[CR] Canon L3 เรียบง่าย คือดีงาม

    ต่อให้จะไปสรรหาความแฟนตาซียังไง สุดท้ายเราก็มักจะต้องกลับมาหาความเรียบง่าย เพราะความเรียบง่ายนั้นมีหลาย ๆ อย่างที่ความแฟนตาซีไม่มี . . . .

แหม่ เปิดหัวกระทู้ได้เจ้าบทเจ้ากลอนดีจังเลยนะตัวผม อ่านนิยายเลิฟคราฟมากก็แบบนี้แหละครับ อิ_อิๅ

    สวัสดีครับทุกท่าน ผมพฤตเอง ไม่นานมานี้ผมเพิ่งจะได้กล้องฟิล์มตัวใหม่ของบ้านมา Canon L3 ตัวนี้นี่เอง 



    หลาย ๆ ท่านที่เล่นกล้องฟิล์ม ชาวเราส่วนใหญ่นั้นชื่นชอบ Leica ใช่ครับ ผมก็ด้วย แต่ว่านะ Leica มันแพงงงงงงงง แพงไปไหน ยิ่งรวมเลนซ์ด้วยแล้วยิ่งแพง ซึ่งสำหรับตัวผม ก็คงได้แค่ฝันนั่นแหละครับ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีกล้องแบบอื่นที่ระบบกลไกคล้าย Leica แต่ราคาย่อมเยากว่า ทางฝั่งรัสเซียก็คือ Zorki กับ Fed หากมาทางญี่ปุ่น ก็ต้อง Canon นั่นแหละ จริงอยู่ที่ยังมี Minolta กับ Olympus และแบรนด์อื่น ๆ ด้วยที่ทำกล้องในลักษณะ Leica Copies นี้ แต่ Canon เขาค่อนข้างชัดเจนว่าเขาจะไล่ตาม Leica กล้องของค่ายนี้ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนการผงาดของ SLR จึงมีความคล้าย Leica ค่อนข้างมาก 

    เล่าประวัติกันสักเล็กน้อย กล้องตระกูล L ของ Canon นั้น เป็นกล้องที่พัฒนาต่อมาจากกล้องตระกูล VT โดยได้เปลี่ยนไกขึ้นฟิล์มด้านล่างมาเป็นก้านโยกขึ้นฟิล์มแบบมาตรฐาน โดยยังคงการใช้ฝาหลังแบบพับที่ได้ต้นแบบมาจาก VT ไว้ โดยตัว L3 กำเหนิดขึ้นในปี 1957 หรือพ.ศ.2500 พอดี (40 ปีก่อนตัวผมจะเกิดครับ อิ_อิ) โดยตัวมันได้ลดทอนอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ จาก L1 เพื่อให้ราคาลดลง เช่น ไม่มีก้านหมุนกรอฟิล์ม แต่เป็นน็อบหมุนคล้าย ๆ กับ Leica M3 กับ M2 และไม่มีเซลฟ์ไทม์เมอร์ 



    ผมสอยเจ้าตัวนี้มาจากการที่ผมเริ่มรำคาญเจ้า FTBn เพราะบางมุมเขาชอบถ่ายออกมาเบลอ เบลอทั้งที่ตรงนั้นแสงก็เยอะพอ แถมสปีดชัตเตอร์ที่ใช้ก็ไม่ได้ต่ำเกินไป แต่ก็ยังเบลอ งงมากเลย เบลอได้ยังไง EOS 650 Film ไม่มีอาการนี้นะครับ ตอนนั้นผมก็เลยคิด SLR กลไกล้วนแบบนั้นกระจกมันสะบัดแรง สงสัยต้องเปลี่ยนมาเป็น Rangefinder ซึ่งตัวผมเองมี Canonet อยู่แล้วก็จริง แต่ก็อยากได้อะไรที่มันดูบึกบึนคล้าย FTBn พอดีกับที่ตอนนั้นในหน้าตลาดของเฟสบุ้ค ผมก็ไปเห็นเจ้าตัวนี้กำลังลงขายอยู่พอดี กดสั่งซื้อโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น ได้กล้องมาวันแรก สภาพค่อนข้างดี แต่เพื่อความแน่ใจ ผมก็ส่งเขาไป CLA ในบ่ายวันนั้นทันที หลังจาก CLA เสร็จ ผมก็จับยัดฟิล์มแล้วออกเดินถ่ายรูปเล่นรอบวังบูรพา



    ฟิล์มที่ใช้คือ Kodak Colorplus 200



    กล้องไม่มีวัดแสง ผมก็เลยใช้วัดแสงในโทรศัพท์บวกกับการทดแสงกับสปีดชัตเตอร์ โดยจะตั้ง F อยู่ที่ 5.6 เป็นค่ากลาง และตั้งสปีดชัตเตอร์ตามแสงในเวลานั้น ๆ เช่น กลางแดดเปรี้ยง ผมจะตั้งไว้ที่ 1/250 แล้วผมก็จะทด F กับสปีดชัตเตอร์ ก็คือ ถ้าอยากปรับ F ให้กว้างขึ้น 2 สต็อป เราก็จะเพิ่มสปีดชัตเตอร์ 1 สต็อปเป็นการชดเชย หรือ ถ่ายย้อนแสงแต่อยากให้มันสว่าง เราก็ลดสปีดลงมา โดยถ้าลงมา 2 สต็อป ก็จะปรับ F ให้แคบลง 1 สต๊อปเป็นการชดเชย ประมาณนี้ครับ ซึ่งฟังดูตลกนะ แต่มันใช้ได้จริง



    เลนซ์ที่ผมได้มาเป็น Canon 50 f1.8 II เป็นเลนซ์ที่คมและทำหน้าชัดหลังเบลอได้สวยเลย อย่างรูปหนุมานนี้ สังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามันเบลอนะครับ เดินจากเมกะพลาซ่ามากำลังเหนื่อย ๆ ยงโย่ยงหยกอยู่หน้าศาลาเฉลิมกรุง จะมือสั่นนิด ๆ ก็ไม่แปลกละ แต่มันก็ไม่ได้เบลอจนเห็นได้ชัดอะไรแบบนั้น



    ตามประสาของ Rangefinder มักจะถ่ายติดอะไรที่ไม่เห็นในวิวไฟน์เดอร์ ยิ่งตัวนี้ไม่มีชดเชยชดเชยพาลาแร็กซ์ด้วย อย่างรูปนี้ติดขอบป้ายดิโอลด์สยามมาด้วยเฉยเลย แต่ก็แก้ไขไม่ได้ยาก ก็คือต้องเล็งเผื่อ ๆ ไว้หน่อย ยิ่งใกล้ก็ยิ่งต้องเผื่อเยอะหน่อย



    ออกจากดิโอก็ต้องวนมาพาหุรัด



    ก่อนจะเดินข้ามสะพานลอยมายังมุมนี้ มุมที่ผมชอบที่สุด ถนนจักรเพชรขาลงจากสะพานพระปกเกล้า



    รูปนี้ผมจงใจลองทำให้มันเบลอ เพราะตอนนั้นเดินมากำลังเหนื่อย ๆ เลย ยืนตตัวตรงนิ่ง ๆไม่ค่อยได้ มันโงนเงน ๆ แต่ยังดูได้ ไม่ได้เบลอเละเทะอะไรขนาดนั้น ชอบสิครับแบบนี้



    ไม่นานหลังจากนั้นในยามบ่ายหลังเลิกงาน ผมก็หิ้วเขาไปถ่ายรูปเล่นที่ช่างชุ่ย ไปมันตอนบ่าย ๆ นี่แหละคนน้อยดี



    มีความป็อบคัลเจอร์



    กะโหลกทองแบบเบิ้ม ๆ  รูปนี้จำได้ว่าไม่อยากให้ติดอะไรสักอย่างที่ด้านขวา ก็เลยกินไปทางซ้ายเยอะหน่อย แต่ก็ยังดูดีอยู่



    ช่างเป็นบ่ายที่ร้อนเหลือหลาย จัดไอติมเย็น ๆ สักถ้วยดีกว่าครับ



    ข้อเสีย ไม่สิ ต้องเรียกว่าเป็นธรรมชาติของกล้องยุคนั้นมากกว่า ที่มักจะถ้ายใกล้สุดได้แค่ราว ๆ 1 เมตรขึ้นไป อย่างรูปนี้ผมก็เข้าใกล้สุดที่พอจะโฟกัสได้แล้วนะครับ



    พาออกภาคสนามครั้งแรกซะหน่อย ทริปแก่งกระจาน-เจ้าสำราญที่ผ่านมานี่เอง อ่านเพิ่มเติมได้จากที่นี่ครับ 



    ตอนแรกที่ได้กล้องมาก็แอบมีกังวลเหมือนกันว่าไม่มีวัดแสงแบบนี้จะเข้ามือไหม ปรากฏว่า เข้ามือซะยิ่งกว่า FTBn อีกครับ ฟิลลิ่งเหมือนใช้ Canonet แต่มีความบึ้กเต็มไม้เต็มมือและถ่ายสนุกแบบ FTBn 



  หลังจากที่ Colorplus ม้วนนั้นหมดม้วน ผมก็สับมาเป็นฟิล์มขาวดำ Kentmere Pan 400 ซึ่งด้วยความที่มันเป็นขาวดำ ผมก่ะจะใช้ถ่ายแสงเงาอาร์ท ๆ ต่อ ก็เลยไม่มีรูปจากฟิล์มม้วนนั้นในกระทู้ แก่งกระจาน-เจ้าสำราญ 



    จังหวะที่ผมกำลังสูบบุหรี่มวนสุดท้ายก่อนเก็บของกลับบ้าน หันมาเห็น แสงกำลังสวย เข้าไปหยิบกล้องออกมากดอีกสักรูปก่อนกลับ



    หาเรื่องไปเที่ยวชุมชนคลองบางหลวงกันหน่อยดีกว่า



    แม่ผมเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ครับว่า ที่บ้านผมสมัยแม่ยังเด็ก ๆ นั้นมีแต่คลองกับสวน ไปไหนก็พายเรือไป แล้วก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งตะวันตกนั่งเรือหางยาวผ่านมาบ่อย ๆ ฟิลลิ่งก็น่าจะประมาณนี้แหละ



    ข้อดีของฟิล์มขาวดำก็คือในบางมุมนั้นมันจะดูเลอะเทอะทันทีถ้าเป็นฟิล์มสี แต่พอเป็นฟิล์มขาวดำแล้ว มันดูกลมกลืนไปหมด อย่างรูปนี้ ตอนนั้นผมอยากให้มีเรือสักลำแล่นเข้ามา แล้วเจ้าลำนี้ก็มาพอดี เรือเก็บขยะของก.ท.ม.ครับ แต่เพราะเป็นฟิล์มขาวดำ มันเลยดูกลมกลืนดี



    ที่นั่นมีบ้านที่เป็นอาร์ทเฮาส์เยอะ 



    เอาจริง ๆ ผมอยากลองถ่ายสตรีทบุคคลแบบจริงจังมากเลยนะครับ แต่มันก็ค่อนข้างส่อไปทางคุกคาม ถึงแม้ในทางกฎหมายมันจะไม่ผิด แต่การทำแบบนี้มันก็เป็นการเรียกต ีนเข้ามาหาตัวได้ไม่ยาก เพราะงั้นหลังจากกดรูปนี้เสร็จผมก็สั่งชานมจากร้านของคุณลุงเขา 1 แก้ว



    ขาวดำหมดม้วนพอดี เปลี่ยนเป็น Colorplus ที่เตรียมมา พร้อมกับเรือหางยาวที่วิ่งมาพอดี จริงอยู่ที่เจ้ากล้องตัวนี้ตัวกรอฟิล์มเป็นน็อบหมุนทื่อ ๆ ไม่ใช่ก้านกรอฟิล์มเหมือนกล้องอื่น แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ ผมอาศัยการบิดข้อมือจากมือทั้งสองข้างที่กำลังจับกล้อง แป้บเดียวก็สุดแล้ว



    เข้ามาเดินด้อม ๆ มอง ๆ ในบ้านที่เป็นอาร์ทเฮาส์



    ออกจากอาร์ทเฮาส์ ผมก็เดินเรื่อยเปื่ยไปตามทาง



    ออกมาจากชุมชนคลองบางหลวง ผมก็เลี้ยวเข้าสาทรมาเดินถ่ายรูปต่อแถว ๆ ถนนเจริญกรุง



    หน้าทางเข้าโรงแรมแชงกรีล่า จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ผมเคยเข้าไปด้วย แต่จำไม่ได้แล้วว่าบรรยากาศเป็นยังไง ตอนนั้นยังเด็กมาก



    แวะไปรษณีย์กลางซะหน่อย



    หลังจากนั้นไม่นานผมก็หาเรื่องมาจัดมื้อเที่ยงที่เยาวราช



    กำลังเดินไปหัวลำโพง หาเรื่องเดินทะลุไปเลยดีกว่า ผมเดินไปเจอกับย่านที่เขาขายอาหารสดครับ ได้เจออาหารแปลก ๆ เยอะแยะเลย



    และแล้วเราก็มาถึงหัวลำโพง ซึ่งตอนนั้นมีรถไฟกำลังเข้าเทียบพอดี รออะไรอยู่ล่ะ กดสิครับ



    ขบวนที่ว่าขณะกำลังถอยออกไป



    มุมยอดฮิต



    บ่ายวันเดียวกันนั้นผมก็บิดรถทะลุจากฝั่งหัวลำโพงมาสีลม ว่าจะมาเดินซื้อของกินที่ดองกิซอยธนิยะ แต่ไหน ๆ มาแล้วก็หาเรื่องกดรูปสักรูป



    สองรูป



    ในสัปดาห์เดียวกันนั้นผมมีงานใหญ่ที่ได้รับมอบหมาย ต้องเข้างาน 4 ทุ่ม เลิกเช้า เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ลองถ่ายรูปตอนกลางคืน รูปนี้เบลอ แต่ก็ยังดูดีอยู่



    ระหว่างที่กำลังกดรูปนี้ผมก็ได้แต่คิดกับตัวเอง ระหว่างที่คนอื่นกำลังกลับบ้านและกำลังคาดหวังถึงมื้อค่ำอร่อย ๆ หรือเตียงนุ่ม ๆ แอร์เย็น ๆ วันของผมมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นและมันคงจะเป็นคืนที่ยาวนาน



    เข้ามานั่งดื่มกาแฟรอเวลาเข้างาน เห็นอะไรสวย ๆ ก็กดไว้ดูสักรูป



    หลังจากที่จัดการงานใหญ่สำเร็จ มันก็คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหอบเอาสังขารตัวเองไปนั่งรับลม สูดกลิ่มดินดมกลิ่นหญ้า ฟังนกการ้องเจื้อยแจ้ว ที่ริมท้องนาบางเลน



    หลังจากเหน็ดเหนื่อยมา 3 วัน เห็นอะไรก็สวยไปหมดละครับตอนนี้
ชื่อสินค้า:   Canon L3
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่