่อนเพลียท่ามกลางความร้อนระอุเช่นกัน

.
เขาชื่อ ‘ซอม’ ชายผู้เรียกฉันว่ากุหลาบพระตะบอง ฉันมาจากสวายเรียงและต้องติดอยู่ที่ก็อนดาล ไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกับพระตะบองตามชื่อเพลงโปรดของเขาแต่อย่างใด 
แต่เมื่อฉันแย้งเขากลับตอบว่า ตอนนี้ฉันเป็นกุหลาบของฅนที่มาจากพระตะบองอย่างเขาต่างหาก

ฉันบอกว่าถ้าเป็นดอกไม้จริง ฉันคงเป็นดอกไม้ของแผ่นดินแห่งความแร้นแค้นทุกข์เข็ญมากกว่า 

เขาบอกว่าต่อให้แผ่นดินนี้ยากไร้แค่ไหน ความสดใสของกุหลาบนั้นจะช่วยหล่อเลี้ยงให้ชุ่มชื่นได้เสมอ อย่างน้อยก็มากพอทำให้เขาร้องเพลงได้

ฉันบอกว่าเราคุยเรื่องไร้สาระกันมากไปแล้ว ฉันคิดเช่นนั้นกับการต่อปากต่อคำของเรา แม้ลึก ๆ แล้ว ใจแห้งเหี่ยวจะชุ่มชื่นกับคำพูดที่ว่าไร้สาระนั่นบ้างก็ตาม

เขาบอกว่าไม่มีสิ่งใดไร้สาระ ถือโอกาสสารภาพว่าได้เตรียมไปสู่ขอฉันกับแม่แล้ว จะมีติดขัดบ้างก็ตรงที่แม่ของฉันอยู่ฅนละที่กับเราเท่านั้น

.
ตอนฉันอายุได้สิบสี่ปีเป็นเวลาที่องค์การปฏิวัติแผ่อำนาจกล้าแกร่ง แม่พาฉันกับน้อง ๆ ชายหญิงสองฅนหลบหนีจากบ้านเกิด ขณะพ่อของฉันกำลังรับใช้ชาติอยู่แห่งไหนสักที่ เรื่องราวของท่านจางหายไปหลังจากนั้น

เรามาอยู่กับยายที่ก็อมปงจามได้ไม่นานก็ทราบข่าวว่าพนมเปญแตก ตอนนี้ไม่มีแห่งไหนให้เราได้หลบหนีอีกแล้ว ทุกหย่อมหญ้าล้วนตกอยู่ภายใต้เงาปีกกางสยายของกาดำจนสิ้น

พวกเขาเริ่มอพยพผู้ฅนไปยังพระตะบอง เราถูกต้อนมาถึงก็อนดาลแล้วหยุดอยู่ที่นี่ ฉันถูกแยกมาอยู่แถบชนบทแต่ลำพัง ต้องขุดดินถมทางและทำนา น้อง ๆ ถูกส่งตัวไปอีกทาง ข่าวคราวของพวกเขาจางหายไปไม่ต่างจากพ่อของฉันในที่สุด

ทุกสิ่งล้วนกลับด้านพลิกผันไปหมด เราต้องทำความเข้าใจกับสังคมใหม่ สังคมแห่งความเสมอภาคเท่าเทียม สังคมที่พวกเขาบอกว่าประชาชนชาวแขมร์จะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน สังคมที่จะไม่มีใครจนรวยกว่าใคร ไม่มีนายไม่มีบ่าว

แต่เท่าเทียมที่ฉันเห็นได้ยามนี้คือขลาดกลัวแทรกซึมทุกพื้นที่ ต่างทุกข์เข็ญไม่ต่างกัน ทรัพย์สมบัติที่ทุกฅนเคยมีล้วนต้องตกเป็นของส่วนรวม เราไม่มีสิทธิ์ยึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นของตัวเองได้ บางที แม้แต่ลมหายใจแผ่วล้าก็ตาม

ที่นี่เราถูกจัดให้อยู่กันเป็นกลุ่มแยกชายหญิง กลุ่มละสิบฅนต่อหัวหน้าหนึ่งฅน แต่ละกลุ่มนอนรวมในโรงเรือนเดียวกัน รอบที่พักมีเวรยามคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉันไม่เคยสนใจเวรยามพวกนั้นเลย

.
ท่ามกลางความสงัดแห่งค่ำคืนน้ำค้างเย็นเยือก นกป่าเค้นเสียงจากลำคอแห้งผาก ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งลักลอบออกจากที่พัก การทำเช่นนี้อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏได้ แต่ยามนี้ฉันไม่มีเวลาคิดถึงข้อกล่าวหานั้นหรือเสียงครางจากนกตัวใด ต่อให้ผีป่าปู่ตาไหนก็ตาม ฉันข่มทุกความรู้สึกไว้ใต้ความมุ่งมั่น เหยาะย่างสาวเท้าไป พยายามไม่สนใจสิ่งใด แต่มันกลับกระชากความขลาดกลัวที่พร้อมปะทุของฉันออกมาจนได้

มันพุ่งเข้าใส่พร้อมคำรามลั่นป่า ฉันหวีดร้องสุดเสียง ร่างล้มลง ผวาจนลืมเจ็บ ตัวสั่นหลับตาซุกหน้าแนบดิน แต่ชั่วขณะสั้น ๆ เท่านั้น

ฉันลืมตาผงกหัวขึ้นเมื่อรู้ว่ามันกลับหลังวิ่งออกไปแล้ว สุนัขป่าตัวนั้น มันตกใจเสียงร้องและอาการเสียหลักของฉันเช่นกัน

สำเนียงระทึกของผืนป่ากลับมาแผ่วังเวงดุจเดิม จังหวะหัวใจยังคงรัวแรงกับสิ่งที่เพิ่งผ่านไป หากช้าไม่ได้ ฉันต้องรีบแล้ว

.
“แม่จ๋า” ฉันเรียกท่านเพียงแผ่วเบาขณะแง้มประตูเข้าหา โผใส่ร่างที่ยันตัวขึ้นจากที่นอน น้ำตาแห่งยินดีผสมรันทดซึมท่วมความรู้สึก ฉันกอดท่านไว้ แม่ลูบผมฉันเบา ๆ ไม่มีคำพูดใด เราต่างถ่ายทอดทุกข์สุข ปล่อยความรู้สึกแล่นผ่านร่างที่โอบกอดกันและกัน ภาพเด็กน้อยสองฅนกับแววตาสับสนสองคู่ ในวันซึ่งพวกเขาได้แต่นิ่งรับชะตานั้น ยังสร้างความสะท้านผสานรวมในรู้สึกยามนี้

เวลาค่อยเคลื่อนไปอย่างแผ่วเบา ฉันยังคงซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอด นอนซบท่านอยู่อย่างนั้น อิงแอบให้สาใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องออกจากอกแม่อยู่ดี

“ต้องไปแล้วแม่ ต้องกลับไปถึงนั่นก่อนสาง” ฉันบอกและกอดท่านแนบแน่นอีกครั้ง ตัดใจคืนสู่ที่จากมา

อย่างที่บอกว่าตอนนี้ไม่มีที่ใดให้เราหลบหนีได้อีกแล้ว อยู่ไหนก็ไม่ต่างกัน การออกมาในคืนนี้นั้นฉันแค่โหยหาอ้อมกอด โหยหาความรักความอบอุ่นจากผู้ให้กำเนิดเท่านั้น ฉันต้องการเท่านั้นจริง ๆ

.
ซอมเป็นหนึ่งในไม่กี่ฅนที่รู้เรื่องการหลบหนีออกนอกค่ายพักของฉัน รู้ถึงความอ่อนล้าจากการเดินทางและอดนอน เขาจึงแอบมาช่วยขุดดินถมทางในส่วนรับผิดชอบให้ฉัน เมื่อรู้ว่าคืนไหนฉันออกไปหาแม่

แม้ว่าหัวหน้าจะไม่เคร่งครัดต่อเรื่องนี้สักเท่าไรนัก แต่ฉันยังต้องพยายามระวังไม่ให้มีใครรู้เห็นอยู่ดี โดยเฉพาะพวกทหารขององค์การปฏิวัติ

.
“ผู้ใหญ่บ้านเรียกหาเอ็งอยู่นะ” เป็นเวลาที่ตะวันหรี่แสงลงมากแล้ว เพื่อนร่วมชะตาเอ่ยบอกเมื่อฉันก้าวเข้าที่พัก เขามีเรื่องอะไร ฉันคิดขณะเอาปลาที่ซ่อนไว้ออกจากชายพกส่งให้ เธอรีบรับไว้

“ไปแอบหาปลามาอีกแล้วสิ”

ฉันพยักหน้าตอบ การหาอยู่หากินแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกฅน ฉันจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏหากโดนจับได้

ผู้ใหญ่บ้านทักทายฉันด้วยรอยยิ้มกริ่ม สายตาระยับด้วยเลศนัย เขาแค่รู้สึกยินดีกับฉันด้วยเรื่องที่กำลังบอกให้รับรู้นี่เท่านั้น

พรุ่งนี้ฉันได้รับอนุญาตให้กลับไปหาแม่ได้ ข่าวดีในชีวิตลูกผู้หญิงรอฉันอยู่ที่นั่น เขาไม่ได้บอกชัดเจนเสียทีเดียว แต่ฉันแปลนัยแห่งคำพูดของเขาได้ไม่ยากนัก แม้ซอมจะเคยบอกให้ได้รับรู้มาก่อนบ้างแล้ว แต่ฉันยังคงรู้สึกตื่นเต้นยินดีเมื่อวันนี้มาถึง

.
มีหลายฅนรอฉันอยู่ก่อนแล้วที่กระท่อมของแม่ พวกเขาล้วนแต่เป็นทหาร

“มาพอดี บอกกับเจ้าตัวเองเลยก็แล้วกัน” ใครฅนหนึ่งส่งเสียงอ้อแอ้เมื่อฉันมาถึง กระดกแก้วที่ถือในมือส่งเหล้าเข้าปาก ใครฅนหนึ่งบอกให้ฉันทราบเรื่องการสู่ขอ หลายฅนยิ้มชื่น ขณะที่ฉันได้แต่ชานิ่งกับความจริง ความจริงซึ่งไม่ต่างจากกับระเบิด ที่อยู่ ๆ ก็ส่งเสียงคำรามพร้อมกัดกินเลือดเนื้อของเราไปอย่างไม่ปล่อยให้ทันตั้งตัว

“ไม่” 

ฉันหลุดคำนั้นออกไปเมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วฉันสำคัญผิดไปเอง ผู้มาสู่ขอฉันไม่ใช่ซอม แต่เป็นทหารฅนหนึ่งเท่านั้น ทหารฅนหนึ่งที่ทำให้ภาพแววตาสับสนสองคู่ กับคำร้องขออันว่างเปล่าเข้ามาแทรกผสมในรู้สึกยามนี้

“ไม่แต่งนะแม่” ฉันย้ำปฏิเสธกับแม่ สบสายตาวิงวอน

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมารับฟังคำปฏิเสธ แต่ฉันก็ได้แสดงเจตนานั้นออกไปแล้ว ยังยืนยันซ้ำ ๆ ต่อคำพูดเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวของแต่ละฅน

.
หลายวันผ่านไป หลายฅนที่เข้ามาเป็นสื่อต่างไม่มีใครสามารถทำให้ฉันเปลี่ยนใจยอมรับได้ ในที่สุดมันก็หลุดคำรามใส่ไม่ต่างจากสุนัขบ้า

‘อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน’

ถ้าจะว่าตามความรู้สึกโดยแท้จริงแล้ว ตอนนี้ฉันรู้สึกกับมันไม่ต่างจากสุนัขป่าตัวนั้นมากกว่า สุนัขที่ต่อให้ดุร้ายแค่ไหน มันก็ยังรู้จักกลัวอยู่ดี

แต่แน่ละ มันไม่ใช่สุนัขป่า มันร้ายได้กว่านั้น และมันไม่เสียเวลาปิดบังความร้ายกาจกับฉันแต่อย่างใด

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่