กุหลาบพระตะบอง (កុលាបបាត់ដំបង) ตอนจบ

กระทู้สนทนา
เรื่อง : กุหลาบพระตะบอง (កុលាបបាត់ដំបង)
โดย : ละเว้
(ตอนจบ)

เกวียนพาเราโยกคลอนจนเข้าเขตหมู่บ้านของฉัน สองข้างทางคือสวนละมุดที่ไม่รู้ว่าได้รับการปลูกสร้างมาแต่ครั้งไหน แต่ละต้นล้วนใหญ่โตสูงแข่งกับยอดมะพร้าว

สองผู้ชักลากยังคงเหยาะย่างอย่างไม่ทุกข์ร้อน เด็กบางฅนป่ายปีนต้นตะขบข้างทาง หาเก็บกินผลที่มีรสชาติหวานหอมของมัน หลายฅนวิ่งเล่นในความโล่งเตียนใต้โคนละมุด เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ บอกเราได้เช่นกันว่า ควันสงครามนั้นเจือจางไปมากเท่าไรแล้ว

เมื่อลงจากเกวียนฉันก็แยกตัวออกมา ผ่านกลุ่มเด็กไปตามทางเดินเท้าผ่าสวนละมุด มองสูงขึ้นไปยังง่ามกิ่งกับเรื่องราวในอดีต นึกถึงร่างที่ร่วงหล่นลงมานอนนิ่งกับผืนดิน

.
วันนั้นฉันออกมาแต่ลำพังตามคำสั่งของมัน ต้นละมุดใหญ่ต้นนั้น สองมือสั่นเทาของฉันยึดเกาะลำต้น ออกแรงเหนี่ยวดึง สองเท้าช่วยถีบส่ง 

แม้การปีนต้นไม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฉันสักเท่าใดนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันจะไม่มีวันยอมแพ้สุนัขป่าอย่างมันเป็นอันขาด

ความรู้สึกแถบชายโครงย้ำเตือนด้วยเจ็บแปลบว่ายังคงระบม ซึ่งฉันคงได้แต่กัดฟันต้านข่ม ความอ่อนล้าเกินทนบอกว่าฉันอาจได้พักบ้าง หากเก็บละมุดได้มากพอเท่าที่มันต้องการ

.
เมื่อกล้าแข็งข้อฉันก็ต้องกัดฟันยอมรับชะตาที่พวกมันเป็นฝ่ายกำหนด มันไม่สามารถยัดเยียดข้อหากบฏให้ฉันได้ หรือไม่ มันก็อาจเห็นว่าการทำเช่นนั้น ไม่สะใจเท่ากับได้เห็นฉันค่อย ๆ ทรมานจนต้องยอมรับความพ่ายแพ้

งานหนักของฉันยิ่งหนักขึ้นนับจากวันนั้น พวกมันกดดันด้วยการหาเรื่องใช้แรงฉันสารพัด ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เมื่อชักช้าหรือผิดพลาด สิ่งที่ฉันจะได้รับคือการทำโทษ ด้วยวิธีสุดแต่มันจะสรรหาให้ได้สะใจ หลายฅนได้แต่แอบมองชะตากรรมของฉันอยู่เงียบ ๆ แน่นอนว่าไม่มีใครยื่นมือช่วยฉันได้ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่เอ่ยคำว่าสงสารออกมาด้วยซ้ำ

ตอนนี้ฉันแทบไม่ต่างจากเศษซากอะไรสักอย่างไปแล้ว

.
ซากที่ยังหายใจของฉันเกาะนิ่งอยู่กับต้นละมุด มันต้องการเวลาฟื้นแรงสักครู่ ท้องของฉันส่งความแสบมวนป่วนย้ำบอกว่า วันนี้มันยังไม่ได้รับอะไรเลย แม้จะบ่ายคล้อยแล้วก็ตาม ลูกละมุดห้อยอยู่ปลายกิ่งสูงขึ้นไป ฉันกลืนน้ำลายเหนียวฝืดแห้งขมคอ กล้ามเนื้อแห้งฝ่อสั่นริก ร่างกายระโหยเต็มทีแล้ว

ไม่มีทางเลือก นอกจากกัดฟันโหนตัวขึ้นไปอยู่บนง่ามกิ่งด้วยแรงฮึดสุดท้าย หอบนิ่งอยู่ตรงนั้น ใจสั่นปานจะขาด สมองตื้อมึนงง ริมฝีปากเจ่อชา จู่ ๆ หูก็อื้อดับ ฉันได้แต่หลับตาผ่อนอาการ ทุกสิ่งรางเลือน แล้วความรู้สึกที่ไม่ต่างจากเส้นด้ายเปื่อยยุ่ยก็จบสิ้นลง

.
เมื่อเลยสวนละมุดออกมายังท้ายหมู่บ้านจะถึงกระท่อมเล็ก ๆ ของฉัน มันซุกตัวอยู่ในกลุ่มบ้านซอมซ่อไม่ต่างกัน แม่อยู่ในครัว เสียงโขลกปลาแห้งเป็นกับข้าวมื้อเย็นได้ยินเมื่อก้าวมาถึง

“มาพอดีข้าวเย็น” แม่หันมาทักทาย ตักผงปลาป่นใส่จาน หยิบผงชูรสเทใส่ถ้วยน้ำปลา
ในหม้อมีแต่ข้าวต้ม ฉันตักใส่จานเมื่อขึ้นมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่กับแม่แล้ว นั่งกินข้าวต้มกับผงปลาป่น เติมน้ำปลาผสมผงชูรสไป ยังอดนึกถึงอาหารบ้านงานแต่งที่ฉันได้แต่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้

หลังสิ้นสุดสี่ปีแห่งการยึดครองขององค์การปฏิวัติ เราต่างได้รู้ชัดว่า ความเสมอภาคเท่าเทียมทางสังคมที่พวกเขาพร่ำบอก เป็นเพียงความโหดร้ายจากเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น ความจนรวยต่างชั้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง โดยนอกจากลมหายใจแผ่วล้ากับซากชีวิตแล้ว ฉันกับแม่ก็ไม่เหลืออะไรอีก 

แต่ไม่ว่าอย่างไร การได้หลุดรอดจากยุคสมัยของกาดำ ควรถือว่าน่ายินดีที่สุดแล้ว แม้ว่าจากชีวิตที่ค่อนข้างสุขสบาย กลับต้องกลายมาเป็นชนชั้นล่างสุดก็ตาม

.
“เมื่อตอนบ่ายผู้ใหญ่บ้าน เขามาทาบทาม” อยู่ ๆ แม่ก็เอ่ยออกมา

“เขาต้องการสู่ขอเอ็งให้กับญาติของเขา”

‘สู่ขอ’ ฉันทวนคำนั้นในใจ

“แม่ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ญาติของผู้ใหญ่ฅนที่ว่านี่ แต่เขาก็รับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะนั่นแหละว่าเป็นฅนดี” แม่อธิบายขณะที่ฉันยังได้แต่นิ่งฟัง

“เขาเป็นพ่อหม้ายมาจากพระตะบองโน่นแหละ”

‘พระตะบอง’ ฉันทวนคำพูดของแม่ในใจอีกครั้ง

.
รอยยิ้มยับย่นเปื้อนคราบน้ำตาของเขา เป็นภาพแรกที่ฉันได้เห็นหลังโลกมืดดับไปสามวัน ฉันหมดสติพลัดตกจากต้นละมุด นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทิ้งให้ทุกฅนสงสัยในการหายไป เขาตามหาจนเจอ พามาซ่อนตัวในป่า ดูแลรักษาจนฟื้นคืน

“ต้องอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน” ฉันเอ่ยถามท่ามกลางเสียงแมลงในม่านมืด เขาโอบฉันไว้พลางกล่าวเบา ๆ

“บ้านเมืองทุกวันนี้มีแต่เรื่องพลิกผัน เราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง” คำพูดของเขาดูไม่ตรงกับที่ถามนัก แต่ฉันก็เข้าใจ บางทีเราก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึงวันข้างหน้า

จะว่าไปแล้วการต้องหลบอยู่ในป่าแบบนี้ อาจเป็นช่วงเวลาสุขสงบในวันไร้ความหมาย ไร้อนาคตไร้ความแน่นอนของเราก็ได้ 

ฉันซุกหน้าแนบอกเขา เหล่าแมลงแข่งกรีดเสียงขับกล่อม เราแฝงตัวอยู่ในความมืดดำ เขาจากไปก่อนฟ้าสาง จากไปพร้อมกับคำว่า เมื่อเย็นย่ำค่ำคืนมาถึงเขาจะกลับมาอีกครั้ง หากแต่ว่าเขาก็ไม่ได้กลับมา

.
ร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกส่งสายตาชืดชามายังฉัน ซึ่งยามนี้คงมีสภาพไม่ต่างจากกองผ้าขี้ริ้วสักเท่าใดนัก ถัดออกไปมีทหารฅนหนึ่งยืนคุมเชิงอยู่ ทหารส่วนหนึ่งกำลังพักผ่อนบ้างทำหน้าที่ตามปกติอยู่ด้านล่าง ผู้ใหญ่บ้านนั่งอยู่กับม้านั่งข้างฝา ฉันก้มหน้าหมอบรับชะตาอยู่กับพื้นเรือน นึกถึงเขาที่บอกว่าจะกลับมา แล้วปล่อยให้ฉันนอนฟังเสียงแมลงทั้งคืน เฝ้าตื่นตารอถึงเช้าจนงีบหลับ สะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงเอะอะตรงมา ผู้ใหญ่บ้านกับพวกของเขาพาตัวฉันมาที่นี่ในที่สุด

.
“มันรอดตายมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว สงสารมันเถอะ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวช้า ๆ กับผู้กำลังยืนค้ำหัวฉันอยู่ เขาขยับก้าวขา จ้องสำรวจกองผ้าขี้ริ้วตรงหน้าก่อนหันไปนั่งข้างกัน

ท่ามกลางร้อนระอุยังพอมีสายลมเย็นช่วยผ่อนคลายทุกข์เข็ญ โชคดีที่ผู้ใหญ่บ้านยังมีความเมตตาสงสารฉันบ้าง และด้วยความที่เขาเคยเป็นทหาร มีลูกพี่มีลูกน้องที่ยังเคารพนับถือกันอยู่ เขาจึงช่วยฉันได้ในครั้งนี้ สุนัขป่าตัวนั้นมันไม่กล้ามายุ่งกับฉันอีกแล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรนับแต่ออกจากป่ามาฉันก็ไม่ได้เจอซอมอีกเลย รู้เพียงว่าเขาถูกนำตัวออกจากค่ายไปทำงานที่ไหนสักแห่งเท่านั้น

.
เด็ก ๆ ต้อนฝูงวัวกลับเข้าหมู่บ้านเมื่อตะวันค่ำลง เสียงวัวย่ำเท้าเสียงฅนไล่ต้อน เป็นสิ่งที่เราจะได้ยินทั้งเช้าและเย็น

“เราไม่อาจวางใจความทะยานอยากของผู้มีอำนาจได้สักเท่าไรนักหรอก” แม่ชำเลืองมองเด็กกับฝูงวัวในแสงหม่นมัวพลางพูดไป

“บางทีแค่เรากะพริบตา ภาพความสงบตรงหน้านี้ก็อาจสลายไปแล้ว”

ฉันนั่งฟังท่านรำพึง เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น แม้ทุกชีวิตเริ่มมีความหวังถึงไฟสงครามที่มอดดับ แต่ก็ยังไม่มีอะไรยืนยันได้เช่นกันว่า มันจะไม่คุกรุ่นถึงขั้นปะทุขึ้นมาอีก ความไม่มั่นคง ยังเป็นสิ่งซึ่งทุกฅนไม่ว่าจนหรือรวยไม่อาจวางใจได้

แม่หยิบตะเกียงมาจุดรับตะวัน  และยังพึมพำ “อีกอย่าง อายุอานามของเอ็งก็มากขึ้นทุกวันแล้วเหมือนกัน”

เสียงเพลงกุหลาบพระตะบองดังแว่วมา แม่หยุดพูดพร้อมหันมาจ้องหน้าหาคำตอบจากฉันแทน.
-จบ-

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่