JJNY : 5in1 ศิริกัญญาเตือนรบ.│ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิชื่นชม‘พนิดา’│โควิดขาขึ้น!│จับตาศึกลต.ไต้หวัน│ฮามาสใช้อาวุธเกาหลีเหนือ

ศิริกัญญา เตือน รัฐบาล กฤษฎีกาแค่ชี้เงื่อนไขกม. ยังไม่ได้ไฟเขียว ให้กู้เงิน 5 แสนล้าน 
https://www.matichon.co.th/politics/news_4365246
 
 
‘ศิริกัญญา’ เตือน ’รัฐบาล‘ กฤษฎีกายังไม่ได้ไฟเขียว พ.ร.บ.กู้เงิน แค่ชี้เงื่อนไขทาง กม. ขอให้  คกก.ดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ลงมติอย่างระวัง ลุ้น รบ.ทำตัวเลขให้ดูวิกฤต
 
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 8 มกราคม ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกาส่งความเห็นต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาทสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กลับมาที่รัฐบาล ว่า หากจะมองว่ากฤษฎีกาไฟเขียว และหากตนเองเป็นข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เพราะสิ่งที่กฤษฎีกาบอกคือหากโครงการนี้เป็นไปตามกฏหมาย มาตรา 53 มาตรา 57 มาตรา 6 และมาตรา 9 ของวินัยการเงินการคลัง จะสามารถกระทำได้ แต่หากผิดเงื่อนไขเหล่านั้น ก็ไม่สามารถกระทำได้
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความตามข้อกฎหมายโดยตรง จึงขอฝากไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนว่า กฤษฎีกาให้นำเรื่องนี้กลับเข้ามาประชุมในคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตคณะใหญ่อีกครั้ง ซึ่งมีข้าราชการและผู้มีความรู้หลายท่าน จึงขอให้ระมัดระวังเรื่องการลงมติเกี่ยวกับ พ.ร.บ.กู้เงิน เพื่อให้กระทรวงการคลังกู้เงินด้วย โดยที่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ชี้ชัดอะไรมาเลยว่า อะไรที่สามารถกระทำได้และไม่สามารถกระทำได้ สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลฯชุดใหญ่ ว่าการดำเนินการจะเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมายที่กำหนดไว้หรือไม่
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวด้วยว่า ตนยังรอคอยรายงานการศึกษาความคุ้มค่าของโครงการ เพราะเราไม่มีข้อมูลในเชิงลึก จึงได้แต่ตั้งคำถามจากประสบการณ์ที่ประเทศต่างๆ พยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้ ซึ่งไม่ใช่วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุด แต่อาจจะเป็นวิธีการที่เร็วที่สุด และไม่ได้คุ้มค่าต่อเม็ดเงินมากที่สุด ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นรายละเอียดอย่างครบถ้วนว่าโครงการมูลค่า 5 แสนล้านบาทจะกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เท่าไหร่
 
เมื่อถามว่า จากข้อสังเกตของฝ่ายค้าน รัฐบาลควรประเมินในเรื่องใดบ้างก่อนดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า สิ่งแรกคือต้องประเมินว่าสรุปแล้วประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตหรือไม่ ซึ่งมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายครั้งว่านิยามของคำว่า วิกฤตเศรษฐกิจจะต้องไปในแนวทางที่เห็นเด่นชัดว่าเป็นวิกฤตที่เหมือนกับวิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือโควิด ซึ่งทุกคนเห็นเด่นชัดและไม่มีใครเถียง ดังนั้น จึงตกอยู่กับทางรัฐบาลแล้วว่าจะไปหากลวิธีอย่างใดเพื่อทำให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจดูวิกฤต
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวอีกว่า ลักษณะของวิกฤตคือกิจกรรมทางเศรษฐกิจสะดุดลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น รายได้ของประชาชน GDP การจ้างงาน จึงจะเรียกว่าวิกฤต และต้องดูว่ารัฐบาลจะหาตัวเลขใดมา สุดท้ายหากกำลังพิจารณา พ.ร.บ.กู้เงินกันอยู่ แล้วเศรษฐกิจเกิดกระเตื้องขึ้นมา สรุปแล้วจะยังอยู่ในเงื่อนไขเดิมหรือไม่ ก็ต้องไปลุ้นกัน
 

 
ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ชื่นชม ‘สส.พนิดา’ อภิปรายงบฯ ตำรวจ หวังรัฐบาลแก้ไขจริงจัง
https://www.dailynews.co.th/news/3065217/

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ โพสต์ขอบคุณ "สส.พนิดา" พรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณจัดให้ตำรวจไม่เหมาะสม หวังรัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ชี้ขอเป็นตัวแทนพี่น้องตำรวจชื่นชมและจะอยู่ในความทรงจำพวกเราตลอดไป

เมื่อวันที่ 8 ม.ค. พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ใจความว่า 
 
อนุสนธิ คุณพนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา
 
ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ ได้มีการนำคลิปการอภิปรายของ สส.พนิดา นำเรียนให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ
คลิปดังกล่าวได้เป็นไวรัลแพร่กระจายในหมู่ข้าราชการตำรวจ อดีตตำรวจ ครอบครัวตำรวจ และพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ
 
สส.พนิดา ได้เกริ่นนำถึงวิกฤติศรัทธาตำรวจ ปัญหาการปฏิบัติงานของตำรวจ การเรียกรับสินบน ส่วยทางหลวง ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่รับรู้กันทั่วไปและไม่อาจปฏิเสธได้
 
สส.พนิดา เห็นว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างต้องแก้ปัญหาโดยการจัดสรรงบประมาณให้ตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ตลอดจนเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้ตำรวจอย่างเพียงพอ
 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณทั้งหมด 117,198 ล้านบาท เป็นงบประมาณถึงผู้ปฏิบัติงาน 16,749 ล้านบาท คิดเป็น 14.29 % ซึ่งไม่เพียงพอ รันทดและแร้นแค้น
 
รายละเอียดของปัญหาบางส่วนที่สะท้อนความจริง เช่น น้ำมันรถสายตรวจไม่เพียงพอ (รถยนต์ 3,000 บาท/เดือน รถจักรยานยนต์ 1,000 บาท/เดือน) ต้องไปขอสนับสนุนจากผู้ประกอบการธุรกิจสีเทา วัสดุอุปกรณ์ในการทำงานของพนักงานสอบสวนไม่เพียงพอ ต้องจัดหาเอง (สถานีตำรวจ 1,484 สถานี เฉลี่ยสถานีละ 2,000 บาท/เดือน) ตำรวจ จำนวนประมาณ 200,000 คนเศษ มีหนี้สิน (สหกรณ์ตำรวจ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์) รวม 220,000 ล้านบาท เฉลี่ยตำรวจเป็นหนี้คนละ 1,000,000 บาท สถิติตำรวจเครียดจากการทำงานป่วยด้วยโรคซึมเศร้าเข้ารับการรักษาจำนวน 605 คน เปรียบเทียบอัตรา 1 ใน 4 ของประชาชนโดยทั่วไป สถิติตำรวจลาออกปี 2566 เพิ่มขึ้น จำนวน 1,407 คน และ 1 ใน 3 เป็นพนักงานสอบสวน
 
การจัดงบประมาณของ ตร.ไม่เหมาะสม งบประมาณจำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานถูกปรับลดไม่เพียงพอ จัดงบประมาณไปในส่วนการจัดซื้ออาวุธปืน และวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เป็นต้น
 
สส.พนิดา ตอกย้ำด้วยประโยคที่ว่า “ตำรวจยังดูแลตัวเองไม่ได้ จะไปดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างไร”
 
โดยมีข้อเสนอให้จัดสรรงบประมาณให้ตำรวจอย่างเพียงพอ ปฏิรูปโครงสร้างตำรวจให้กระจายอำนาจ ส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น เพิ่มงบในส่วนบริการประชาชน พัฒนาคุณภาพตำรวจ ปรับปรุงเงินเดือน สวัสดิการตำรวจให้อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีไม่ต้องไปเก็บส่วย เพื่อให้ตำรวจดูแลประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
 
อันที่จริงปัญหาเรื่องต่างๆ ดังกล่าว อดีตผู้บังคับบัญชาตำรวจ และตำรวจหลายคนได้เคยหยิบยกนำเสนอต่อสังคม แต่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ กลับฟังว่าเป็นการแก้ตัวของตำรวจที่ทำผิดกฎหมายตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องปัจเจกคน
 
ผมหวังว่าต่อจากนี้สังคมจะต้องตระหนักให้ความสำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ตลอดจนการจัดทำงบประมาณให้ตำรวจเพียงพอ โดยให้รัฐบาลดำเนินแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
 
ขอชื่นชมและขอขอบพระคุณ สส.พนิดา แทนพี่น้องตำรวจทุกคน สส.พนิดา จะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไปครับ

https://www.facebook.com/aek.angsananont.7/posts/pfbid0t27d6aRPifc7Fj13RCqAjtZAYGLxZ1LAmKXj43LqLG1yUizbA7jm7N4JnBx9Vn34l 



โควิดกำลังขาขึ้น! หมอมนูญเตือน ระบาดหนักแซงหน้าไข้หวัดใหญ่
https://www.dailynews.co.th/news/3064926/

"หมอมนูญ" เผยโควิด-19 อยู่ในช่วงขาขึ้น ระบาดแซงหน้าโรคอื่นๆแล้ว แนะเร่งเฝ้าระวัง ป้องกันดูแลตัวเอง

เมื่อวันที่ 8 ม.ค. นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 โดยระบุว่า 
 
“ติดตามข้อมูลระบาดวิทยา รู้ทันว่ามีโรคไวรัสอะไรระบาดบ้าง” 

เดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ข้อมูลของโรงพยาบาลวิชัยยุทธที่ติดตามโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ไวรัสไข้หวัดใหญ่ อาร์เอสวี (RSV) และ ฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส Human metapneumovirus (hMPV)
 
เดือนที่แล้วพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด 606 ราย เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
พบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เดือนที่แล้วลดลงแต่ยังสูง 208 ราย
เชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) ลดลงเหลือ 19 ราย
และเชื้ออาร์เอสวี (RSV) ลดลงเหลือ 5 ราย
พบโรคไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ 44 ราย
พบโรคชิคุนกุนยาหรือไข้ปวดข้อยุงลาย 2 ราย
โรคไวรัสโนโร (Noro) และโรตา (Rota) ทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เดือนที่แล้วพบโนโรไวรัสเพิ่มขึ้นเป็น 41 ราย ไม่พบโรตาไวรัส
 
การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และโนโรไวรัสยังสูงอยู่ ไวรัสโควิด-19 อยู่ในช่วงขาขึ้นแซงหน้าไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่วนไวรัส hMPV และ RSV อยู่ในช่วงขาลง
 
ช่วงนี้คนป่วยด้วยโรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ยังเยอะอยู่ ขอให้ทุกคนยังควรใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และหมั่นล้างมือ เวลาอยู่ในที่มีผู้คนแออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี และในสถานพยาบาล เพื่อลดการแพร่เชื้อและการรับเชื้อโรคไวรัสทางเดินหายใจทุกชนิด เดือนมกราคม 2567 สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ และไวรัสอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ติดตามรายงานเดือนหน้าครับ..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC
 
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02dxRW2PmSTWY64x18FjHeMv4mn89SpbQnSCJAFocipi2Y8oggjLzkKkkqpVaufS2Nl&id=100066692243273
 

  
จับตาศึกเลือกตั้ง ปธน.ไต้หวัน โพลชี้ 'ไล่ ชิงเต๋อ' จากพรรค รบ.DPP ตัวเต็ง
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2753570

จับตา เลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ไต้หวันเลือกตั้ง ผลโพลชี้ ไล่ ชิงเต๋อ รอง ปธน.คนปัจจุบัน จากพรรครัฐบาล 'DPP' ยังมาแรง เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่ง ขณะที่ นายกเทศมนตรีเมืองนิวไท จากพรรคฝ่ายค้านก๊กมินตั๋ง ตามมาที่สอง
 
เมื่อ 8 มกราคม 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวันเร่งหาเสียงก่อนถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดี  และสมาชิกรัฐสภาครั้งใหม่ ในวันที่ 13 มกราคม 2567 ขณะที่ The Economist รายงานผลโพลสำรวจความนิยมของ 3 ผู้สมัครตัวเต็งชิงประธานาธิบดีคนใหม่ไต้หวัน เมื่อ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ออกมาว่า นายวิลเลียม ไล่ ชิงเต๋อ รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ผู้สมัครของพรรครัฐบาล 'ประชาธิปไตยก้าวหน้า' (DPP) ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านการรวมชาติจีน ได้คะแนนนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง 36%
 
ตามด้วย นายโหว โหย่วอี๋ นายกเทศมนตรีเมืองนิวไทเป ผู้สมัครจากพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคฝ่ายค้านใหญ่ของไต้หวัน ซึ่งมีจุดยืนส่งเสริมความสัมพันธ์กับจีน ได้คะแนนนิยมมาเป็นอันดับสอง 31% และ นายเคอ เหวินเจ๋อ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไทเป จากพรรคไถวันหมิงจ้งตั่ง หรือ พรรคของประชาชนไต้หวัน (Taiwan People’s Party) หรือ TPP ได้คะแนนนิยม 24% อยู่ที่อันดับ 3
 
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวันคราวนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นจากชาวโลก เนื่องจากมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ถึงจุดยืนในเรื่องไต้หวันว่า ดินแดนไต้หวันคือส่วนหนึ่งของจีน และการรวมไต้หวันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งหาก รองประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ จากพรรครัฐบาลประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านการรวมชาติจีนชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวัน ต่อจากประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ย่อมทำให้ความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวันซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ยิ่งทวีความร้อนแรงมากขึ้น.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่