รักในรอยฝัน บทที่ 11 สาวน้อยผู้ไร้ที่มา

อาบิเกลตกอยู่ในฝันร้ายนับแต่เหตุฆาตกรรมในบ้านที่เธอเป็นผู้ต้องสงสัย ผ่านไป 4 ปี เธอพบเงื่อนงำ
ที่นำไปสู่เหตุฆาตกรรมที่ทำให้เธอเสียความทรงจำ ทว่ายิ่งความจำเธอกลับคืนมาอันตรายก็ยิ่งคืบคลาน
สู่ชีวิตเธอมากขึ้น ใครคือฆาตกรและมันต้องการอะไรกันแน่



...............................................................................



11
สาวน้อยผู้ไร้ที่มา



โดย ฮาร์โมนิก้า


แสงแดดทอประกายผ่านทิวไม้และหยาดน้ำค้างลงมากระทบร่างแบบบางที่สลบไสล
อยู่บนผืนหญ้านุ่มในโพรงดินที่เว้าเข้าไปในลาดเขาชัน


เสียงนก แมลงและใบไม้ที่พัดเสียดสีกันก่อให้เกิดเสียงดังอื้ออึงทั่วบริเวณป่า หญิงสาวค่อย
กระพริบตาช้าๆ ฟื้นขึ้นจากนิทราที่ดูเหมือนจะยาวนาน เริ่มรับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างมึนงง
ความชุ่มชื่นในบรรยากาศซึ่งรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวเข้มปนเขียวอ่อนและชะอุ่มประปราย สลับ
กับกิ่งไม้โกร๋นใบของต้นเมเปิ้ลที่เริ่มแตกยอดอ่อนให้เห็นเป็นบางยอด อากาศที่เย็นฉ่ำชื้นด้วย
หยาดน้ำค้างจากสายฝนถูกผ่อนปรนด้วยแสงแดดสีส้มทอประกายระยับกับหยาดน้ำพร่างบน
ยอดหญ้าบอกให้หญิงสาวผู้เพิ่งฟื้นคืนสติได้รู้ว่ามันคือวันในฤดูใบไม้ผลิ

ความชื้นแฉะของผืนดินที่ผ่านพ้นอรุณที่พราวน้ำและฝนซึ่งตกพรำตลอดบ่าย ซึมผ่านกอหญ้า
ที่แนบสนิทชิดผิวกายเย็นเยียบซึ่งเวลานี้ค่อยๆ ถูกประโลมไล้ด้วยแสงตะวันอ่อนๆ ที่ค่อยๆ
ละลายความหนาวเหน็บของสายฝนออกไปจากร่างที่นอนแผ่หราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
เบื้องหน้าทั้งหมดคือทิวไม้กับท้องฟ้าและแสงแดดยามบ่ายที่สาดทอมาผ่านผืนฟ้าไร้เมฆ
หญิงสาวผู้สลบไสลค่อยๆ เรียกความรู้สึกตัวกลับคืนสู่ปัจจุบัน เมื่อขยับตัวดูก็รู้สึกถึงความ
ปวดร้าวระบมทั่วร่าง เธอกลืนน้ำลายเหนียวหนึบผ่านลำคอแห้งผากและสำเนียกในขณะนั้น
ว่าเธอกระหายน้ำเหลือเกิน

หญิงสาวขยับตัวช้าๆ ก่อนจะดันกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล รู้สึกเจ็บแปลบที่แขนข้างซ้าย
ทว่าเธอก็สามารถลุกนั่งได้ไม่มีปัญหา คิดแล้วก็กวาดตามองรอบตัว เธออยู่ในโพรงดินที่
ซ่อนอยู่ท่ามกลางทิวสนบนลาดเขาที่ไหนสักแห่ง

ที่ไหนล่ะ

แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ทำไมจู่ๆ เธอจึงตื่นขึ้นมาในสถานที่เขียวชะอุ่มราวกับกลางป่าเช่นนี้

หยาดน้ำค้างซึ่งเกาะอยู่ตามปลายสนทอประกายสีรุ้งยามต้องแสงแดดสีส้มจากดวงอาทิตย์
ที่คล้อยต่ำลงเยื้องกับศีรษะ มันบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาบ่ายคล้อยหลังฝนตก

บ่ายของวันอะไร

แล้วทำไมเธอจึงมานอนอยู่ที่นี่ ร่างกายปวดร้าวระบมไปหมด รู้สึกร้อนหนาวรุมเร้า ศีรษะหรือ
ก็ปวดราวกับจะแตกออก หรือว่าเธอถูกทำร้าย หรือเกิดอุบัติเหตุ จะมีใครตามหาเธออยู่หรือเปล่า
เธอต้องรีบกลับบ้านแล้วล่ะ

หญิงสาวคิดอย่างทุกข์ทรมานแต่แล้วก็ชะงัก แล้วบ้านเธออยู่ที่ไหน

ความหวาดกลัวแบบใหม่เข้าจู่โจมหัวใจทันที บ้านเธออยู่ไหน และคำถามที่น่ากลัวกว่านั้นคือ
เธอคือใคร

เธอคือใคร เธอมาทำอะไรที่นี่

เหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าทั้งที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ความกลัวถาโถมเข้าสู่จิตใจอย่างรวดเร็ว
และมหาศาล เธอคือใคร เป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะลืมว่าเธอคือใคร แล้วเธอจะทำอย่างไร เธอมา
อยู่ที่นี่ได้ยังไง น้ำตาแห่งความอ้างว้างเริ่มเอ่อซึมก่อนที่จะทะลักทะลายออกมาอย่างเสียขวัญ
เธอคือใคร เธอจะทำอย่างไร และเวลานี้เธอเจ็บปวดตามร่างกายราวกับจะจับไข้ และยังปวด
รุนแรงที่ศีรษะ

หญิงสาวนั่งร้องไห้หลังจากพยายามลุกขึ้นเพื่อหาทางเดินออกไปจากป่า ทว่าแข้งขาที่อ่อนล้า
ไร้เรี่ยวแรง และร่างกายที่เจ็บปวดร้อนหนาว ทำให้เธอไม่อาจทรงกายอยู่ได้เกินกว่าไม่กี่วินาที
เธอพยายามมองไปรอบตัว นี่บ่ายคล้อยแล้วเธอจะเหลือเวลากี่ชั่วโมงที่จะออกไปจากป่านี้ได้
ก่อนค่ำ หากเธอติดอยู่ที่นี่จนค่ำเธอคงไม่มีทางมีชีวิตรอดต่อไปจนถึงเช้า ด้วยอากาศที่หนาว
เย็นและอุณหภูมิที่จะต้องยิ่งลดต่ำลงอีกมากในเวลากลางคืน ประกอบกับสายลมแรงจัดใน
ฤดูใบไม้ผลิ เธอไม่มีทางมีชีวิตรอดด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและไม่มีสิ่งอื่นให้ความอบอุ่นต่อ
ร่างกายมากกว่านี้แน่

เสียงสวบสาบของฝีเท้าที่ย่ำมาบนใบไม้ชื้นแฉะจากที่ไกลค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราวกับ
ใครบางคนกำลังเดินตามเสียงสะอื้นไห้ของเธอ หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้ง รู้สึกตื่นเต้น โล่งใจ
และยินดีราวกับได้ยินเสียงทิพย์จากสวรรค์ ใครสักคนกำลังเดินมา เขาอาจเป็นคนที่ออกตาม
หาเธอก็ได้ หรือหากไม่ใช่เธอก็ยังพอได้อาศัยขอความช่วยเหลือ

สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดสีน้ำตาลไหม้ปนเทาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า มันชะงักแล้วแยกเขี้ยว
ขู่คำรามเมื่อเห็นเธอ เธอรู้สึกพิศวงระคนตกใจเล็กน้อย แต่ก็แปลกที่เธอไม่รู้สึกกลัวมันสักนิด
ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร เธอคงต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับสุนัขแน่ เอ! หรือเทพผู้พิทักษ์ของเธอจะ
เป็นเจ้าหมาสี่ขาตัวนี้

แม้จะผิดคาดที่ได้พบสุนัขแทนที่จะเป็นคน แต่หญิงสาวก็ยังมองมันอย่างยินดีมีความหวังและ
เอ็นดู เธอต้องเป็นคนรักสุนัขแน่ๆ เพราะเธอรู้สึกดีใจที่เห็นเจ้าหมาตัวนี้และรู้สึกเอ็นดูในความ
น่ารักและขนดกหนาสีน้ำตาลปนเทาที่สวยงามของมันเหลือเกิน แม้หน้าตามันตอนนี้จะดูน่ากลัว
และไม่เป็นมิตรเลยสักนิดก็ตาม แต่เธอรู้วิธีจัดการมันแน่ๆ

“สวัสดี มานี่สิเจ้าหมา เธอมาตัวเดียวหรือ เจ้าของเธอไปไหนซะล่ะ”

หญิงสาวพูดยื่นหลังมือขวาไปด้านหน้าให้เจ้าหมาเพื่อแสดงไมตรี แล้วใช้มือนั้นตบเบาๆ ที่พื้น
เหมือนชวนเล่น เธอเลือกใช้น้ำเสียงอ่อนโยนทว่ามีพลังคุยกับมัน

เจ้าหมาเยอรมันเชพเพิร์ดยังคงแยกเขี้ยว ส่งเสียงขู่คำรามเตือนเบาๆ ลอดไรฟัน

“ไม่เอาน่า เราเป็นเพื่อนกันได้นะ เธอเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ฉันรู้จัก ถ้าเธอไม่เป็นเพื่อนกับฉันแล้วฉัน
จะทำยังไงล่ะ มาสิ ฉันไม่น่ากลัวหรอก มาเร้ว เข้ามาทักกันนะเจ้าหมา”

น้ำเสียงนุ่มนวลทว่ามีพลังที่เธอใช้ กับแววตาอ่อนโยนและท่าทีชวนเล่นแบบมีไมตรีจิตคงมีผลต่อ
ประสาทรับรู้ของเจ้าหมา มันหยุดคำราม เริ่มเอียงคอซ้ายขวามองเธออย่างแปลกใจ หญิงสาวยังคง
ยิ้มพร้อมวางมือนิ่งโดยหันหลังมือขึ้นบนพื้นตรงหน้ามัน ทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยเล็กน้อย
ดวงตากลมสีน้ำตาลดำของเจ้าเยอรมันเชพเพิร์ดจ้องมองมือเธออย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนเงยขึ้นมองหน้า
มันทำจมูกฟุดฟิด ราวกับต้องการสูดดมกลิ่นหญิงสาวตรงหน้าให้แน่ใจว่าเธอไม่ใช่ศัตรูหรืออันตราย
สำหรับมันจริงๆ ครู่เดียวมันก็เริ่มส่งเสียงเห่าเบาๆ ยกขาหน้า กระโดดขึ้นลง เดินหน้าถอยหลัง แบบ
ยินดีราวกับเจอเพื่อนใหม่ มันเห่าอีกคราวนี้เห่ารัวหลายครั้งด้วยเสียงอันดัง และเริ่มใช้อุ้งตีนหน้า
ตะปบมือเธอเล่น ก่อนหมอบลงด้วยอาการหมอบเฉพาะขาหน้า และให้ก้นโด่งขึ้น มันเป็นกิริยา
ชวนเล่นของสุนัข

“ยอมเล่นด้วยกันแล้วหรือ เจ้าหมา มานี่สิ ตอนนี้ฉันคงจะวิ่งเล่นกับเจ้าไม่ไหวหรอกนะเจ้าหมา”

หญิงสาวพูดพร้อมหัวเราะอย่างสดใส ลืมความเจ็บปวดตามร่างกายไปเป็นครู่ด้วยความยินดีที่ผูก
มิตรกับเจ้าสุนัขตัวนี้ได้ เธอลูบหัวมันเบาๆ พอมันเริ่มคุ้นกับเธอมากขึ้น เธอก็จับหัวมันลูบแรงๆ
และกอดมันไว้ทั้งตัวอย่างยินดี เฝ้ามองหางของมันที่แกว่งไกวไม่หยุด และแววตาที่บอกว่าไว้
วางใจ อย่างน้อยเวลานี้เธอก็ไม่ได้อยู่คนเดียวในป่าแห่งนี้แล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่