เพราะเราชอบถ่ายรูปยังไงล่ะ : จากอดีตสู่ปัจจุบัน กับเส้นทางการถ่ายรูปของผม

"ทำไมถึงชอบถ่ายรูป ?"
    
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ อิ_อิ7 ....

    มันเป็นคำถามที่ ผมเองก็ไม่มีคำตอบอย่างเป็นรูปธรรมให้กับมัน แต่ผมคิดว่าคำถามนี้ "ทำไมถึงชอบถ่ายรูป" ก็คงจะเหมือนกับอีกหลาย ๆ คำถามหรือหลาย ๆ ปัญหา ที่คำตอบมันก็ซ่อนอยู่ในคำถามนั่นแหละ งั้น มาดูคำตอบของผมกันหน่อยดีกว่า



    จุดประกายแรกที่ทำให้ผมสนใจเรื่องการถ่ายรูป มันไม่ได้มีที่มาจากการดูงานของใคร หรือเห็นช่างภาพคนไหนเป็นไอดอลเลยนะครับ ตัวผมเองไม่ได้มาสายศิลป์เลยด้วยซ้ำ แต่มาจากเจ้าสิ่งนี้....



    ใช่ครับ เจ้า Mustang R15 ม้าศึกคู่มืออายุ 9 ปีของผมนี่เอง เพราะการที่ผมมีเขา ผมเลยได้ออกไปท่องโลกกว้าง ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา หรือแม้กระทั่งได้เห็นในบางมุมที่คนทั่วไปมักจะมองข้าม ซึ่งนั่นแหละครับ คือสิ่งที่จุดประกายผมอย่างแท้จริง มันเป็นโมเม้นที่รู้สึกว่า "เอ้อ ถ่ายเก็บไว้ดูเล่นหน่อยดีกว่า" แค่นั้นเลยครับ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเริ่มออกเดินทางไปที่ต่าง ๆ มากขึ้น อยากจะออกไปนั่งดูพระอทิตย์ขึ้นที่ริมท้องนาบางเลนบ้างล่ะ อยากจะไปส่องนกที่ทะเลชายเลนยามเช้าบ้างล่ะ หรือแม้กระทั่งออกไปดูกิจกรรมของคนในสังคมอื่นที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นแหละครับ ประกายไฟที่ลุกโชนมาจนถึงตอนนี้



    ถึงแม้ว่าจะเคยจับกล้องมาแล้วหลายตัว แต่ ณ. เวลานั้น ผมยังไม่ได้อินอะไรแค่ถ่ายไปเรื่อยเปื่อย ผมเริ่มหัดออกไปถ่ายรูปจริง ๆ จากกล้องตัวนี้ครับ กล้องกิ๊กก๊อกราคามือ 1 (ถ้ายังหาซื้อได้อ่ะนะ) 3,000 กว่าบาทบวกลบ Canon IXUS 185 กล้องที่พอหลาย ๆ คนได้เห็น พวกเขาส่ายหน้า แล้วพูดว่า "ใช้กล้องโทรศัพท์เหอะ ถ้าจะใช้ตัวนี้อ่ะนะ" แต่หารู้ไม่ นี่แหละของดี จริง ๆ แล้วตัวนี้เป็น IXUS 185 ตัวที่ 2 ของผมคครับ ตัวแรกเป็นสีดำ ซึ่งเจ้าเพื่อนตัวดีของผมทำหล่นน้ำตอนไปตกปลาด้วยกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร มันเป็นอุบัติเหตุ บวกกับเจ้าหมอนี่มีความเซ่อซ่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และด้วยความที่กล้องราคาไม่ได้สูงอะไร วันรุ่งขึ้นผมก็เข้าห้าง กดตัวใหม่ซึ่งคือเจ้าตัวนี้ออกมาทันที 



    หลายท่านอาจจะคิดว่า "โอย รูปแบบนี้โทรศัพท์ก็ถ่ายได้ล่ะว้า" ใช่ครับ โทรศัพท์ก็ถ่ายได้ แต่เมื่อราว ๆ 7-8 ปีก่อนโทรศัพท์ที่กล้องถ่ายแบบนี้ราคาไม่ถูกนะ อย่างต่ำก็หลักหมื่น แต่เจ้านี่ 3,000 กว่าบาทเอง และอีกอย่างที่กล้องโทรศัพท์ไม่มี คือการปรับแต่งครับ กล้องโทรศัพท์เขาจะเน้นใช้ง่ายเพื่อทุก ๆ คนที่ใช้โทรศัพท์เครื่องนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ไม่ใช่กับพวกเราชาวกล้อง เพราะถึงจะเป็นคอมแพ็ก เราก็ยังปรับ ISO ได้ ปรับ AE +/- แสงสว่างได้ ซึ่งสมัยนี้โทรศัพท์ทำได้แล้ว แต่เมื่อตอนนั้นน่ะ ส่วนใหญ่มีแต่โทรศัพท์ที่ราคาค่อนข้างสูงเท่านั้นที่ทำได้

    ผ่านไปได้ 3 ปี ผมก็อยากได้อะไรที่มันมีขีดความสามารถสูงขึ้น รายละเอียดดูดีขึ้น และตัวกล้องดูหล่อเหลาขึ้น จากที่ดูไปดูมา สุดท้ายก็มาลงที่ตัวนี้ Fujifilm X30



    ถึงแม้เขาจะสามารถถ่ายในโหมดแมนนวลล้วนได้ ผมก็ยังคงใช้โหมด P แล้วอาศัยเพิ่ม/ลด AE เอา เพราะยังไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการถ่ายรูปอะไรมากนัก แต่ถึงแบนั้น เขาก็ทำหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดี นั่นคือรังสรรค์ซีนที่เห็นอย่างดีที่สุด



    ถึงจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ไม่ได้ไร้ซึ่งข้อเสีย หลังจากใช้มาได้ 2 ปี เขาก็รวน ใช่ครับ มันก็คือเหตุการณ์ที่ผมพูดถึงอยู่บ่อย ๆ นั่นแหละ ท่ามกลางหมอกยามเช้าริมท้องนาบางเลน อากาศเย็นฉ่ำ เป็นบรรยากาศที่ไม่ได้เห็นกันง่าย ๆ ทว่ากล้องในมือดั้นรวน กล้องเข้าโหมดอัลบัมเองทั้งที่ปิดกล้องอยู่ หรือเมื่อเปิดกล้อง กำลังจะกดถ่าย มันก็เข้าโหมดอัลบัมเองจนถ่ายไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้จนแบ็ตหมด ถึงขั้นที่ว่า ผมชาร์จแบ็ตแขวนไว้ มาเปิดกล้องดูอีกทีกล้องแบ็ตหมด หมดทั้งที่ผมไม่ได้เปิดกล้องเลยนะ นั่นทำให้สุดท้ายผมก็ต้องปล่อยเขาไปเพื่อกล้องใหม่ที่ดีกว่า แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ขอย้อนกลับไปยามเช้าในสายหมอกริมท้องนาบางเลนก่อน ในวันนั้นผมคิดกับตัวเอง "กล้องฟิล์มมันคงไม่รวมเพราะหมอกหรอกนะ" นั่นแหละครับ ผมบึ่งไปเมกะพลาซ่าในวันนั้นทันที และกล้องที่ผมสอยมาก็คือ Canon Canonet QL17 Gii



    ตอนนั้นผมอยากได้กล้องที่มันโฟกัสง่าย ๆ ซึ่งจริง ๆ ผมควรต้องซื้อกล้อง SLR แต่ไม่รู้อะไรดลใจ ผมบอกกับร้านเขาไปว่าอยากได้ Rangefinder ร้านเขาเสนอมา 2 รุ่น ตัวนึงคือ Yashica Electro 35 กับเจ้าตัวนี้ ซึ่งสุดท้ายผมก็เลือก Canonet ด้วยเหตุผลเดียวคือเขาโหลดฟิล์มง่าย



    แค่วางหางฟิล์มให้ตรงมาร์ก จบ แค่นั้นเลยครับ ทีเดียวติดแน่นอนถ้าฟิล์มปลายไม่ขัด การมาถึงของ Canonet ทำให้ผมต้องศึกษาการถ่ายรูปอย่างจริง ๆ จัง ๆ เพราะเขาเป็นกล้องเมคานิก มีแค่ระบบออโต้รูรับแสงเท่านั้น เราต้องเลือกสปีดชัตเตอร์เอง และช่วงนี้แหละครับที่ผมเริ่มศึกษางานศิลป์ด้านการถ่ายรูป โดยในเริ่มแรกผมก็ถ่ายในแบบที่ผมชอบ ไม่ใช่ถนัดนะครับ แค่ชอบ นั่นก็คือการถ่ายวิว ทะเลปากแม่น้ำกว้างใหญ่ ทุ่งนาเขียว ๆ สุดลูกหูลูกตา จากนั้นก็เริ่มหัดถ่ายในมุมศิลป์ เล่นกับแสงเงา หรือช่วงที่กำลังเห่อวิถี Gopnik จากเกม S.T.A.L.K.E.R ผมก็ถึงขั้นเข้าไปถ่ายรูปในสถานที่รกร้างที่พอจะเข้าถึงได้ และไม่นานมานี้ผมก็ตกผลึก ด้วยความที่ผมอ่านนิตยสารที่เน้นภาพถ่ายเยอะมาตั้งแต่เด็ก ทั้ง อ.ส.ท. และ Thailand Advance Geographic ทำให้ผมอยากถ่ายให้ได้แบบนั้นบ้าง ซึ่งเจ้า Canonet ก็สามารถสนองความต้องการนี้ได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสา แต่ส่วนมากมักจะทำได้ดีกว่าที่คาด หรือเพราะผมไม่คิดอะไรเยอะก็ไม่รู้นะครับ






    พอได้ Canonet มาไม่นาน ผมก็อยากได้อะไรสักอย่างที่มันใหญ่กว่านี้ หนักกว่านี้ และดูเจ๋งกว่านี้ มันก็คือกล้องสไตล์ TLR นั่นเอง ซึ่งมันก็มีกล้อง TLR อยู่ตัวนึงที่ดูเข้าตาผมอยู่ ราคาไม่แพง ใช้น่าจะไม่ยาก เขาก็คือ Ricohflex Model VII 



    ผมได้เขามาจากงานกล้องฟิล์มที่ลิโด้ จริงอยู่ที่ราคาที่ผมได้มานั้นสูงกว่าในอินเตอร์เน็ต แต่ผมก็ได้เคสและสายคล้องแถมมาด้วย ทว่าด้วยความที่สายคล้องหนังนั้นเก่าและเปื่อยมากแล้ว ผมก็เลยต้องตัดทิ้ง แล้วโมดิฟายสายใหม่เข้าไป เขาเป็นกล้องที่ใช้ไม่ยาก เลนซ์คมใช้ได้ ถ่ายออกมาฟอร์แม็ต 6X6 ได้ 12 รูปต่อ 1 ม้วนฟิล์ม 120มม. ติอย่างเดียวก็คือรูรับแสงกว้างสุดของเขาแคบไปหน่อย และสปีดชัตเตอร์ก็มีให้เลือกน้อยเกิน ทำให้การใช้งานในสภาพแสงน้อยต้องอาศัยฟิล์ม ISO สูงอย่างเดียวเท่านั้น ถึงแบบนั้นในสภาพแสงที่หมาะสมหรือก็คือกลางที่แจ้งแดดเปรี้ยง ๆ กล้องตัวนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง แต่ด้วยความที่เขาตัวหนัก (ก็สมใจอยากผมล่ะ แบกกันเมื่อยเลย 555) ถ่ายได้น้อยรูปตามประสากล้องที่ใช้ฟิล์ม 120มม. ผมก็เลยไม่ค่อยได้งัดออกมาถ่ายอะไรบ่อยเท่าไหร่ จะเอาออกมาถ่ายเฉพาะในโอกาศสำคัญ ๆ เท่านั้น อย่างช่วงเทศกาลทั้งหลาย ล่าสุดก็คือปีใหม่ที่ผ่านมานี่เอง






    หลังจากนั้นผมก็มองหากล้อง 35มม. ที่มีความเป็นมืออาชีพขึ้น จริงอยู่ที่ Canonet เลนซ์คมมาก แต่ด้วยธรรมชาติของเขาที่เป็น Rangefinder เขาถ่ายติด Parallax บ่อยมาก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเลย การถ่ายติดสิ่งไม่พึงประสงค์ในขอบภาพ กล้อง SLR คือคำตอบ ทีแรกผผมก็เล็งกล้องในตำนนานอย่างพวก Olympus OM1 หรือไม่ก็ OM10 แต่สุดท้ายหวยก็มาลงเอยที่ Canon FTBn QL 



    เจ้ากล้องตัวนี้ปัจจุบันผมขายกินไปแล้วครับ เขาเป็นกล้องที่ถ่ายสนุกมือมาก โฟกัสเข้าง่าย เสียงชัตเตอร์ดังสะใจ ตัวใหญ่จับถือเต็มไม้เต็มมือ ดูสมบูรณ์แบบ แต่หารู้ไม่ นี่คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจผิดของผมเอง ณ. ตอนนั้นผมใช้เลนซ์ตัวหลักเป็นเลนซ์ Cannon FD 50 f1.4 f กว้างสะใจเลยครับ 1.4 แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นไปในทางที่ผมคิด เพราะเลนซ์ตัวนี้ดูดแสงหนักมาก ยิ่ง f กว้าง ภาพยิ่งฟุ้งและจะสว่างเกินไป แถมยังโฟกัสยากเกินความจำเป็นด้วย เพราะยิ่งใช้ f กว้างก็ยิ่งโฟกัสหลุด เกิน หรือพลาดได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ผมเลยตัดสินใจปล่อยไป







    จำที่ผมบอกว่าผมปล่อยเจ้า X30 ไปได้ไหมครับ ในเวลาเดียวกับที่ผมตัดสินใจปล่อยเจ้า FTB ตัวแรกไปนั้น ก็คือเวลาเดียวกับที่ผมเอา X30 ไปเทิร์นออกกล้องใหม่ ได้มาเป็น Canon EOS 650D กล้อง DSLR ตัวแรกของผม



    เขาเป็นกล้องที่ใช้ง่ายกว่าที่คิดมาก ใช้เวลาไม่นานก็สามารถเข้าใจฟังก์ชันต์หลาย ๆ อย่างได้ นั่นทำให้หลาย ๆ ทริปไม่นานมานี้นี่คือกล้องที่ผมเอาเขาไปลุยด้วย เขาเป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบมากนะครับสำหรับผม 



    ถึงจะได้ดิจิตอลตัวใหม่มาไม่นาน ผมก็ยังคงชอบรูปฟิล์มอยู่ เพราะอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่นการที่ตัวรูปดูไม่ใสเกินไป ดูมีเลือดมีเนื้อจริง ๆ แต่ในครั้งนี้ผมอยากได้อะไรที่มันจริงจังขึ้น สามารถถ่ายแบบสั่งได้ และถ้าให้ดีก็อยากให้มันใช้เลนซ์ร่วมกับเจ้า 650D ได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นกล้องในวง EOS ยุค 80-90 จนได้มาจับเอา Cannon EOS 650



    เจ้านี่เป็นกล้องที่ใช้ง่าย ตัวกล้องมีวิธีการคำนวนแสงคล้าย ๆ กับดิจิตอล คงเป็นเพราะเขาเข้าใกล้ยุคของดิจิตอลแล้วในตอนนั้น ถ่ายก็ง่าย จะใช้โหมด P แล้วทดแสงด้วย AE ก็ได้ หรือวิธีที่ผมชอบใช้คือโหมด TV  หรือก็คือ Speed Shutter Priority นั่นแหละครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่