เมล็ดเจียและเม็ดแมงลัก🏵️
ทั้งสองอย่างเป็นเมนูที่คนลดน้ำหนักสนใจกันมาก แต่จริงๆแล้วธัญพืชทั้งสองชนิดมีคุณประโยชน์มากกว่าใช้เป็นแค่ตัวทำให้อิ่ม
⚾️เมล็ดเจียจะมีลักษณะรี มีสีน้ำตาลเทา มีลวดลายเล็กน้อย แช่น้ำจะพองตัวเป็นเม็ดใส
🥎ส่วนแมงลักจะมีลักษณะรี แต่สีดำเข้ม แช่น้ำจะพองตัวมีเมือกสีขาวขุ่น
🍻วิธีกินเมล็ดเจียและเม็ดแมงลัก
เม็ดแมงลักหรือเมล็ดเจีย ก่อนกินต้องแช่น้ำจนพองตัวเต็มที่เสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้นจะไปดูดซึมน้ำภายในทางเดินอาหาร และจับตัวเป็นก้อนแข็ง อุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืด
🍹เมล็ดเจียอย่างน้อย 10-15 นาที หรือนานกว่านั้นและอัตราส่วนเมล็ดเจีย 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน หรือถ้ากินเมล็ดเจียโดยการโรยบนอาหารควรมีของเหลวเป็นส่วนประกอบในอาหารด้วย
🧋เม็ดแมงลักควรแช่ในอัตราส่วน เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา กับน้ำ 1 แก้ว รอจนกว่าจะเป็นเม็ดมีเมือกสีขาวขุ่นและพองตัวเต็มที่ ห้ามกินตอนที่เม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่เด็ดขาด
🍊ประโยชน์เมล็ดเจีย 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 486 กิโลแคลอรี โดยมีคาร์โบไฮเดรต 42 กรัม โปรตีน 17 กรัม ไขมัน 31 กรัม ใยอาหาร 34 กรัม ที่นิยมกันคือมีการพองตัว ทำให้อิ่มนาน ไฟเบอร์ เป็นพรีไบโอติก มีแคลเซี่ยม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก กรดไขมัน ALA ควบคุมระดับน้ำตาลและคลอเรสเตอรอล
🍓ประโยชน์เม็ดแมงลัก 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 420 กิโลแคลอรี โดยมีคาร์โบไฮเดรต 54 กรัม โปรตีน 15 กรัม ไขมัน 16 กรัม ใยอาหาร 54 กรัม และมีการพองตัว และไฟเบอร์สูง มีสารเพคตินที่เป็นพรีไบโอติก
ทั้งยังมี แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก กรดไขมัน ALA มีสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมระดับน้ำตาลและคอเรสเตอรอล
🍔ข้อจำกัดในการกินเมล็ดเจีย
🌰ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น แก๊สในกระเพาะอาหาร แสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน เพราะไฟเบอร์ที่ขยายตัวในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 กระตุ้นให้ตับอ่อนเร่งสร้างน้ำย่อยออกมามากขึ้น
🍥คนที่ต้องเข้ารับการศัลยกรรม หรือมีประวัติการใช้ยาแอสไพริน เพราะทำให้หลอดเลือดบางลง ผลต่อการเกิดภาวะฮีโมฟีเลีย (Haemophilia) คือภาวะที่เลือดแข็งตัวช้า เลือดไหลไม่หยุด
🥗ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรกินเมล็ดเจีย เพราะทำให้แรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวให้ต่ำลง (Diastolic blood pressure) อาจเกิดอาการช็อก หรือหมดสติ
🥘ไม่ควรกินเมล็ดเจียติดต่อกันนานหลายปี เพราะจะเกิดการเสพติด
🍲ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตรไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อน้ำนม
🍛การกินเมล็ดเจียร่วมกับวิตามินบี 17 ติดต่อกันเป็นเวลานาน ร่างกายจะสะสมสารไฟโตนิวเทรียนท์มากเกินไป อาจก่อให้เกิดมะเร็ง
🍔ข้อจำกัดในการกินเม็ดแมงลัก
🍡ต้องแน่ใจว่าแช่เม็ดแมงลักจนพองตัวเต็มที่แล้ว เพราะถ้ายังพองตัวไม่เต็มที่จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้
🍢คนที่ต้องการลดน้ำหนัก หากกินเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหาร ควรกินในบางมื้อเท่านั้นเพื่อป้องกันการเป็นโรคขาดสารอาหารได้
🍭การกินเม็ดแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ ร่ายกายดูดซึมยาได้น้อยลง ควรกินก่อนกินยาก่อนสัก 15 นาที
ซึ่งดูๆแล้ว เม็ดแมงลักน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคนไทยมากกว่าเนื่องจากหาซื้อง่าย ราคาถูก ในคุณประโยชน์ที่ไม่แพ้เมล็ดเจียเลยทีเดียว
เมล็ดเจียและเม็ดแมงลัก🏵️
ทั้งสองอย่างเป็นเมนูที่คนลดน้ำหนักสนใจกันมาก แต่จริงๆแล้วธัญพืชทั้งสองชนิดมีคุณประโยชน์มากกว่าใช้เป็นแค่ตัวทำให้อิ่ม
⚾️เมล็ดเจียจะมีลักษณะรี มีสีน้ำตาลเทา มีลวดลายเล็กน้อย แช่น้ำจะพองตัวเป็นเม็ดใส
🥎ส่วนแมงลักจะมีลักษณะรี แต่สีดำเข้ม แช่น้ำจะพองตัวมีเมือกสีขาวขุ่น
🍻วิธีกินเมล็ดเจียและเม็ดแมงลัก
เม็ดแมงลักหรือเมล็ดเจีย ก่อนกินต้องแช่น้ำจนพองตัวเต็มที่เสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้นจะไปดูดซึมน้ำภายในทางเดินอาหาร และจับตัวเป็นก้อนแข็ง อุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืด
🍹เมล็ดเจียอย่างน้อย 10-15 นาที หรือนานกว่านั้นและอัตราส่วนเมล็ดเจีย 1 ส่วนต่อน้ำ 9 ส่วน หรือถ้ากินเมล็ดเจียโดยการโรยบนอาหารควรมีของเหลวเป็นส่วนประกอบในอาหารด้วย
🧋เม็ดแมงลักควรแช่ในอัตราส่วน เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา กับน้ำ 1 แก้ว รอจนกว่าจะเป็นเม็ดมีเมือกสีขาวขุ่นและพองตัวเต็มที่ ห้ามกินตอนที่เม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่เด็ดขาด
🍊ประโยชน์เมล็ดเจีย 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 486 กิโลแคลอรี โดยมีคาร์โบไฮเดรต 42 กรัม โปรตีน 17 กรัม ไขมัน 31 กรัม ใยอาหาร 34 กรัม ที่นิยมกันคือมีการพองตัว ทำให้อิ่มนาน ไฟเบอร์ เป็นพรีไบโอติก มีแคลเซี่ยม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก กรดไขมัน ALA ควบคุมระดับน้ำตาลและคลอเรสเตอรอล
🍓ประโยชน์เม็ดแมงลัก 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 420 กิโลแคลอรี โดยมีคาร์โบไฮเดรต 54 กรัม โปรตีน 15 กรัม ไขมัน 16 กรัม ใยอาหาร 54 กรัม และมีการพองตัว และไฟเบอร์สูง มีสารเพคตินที่เป็นพรีไบโอติก
ทั้งยังมี แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก กรดไขมัน ALA มีสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมระดับน้ำตาลและคอเรสเตอรอล
🍔ข้อจำกัดในการกินเมล็ดเจีย
🌰ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น แก๊สในกระเพาะอาหาร แสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน เพราะไฟเบอร์ที่ขยายตัวในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 กระตุ้นให้ตับอ่อนเร่งสร้างน้ำย่อยออกมามากขึ้น
🍥คนที่ต้องเข้ารับการศัลยกรรม หรือมีประวัติการใช้ยาแอสไพริน เพราะทำให้หลอดเลือดบางลง ผลต่อการเกิดภาวะฮีโมฟีเลีย (Haemophilia) คือภาวะที่เลือดแข็งตัวช้า เลือดไหลไม่หยุด
🥗ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรกินเมล็ดเจีย เพราะทำให้แรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวให้ต่ำลง (Diastolic blood pressure) อาจเกิดอาการช็อก หรือหมดสติ
🥘ไม่ควรกินเมล็ดเจียติดต่อกันนานหลายปี เพราะจะเกิดการเสพติด
🍲ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตรไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อน้ำนม
🍛การกินเมล็ดเจียร่วมกับวิตามินบี 17 ติดต่อกันเป็นเวลานาน ร่างกายจะสะสมสารไฟโตนิวเทรียนท์มากเกินไป อาจก่อให้เกิดมะเร็ง
🍔ข้อจำกัดในการกินเม็ดแมงลัก
🍡ต้องแน่ใจว่าแช่เม็ดแมงลักจนพองตัวเต็มที่แล้ว เพราะถ้ายังพองตัวไม่เต็มที่จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้
🍢คนที่ต้องการลดน้ำหนัก หากกินเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหาร ควรกินในบางมื้อเท่านั้นเพื่อป้องกันการเป็นโรคขาดสารอาหารได้
🍭การกินเม็ดแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ ร่ายกายดูดซึมยาได้น้อยลง ควรกินก่อนกินยาก่อนสัก 15 นาที
ซึ่งดูๆแล้ว เม็ดแมงลักน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคนไทยมากกว่าเนื่องจากหาซื้อง่าย ราคาถูก ในคุณประโยชน์ที่ไม่แพ้เมล็ดเจียเลยทีเดียว