JJNY : แฉนักการเมือง ป. โทรเคลียร์│ก้าวไกลถาม ‘เศรษฐา’│KKP ชี้นักลงทุนห่วงศก.ไทยโตช้า│ศาลสั่ง ‘เอเวอร์แกรนด์’ เลิกกิจการ

แฉนักการเมือง ป. โทรเคลียร์ ทนายอธิบดีกรมการข้าว บอกให้เบาๆ หน่อย
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/215793

ปม "ศรีสุวรรณ" ตบทรัพย์ ล่าสุดทนายอธิบดีกรมการข้าว แฉว่ามีนักการเมือง เคยเป็นอดีตผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ อักษรย่อ ป. โทรมาหาอธิบดีฯ ให้เบาๆหน่อย
 
นายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ทนายความ และที่ปรึกษาของกฎหมายนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าวว่า หลังตำรวจปปป.บุกจับกุมในศรีสุวรรณ จรรยา พร้อมพวก เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ก็มี มีนักการเมืองตัวอักษรย่อ นายป. ซึ่งเป็นอดีตนักการเมือง และเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ได้ติดต่อมายังอธิบดีกรมการข้าว และภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว ฝากมาบอกตัวเองให้เบาๆหน่อย และให้ยุติบทบาท 
รวมทั้งพยายามโยงธุรกิจของภรรยาอธิบดีกรมการข้าง ที่ทำธุรกิจฟาร์มหมู และฟาร์มไก่ ให้ไปเชื่อมโยงกับคดีหมูเถื่อน ตีนไก่เถื่อนด้วย   
 
นายดนุเดช ยืนยันว่า ตัวเองนั้นไม่กลัว เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ และเห็นว่า หากมัวเกรงกลัวอิทธิพลคงไม่ได้ เพราะวิธีการแต่งตั้งผู้ที่เข้ามาใช้อำนาจโดยมิชอบเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 
 
รับกังวลฝ่ายการเมืองล้วงลูกเคลียร์คดี 
 
แต่แม้จะไม่กลัว แต่ก็ยอมรับว่า มีเรื่องที่กังวลว่า จะมีการเมืองเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้นายจ.ผู้กระทำผิดไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหากผู้ต้องหาไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ใดเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ตามโทษที่จะได้รับจากเดิมสูงสุดตลอดชีวิต ก็จะเหลือเพียงข้อหากรรโชกทรัพย์ซึ่ง โทษเบากว่า และนายศ.ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดก็จะไม่ถือเป็น ผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ก็จะได้รับโทษน้อยไปด้วย จึงอยากให้ตำรวจเดินหน้าทำงานต่อ อย่าให้เรื่องเงียบ
 
ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ในฐานะเพื่อนของนายดนุเดช เปิดเผยว่า ได้แนะนำให้นายดนุเดชให้นำหลักฐานสำคัญๆ มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ เพื่อให้ยากต่อการวิ่งเต้นล้มคดี ช่วยเหลือพวกพ้องกัน ไม่ต้องกลัวตาย ถ้าตายจะสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ให้ ในขณะที่ที่ปรึกษารัฐมนตรีที่ถูกพาดพิงก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย ตำรวจเองก็อย่าปอดแหก ไม่ใช่สร้างภาพจนในที่สุดคดีก็หายไป ต้องทำคดีถึงที่สุด
 
อีกทั้งยังเชื่อว่า กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช้เรื่องการเมือง แต่เป็นการเปิดโปงความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของคนการเมือง ที่จะต้องถูกดำเนินการตามกฏหมาย



ก้าวไกลถาม ‘เศรษฐา’ เห็นเรื่อง ‘อียู’ ปฏิเสธให้วีซ่าฟรีเชงเก้นหรือยัง งงดิจิทัลวอลเล็ตเงียบ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4398947

‘ก้าวไกล’ ถาม ‘เศรษฐา’ เห็นรายงานหรือยัง หลัง ‘อียู’ ปฏิเสธให้วีซ่าฟรี สงสัย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ถึงเงียบ ชี้ยังมีเวลาบรรจุ เข้างบ’68
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มกราคม ที่รัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ แถลงถึงกรณีที่อียูปฏิเสธคำขอรัฐบาลที่จะให้วีซ่าฟรีแก่คนไทย ว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลไทยได้ขอให้อียูยกเว้นวีซ่าอียู ต่อมาอียูได้มีหนังสือตอบอย่างเป็นทางการมายังรัฐบาลไทยตั้งแต่กลางเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว โดยปฏิเสธการพิจารณาเพื่อยกเว้นวีซ่าเชงเก้นแก่คนไทยในขณะนี้ หนังสือตอบของอียูดังกล่าวลงนามโดยเลขาธิการฝ่ายกิจการเข้าเมืองและกิจการภายใน (Directorate-General For Immigration and Home Atfairs) ของอียู 
 
นายจุลพงศ์กล่าวว่า หนังสือตอบจากเลขาธิการของอียูได้แจ้งว่าในปัจจุปันนี้อียูไม่มีนโยบายในการเจรจายกเว้นวีซ่าเชงเก้นให้แก่พลเมืองประเทศใดประเทศหนึ่งโดยการร้องขอของประเทศนั้นเพียงประเทศเดียว และยังได้แจ้งแก่รัฐบาลไทยด้วยว่าอียูจะยังไม่ทบทวนการยกเว้นวีซ่าเชงเก้นแก่คนไทยจนกว่าจะถึงกลางปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อียูจะประเมินความเหมาะสมในการยกเว้นวีซ่าให้แก่หลายประเทศภายใต้มาตรฐานการพิจารณาของอียูหลายเรื่อง และเรื่องหนึ่งในมาตรฐานนั้นคือการเคารพหลักสิทธิมนุษยชนในประเทศที่อียูจะพิจารณายกเว้นวีซ่าให้
 
ผมไม่ทราบว่าท่านนายกฯได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ผมขอฝากท่านนายกฯทบทวนการใช้คำว่า ‘ขอร้อง’ เพราะไทยเป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรี สิ่งที่ควรทำคือจัดการภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนที่ดีและเจรจาด้วยศักดิ์ศรีของประเทศที่เท่าเทียมกัน” นายจุลพงศ์กล่าว
 
นายจุลพงศ์ยังกล่าวถึงโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทด้วยว่า ขอเสนอแนะว่าแทนที่รัฐบาลจะออก พระราชบัญญัติกู้เงิน ซึ่งขณะนี้มีเวลาที่สามารถพิจารณาให้ใส่ไว้ในปีงบประมาณ 2568 ในฐานะตัวแทนของประชาชน อยากถามรัฐบาลว่าทำไมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตถึงเงียบไป เดินหน้าโครงการไปถึงไหน และมีวิธีการอย่างไร รัฐบาลที่โปร่งใสควรรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนรับทราบ รัฐบาลรู้แค่ไหนประชาชนก็ควรจะรู้เท่ากัน
 


KKP ชี้นักลงทุนห่วงเศรษฐกิจไทยโตช้า ลุ้นแลนด์บริจด์คุ้มทุน ไม่เพิ่มภาระให้รัฐบาล
https://www.matichon.co.th/economy/news_4399172

KKP ชี้นักลงทุนห่วงเศรษฐกิจไทยโตช้า ลุ้นแลนด์บริจด์คุ้มทุน ไม่เพิ่มภาระให้รัฐบาล
 
วันที่ 29 มกราคม นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการแลนด์บริจด์ ว่า ประเด็นสำคัญนักลงทุนหลายคนห่วงเรื่องแนวโน้มการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย รวมถึงมีการตั้งคำถามว่าเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ หรือศักยภาพกำลังแผ่วลง

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาว่าจะต้องทำอะไร เพื่อยกระดับศักยภาพให้เพิ่มขึ้น ซึ่งนโยบายที่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเป็นประเด็นที่ต้องกลับมาคุยกัน เพราะถ้ายังไม่ทำอะไรแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำลงเรื่อยๆ และผลกระทบจากที่เศรษฐกิจขยายตัวช้าลงเริ่มไปกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของตลาดหุ้น และเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นไทยไม่ขยับไปไหน เนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเริ่มได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่โตช้าลง
 
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า แลนด์บริจด์เป็นหนึ่งในโครงการของรัฐบาล ถ้าพิสูจน์แล้วมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ คุ้มค่าทางการเงิน มีนักลงทุนมาลงทุน และไม่เป็นภาระของรัฐบาลมากเกินไป ก็อาจเป็นคำตอบหนึ่ง แต่แลนด์บริจด์ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ความสนใจการลงทุนในโครงการหรือไม่ คงต้องไปดูการศึกษาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ที่จะมีข้อมูลทางออก ทางเลือกที่นักลงทุนนำไปศึกษาได้

ความจำเป็นที่ต้องสร้างความตระหนัก หากไม่ทำอะไรเลย เศรษฐกิจไทยจะแผ่วลงเรื่องๆ เช่น โอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาหนี้ จะตามมา ดังนั้น จึงมีความสำคัญว่าจะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้วยการปฏิรูปต่างๆ ต้องทำอะไร เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาโตกว่าเดิม”นายพิพัฒน์กล่าว
 
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะฟื้นตัวกลับมาได้ดีขึ้นจากฐานที่ค่อนข้างต่ำ และฟื้นตัวกลับมาช้ามาก ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ขณะนี้ยังไม่กลับมาฟื้นตัวได้ก่อนเกิดโควิด ดังนั้น ปีนี้การฟื้นตัวยังช้าต่อเนื่อง และอาจจะเห็นตัวเลขจีดีพีใกล้ๆ 3% เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจไทยโตช้าลงจากโครงสร้างประชากรวัยทำงานที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ประมาณ 3% หรือต่ำกว่านั้น เพราะข้อมูลค่าเฉลี่ยการขยายตัวเศรษฐกิจหลังปี 2561 ถึงปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.2% และช่วงนี้มีแนวโน้มโตช้าลง
 
ขณะเดียวกัน การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2567 ได้รับแรงผลักดันมาจากการท่องเที่ยวฟื้นขึ้น และการส่งออกปี 2566 จากติดลบจะกลับมาบวกได้ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการใช้จ่ายภายในประเทศ เพราะมีสัญญาณแผ่วลง รวมถึงการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เป็นประเด็นสำคัญ
 
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า หากพิจารณาดูแล้วแรงผลักดันเศรษฐกิจมาจากข้างนอก เครื่องมืออื่นๆ นอกเหนือจากการท่องเที่ยวดับหรือแผ่วก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล และปีที่ผ่านมา การส่งออก การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมติดลบต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน การขยายตัวในเซ็กเตอร์ที่ยังต้องติดตาม
 
“เศรษฐกิจไทยจะไปไกลกว่าเดิมต้องสร้างความรับรู้ร่วมกันของคนในประเทศว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างต้องทำให้เกิดขึ้น รวมถึงมีกระบวนการที่ทำให้เกิดขึ้น ที่ต้องทำอย่างไรให้คุณภาพแรงงาน การศึกษา ผลิตภาพดีขึ้น การลงทุนเพิ่ม ลดการผูกขาดกินรวบที่ต้องทำให้เกิดขึ้น และถูกถกเถียงในฝั่งการเมือง โดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม” นายพิพัฒน์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่