- หลังจากดูจบไปประมาณ 1-2 ปี จะบอกว่าผมมองเป็นภาคแยกของภาพยนตร์สารคดี เรื่อง Gayby Baby (2015) อีกเรื่องก็ว่าไปตามนั้นได้ เพราะ ทั้ง 2 เรื่องเล่าประเด็นคล้ายกันคือ มุมมองของความเป็นเพศที่ 3 เพียงแต่ไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวละครหลายคนเหมือนเรื่องนั้น ซึ่งเรื่องนี้จะเล่าไปที่ตัวละครเดียวก็คือน้อง Sasha ตัวเอกของเรื่องนี้ในช่วงวัย 7 ขวบ ข้อดีคือหนังเกริ่นนำแล้วว่าน้องเธอรู้ตัวเองมาแต่แรกว่าตนเองมีสถานภาพอย่างไร จึงไม่ต้องเสียเวลาไปปูพื้นย้อนหลังเพื่อทำความรู้จักกันใหม่ให้ยืดยาวแล้วไปเล่าในส่วนเหตุการณ์ผ่าน Lifestyle ในชีวิตประจำวันของน้องหลังจากนั้นแทน
- อัตราส่วนผสมระหว่างการเล่าจะมีการนำเสนอเชิงข้อมูลแบบ Document ผสมกับความเป็น Based on True Story จากเหตุการณ์จริงผ่านการสนทนาของตัวละครที่เกี่ยวข้องกับน้อง Sasha แล้วแทรกความเป็น Cinema ลงไปเพื่อปรุงแต่งความบันเทิงนิด ๆ แต่ผสมกันแล้วให้อัตราในแบบที่พอดีอยู่ ถึงแม้การดำเนินดูไม่ค่อยเป็นเนื้อเดียวกันเท่าไหร่แต่ขก็มีความลื่นไหลไปกับบทที่เน้นสำรวจชีวิตของน้องและสมาชิกในครอบครัวของน้องเป็นหลัก มีแวะเวียนไปวาร์ปคุยกับเพื่อนของน้อง , ครู หรือ จิตแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับน้องบ้างเพื่ออ้างอิงถึงการมีอยู่ว่ากูมี Something กับน้องอย่างไรเป็นหลักฐานชี้แนะคนดูและเพิ่มน้ำหนักให้เรื่องมีมิติขึ้นอย่างช้า ๆ เอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบเพื่อปล่อยใจเสพกับบรรยากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยโทน PASTEL ชวนฟรุ้งฟริ้งให้จิตใจเบิกบาน แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าหลังม่านนั้นกลับปกปิดด้วยความหม่นทางอารมณ์ที่ชวนกระอักกระอ่วนต่อโลกแห่งความเป็นจริงที่ยังคงโหดร้ายและไม่ปราณีใครในระบอบชายเป็นใหญ่ ข้อดีอีกอย่างคือความน่ารัก น่าเอ็นดูของน้อง Sasha มีส่วนสำคัญที่ช่วยแบกเรื่องให้ไม่น่าเบื่อได้เป็นอย่างมาก
- ตลอดเวลาที่ดูคือมันไม่ได้มี Scene ให้เราขำขันหรือตกใจลุ้นระทึก แต่ก็มีแวะข้างทางพอที่จะกระตุ้นกับความรู้สึกของเราให้ร่วมไปกับเรื่องได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ยังอยู่ในโทนใน WAY ที่กำหนดและควบคุมไว้ได้ ชวนให้เอาใจช่วยน้อง Sasha ชนะใจตนเองและปลดล็อกตัวเองให้สำเร็จตั้งแต่ต้นจนจบ ทำยังไงให้คนรอบตัวหรือสังคมเข้าใจและยอมรับตัวตนของน้องได้ ยังดีที่ครอบครัวน้อง Support ทุกอย่าง ช่วยเหลือดีมาก ถึงแม้ตัวแม่จะกังวลอยู่บ้างเป็นระยะ ส่วนตัวพ่อแกสายบู๊ ไม่ว่าใครจะมองจะว่าน้องยังไงพ่อแกพร้อมบวกท้าชนทุกสถานการณ์ไม่ว่าใครจะใหญ่มาจากไหน ซึ่งผมชอบความแตกต่างที่หลากหลายของครอบครัวน้องตรงที่ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของน้องให้กลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและแข็งแรงได้ ต่อให้มีรอยร้าวจากบาดแผลที่กระทบกระทั่งจิตใจของแต่ละคนแต่ทุกคนก็สามารถเป็นพลังของการก้าวข้ามอุปสรรคของน้องให้เติบโตต่อไปข้างหน้าได้อย่างสวยงาม
- ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 28 นาที ถือว่าที่ให้มาได้ตามมาตรฐานกับความยาวที่ได้มา การเดินเรื่องแน่นอนว่ามีความเรียบง่ายตามสไตล์แนวนี้ ทั้ง มูดโทน การจัดแสง การปรับสีชวนสว่างสดใสจนดูโลกสวย เวิ่นเว้อ ยืดย้วยไปหน่อยตามสไตล์แนวนี้จนชินไปแล้ว แถม Scene ในพาร์ท Drama ยังนำเสนอได้ไม่เข้มข้นเท่าไหร่ทั้งที่ตีประเด็นได้น่าสนใจ คงเพราะมีเด็กอยู่ในเรื่องด้วยจึงพยายามลดความเครียดลงให้มากที่สุด ระหว่างทางขณะดูจึงเผลอวูบไปบ้างเป็นระยะ ทั้งที่มีประเด็นทีน่าสนใจอย่าง LBTGQ นำเสนอไว้เป็นตัวชูนำอยู่ แม้ว่าประเทศที่เจริญอย่างอเมริกาเอย หรือ ทางฝั่งยุโรป ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งยังจำกัดสิทธิเพศสภาพผ่านการบูลลี่อยู่แถมมีแนวโน้มว่าจะดูรุนแรงขึ้นต่อไปเมื่อสภาพแวดล้อมถูกควบคุมด้วยอิทธิพลของสื่อ สังคมก็ต้องกลับมาตั้งคำถามกันว่า เราสามารถกำหนดเพศเองได้หรือเปล่า ? หรือ แล้วถ้าเราทำอะไรไม่ถูกใจสังคมจะเป็นสิ่งที่ผิดหรือเปล่า ? คำถามเหล่านี้คือเสียงสะท้อนต่อสังคมผ่านแง่มุมมองของน้อง Sasha ที่ต้องประสบพบเจอทั้งที่โรงเรียน และ ที่บ้านเธอเอง ด้วยอากัปกิริยาที่ดูเหมือนว่าไม่รังเกียจแต่ใจจริงโคตรขยะแขยงเต็มทีจนดูออกว่าแอ๊บ
โดยที่น้องแค่ปฎิบัติในสิ่งที่ต้องการไม่ได้ทำผิดและไปทำให้ใครเดือดร้อน เพียงเพราะไม่ถูกใจสังคมแค่นั้น มีแต่พวกแร้งทึ้งรอบข้างนั่นแหล่ะเสร่อร้อนตัวเองดิ้นกันเป็นแถบ มี Scene หนึ่งที่เด็กคนอื่นเรียกเธอด้วยคำสรรพนามว่า เขา แต่น้องอยากให้เรียกเป็น เธอ แทนมากกว่า ซึ่งเป็น Scene ที่แสดงความเป็นเชิงสัญลักษณ์อย่างที่คนมีจริยธรรมเขาทำกันคือการสื่อ Message ว่าฉันก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง กรุณาให้เกียรติดิฉันด้วย เพียงแค่เกิดมาเป็นผู้ชายก็แค่นั้นจะไปยากอะไรวะ ? ถ้ากูเลือกเกิดได้กูเลือกไปแล้ว
- ชอบ อ่อนโยน ประทับใจ เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ช่วยเยียวยาใจที่เหมาะแก่การรับชมช่วงเทศกาลส่งท้ายปีหรือวันไหน ๆ ที่เรารู้สึกหมดหวัง กำลังใจลดหายไปไม่จำเป็นต้องวันเทศกาล เพราะภาพรวมทั้งหมดดูสดใส เป็นมิตร ละ ไม่เป็นพิษมีภัยกับใครจึงเหมาะที่จะสามารถช่วยเติมแต่งวันแย่ ๆ ให้กลายเป็นวันดี ๆ ได้ แถมบทสรุปก็หาทางลงแบบปลายเปิดได้ลงตัวและให้พลังบวกอย่างสวยงาม ถึงแม้จะดูไปนานแล้ว แต่ภาพทุก Shot ยังคงติดอยู่ในใจอยู่เสมอ แถมได้สารหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ระหว่างทางนำไปคิดต่อตามอัธยาศัย แต่สิ่งที่สัมผัสได้ในเรื่องที่ผมถูกใจก็คือ การที่น้อง Sasha เอาชนะตนเองได้สำเร็จในเบื้องต้น โดยมีครอบครัวให้ความรัก ให้ความช่วยเหลือ ทำให้เพื่อนรู้แจ้ง โรงเรียนเข้าใจ และสังคมยอมรับในตัวเธอเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ โดยที่คนดูอย่างผมหวังว่าด่านต่อไปนี้เธออาจจะต้องพบกับบททดสอบจากการเติบโต การเรียนรู้เผชิญหน้าในสังคมภายนอกต่อไปอีกมากทีละขั้นที่เต็มไปด้วยอุปสรรค กิเลส การแข่งขัน จากคนมากมาย ต่าง ๆ ได้อย่างไรต่อไปโดยที่ไม่เสียตัวตนไปจากเดิมที่ได้เป็นตั้งแต่เกิด
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.77 Little Girl : เสียงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าความรัก
- หลังจากดูจบไปประมาณ 1-2 ปี จะบอกว่าผมมองเป็นภาคแยกของภาพยนตร์สารคดี เรื่อง Gayby Baby (2015) อีกเรื่องก็ว่าไปตามนั้นได้ เพราะ ทั้ง 2 เรื่องเล่าประเด็นคล้ายกันคือ มุมมองของความเป็นเพศที่ 3 เพียงแต่ไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวละครหลายคนเหมือนเรื่องนั้น ซึ่งเรื่องนี้จะเล่าไปที่ตัวละครเดียวก็คือน้อง Sasha ตัวเอกของเรื่องนี้ในช่วงวัย 7 ขวบ ข้อดีคือหนังเกริ่นนำแล้วว่าน้องเธอรู้ตัวเองมาแต่แรกว่าตนเองมีสถานภาพอย่างไร จึงไม่ต้องเสียเวลาไปปูพื้นย้อนหลังเพื่อทำความรู้จักกันใหม่ให้ยืดยาวแล้วไปเล่าในส่วนเหตุการณ์ผ่าน Lifestyle ในชีวิตประจำวันของน้องหลังจากนั้นแทน
- อัตราส่วนผสมระหว่างการเล่าจะมีการนำเสนอเชิงข้อมูลแบบ Document ผสมกับความเป็น Based on True Story จากเหตุการณ์จริงผ่านการสนทนาของตัวละครที่เกี่ยวข้องกับน้อง Sasha แล้วแทรกความเป็น Cinema ลงไปเพื่อปรุงแต่งความบันเทิงนิด ๆ แต่ผสมกันแล้วให้อัตราในแบบที่พอดีอยู่ ถึงแม้การดำเนินดูไม่ค่อยเป็นเนื้อเดียวกันเท่าไหร่แต่ขก็มีความลื่นไหลไปกับบทที่เน้นสำรวจชีวิตของน้องและสมาชิกในครอบครัวของน้องเป็นหลัก มีแวะเวียนไปวาร์ปคุยกับเพื่อนของน้อง , ครู หรือ จิตแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับน้องบ้างเพื่ออ้างอิงถึงการมีอยู่ว่ากูมี Something กับน้องอย่างไรเป็นหลักฐานชี้แนะคนดูและเพิ่มน้ำหนักให้เรื่องมีมิติขึ้นอย่างช้า ๆ เอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบเพื่อปล่อยใจเสพกับบรรยากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยโทน PASTEL ชวนฟรุ้งฟริ้งให้จิตใจเบิกบาน แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าหลังม่านนั้นกลับปกปิดด้วยความหม่นทางอารมณ์ที่ชวนกระอักกระอ่วนต่อโลกแห่งความเป็นจริงที่ยังคงโหดร้ายและไม่ปราณีใครในระบอบชายเป็นใหญ่ ข้อดีอีกอย่างคือความน่ารัก น่าเอ็นดูของน้อง Sasha มีส่วนสำคัญที่ช่วยแบกเรื่องให้ไม่น่าเบื่อได้เป็นอย่างมาก
- ตลอดเวลาที่ดูคือมันไม่ได้มี Scene ให้เราขำขันหรือตกใจลุ้นระทึก แต่ก็มีแวะข้างทางพอที่จะกระตุ้นกับความรู้สึกของเราให้ร่วมไปกับเรื่องได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ยังอยู่ในโทนใน WAY ที่กำหนดและควบคุมไว้ได้ ชวนให้เอาใจช่วยน้อง Sasha ชนะใจตนเองและปลดล็อกตัวเองให้สำเร็จตั้งแต่ต้นจนจบ ทำยังไงให้คนรอบตัวหรือสังคมเข้าใจและยอมรับตัวตนของน้องได้ ยังดีที่ครอบครัวน้อง Support ทุกอย่าง ช่วยเหลือดีมาก ถึงแม้ตัวแม่จะกังวลอยู่บ้างเป็นระยะ ส่วนตัวพ่อแกสายบู๊ ไม่ว่าใครจะมองจะว่าน้องยังไงพ่อแกพร้อมบวกท้าชนทุกสถานการณ์ไม่ว่าใครจะใหญ่มาจากไหน ซึ่งผมชอบความแตกต่างที่หลากหลายของครอบครัวน้องตรงที่ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของน้องให้กลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและแข็งแรงได้ ต่อให้มีรอยร้าวจากบาดแผลที่กระทบกระทั่งจิตใจของแต่ละคนแต่ทุกคนก็สามารถเป็นพลังของการก้าวข้ามอุปสรรคของน้องให้เติบโตต่อไปข้างหน้าได้อย่างสวยงาม
- ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 28 นาที ถือว่าที่ให้มาได้ตามมาตรฐานกับความยาวที่ได้มา การเดินเรื่องแน่นอนว่ามีความเรียบง่ายตามสไตล์แนวนี้ ทั้ง มูดโทน การจัดแสง การปรับสีชวนสว่างสดใสจนดูโลกสวย เวิ่นเว้อ ยืดย้วยไปหน่อยตามสไตล์แนวนี้จนชินไปแล้ว แถม Scene ในพาร์ท Drama ยังนำเสนอได้ไม่เข้มข้นเท่าไหร่ทั้งที่ตีประเด็นได้น่าสนใจ คงเพราะมีเด็กอยู่ในเรื่องด้วยจึงพยายามลดความเครียดลงให้มากที่สุด ระหว่างทางขณะดูจึงเผลอวูบไปบ้างเป็นระยะ ทั้งที่มีประเด็นทีน่าสนใจอย่าง LBTGQ นำเสนอไว้เป็นตัวชูนำอยู่ แม้ว่าประเทศที่เจริญอย่างอเมริกาเอย หรือ ทางฝั่งยุโรป ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งยังจำกัดสิทธิเพศสภาพผ่านการบูลลี่อยู่แถมมีแนวโน้มว่าจะดูรุนแรงขึ้นต่อไปเมื่อสภาพแวดล้อมถูกควบคุมด้วยอิทธิพลของสื่อ สังคมก็ต้องกลับมาตั้งคำถามกันว่า เราสามารถกำหนดเพศเองได้หรือเปล่า ? หรือ แล้วถ้าเราทำอะไรไม่ถูกใจสังคมจะเป็นสิ่งที่ผิดหรือเปล่า ? คำถามเหล่านี้คือเสียงสะท้อนต่อสังคมผ่านแง่มุมมองของน้อง Sasha ที่ต้องประสบพบเจอทั้งที่โรงเรียน และ ที่บ้านเธอเอง ด้วยอากัปกิริยาที่ดูเหมือนว่าไม่รังเกียจแต่ใจจริงโคตรขยะแขยงเต็มทีจนดูออกว่าแอ๊บ โดยที่น้องแค่ปฎิบัติในสิ่งที่ต้องการไม่ได้ทำผิดและไปทำให้ใครเดือดร้อน เพียงเพราะไม่ถูกใจสังคมแค่นั้น มีแต่พวกแร้งทึ้งรอบข้างนั่นแหล่ะเสร่อร้อนตัวเองดิ้นกันเป็นแถบ มี Scene หนึ่งที่เด็กคนอื่นเรียกเธอด้วยคำสรรพนามว่า เขา แต่น้องอยากให้เรียกเป็น เธอ แทนมากกว่า ซึ่งเป็น Scene ที่แสดงความเป็นเชิงสัญลักษณ์อย่างที่คนมีจริยธรรมเขาทำกันคือการสื่อ Message ว่าฉันก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง กรุณาให้เกียรติดิฉันด้วย เพียงแค่เกิดมาเป็นผู้ชายก็แค่นั้นจะไปยากอะไรวะ ? ถ้ากูเลือกเกิดได้กูเลือกไปแล้ว
- ชอบ อ่อนโยน ประทับใจ เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ช่วยเยียวยาใจที่เหมาะแก่การรับชมช่วงเทศกาลส่งท้ายปีหรือวันไหน ๆ ที่เรารู้สึกหมดหวัง กำลังใจลดหายไปไม่จำเป็นต้องวันเทศกาล เพราะภาพรวมทั้งหมดดูสดใส เป็นมิตร ละ ไม่เป็นพิษมีภัยกับใครจึงเหมาะที่จะสามารถช่วยเติมแต่งวันแย่ ๆ ให้กลายเป็นวันดี ๆ ได้ แถมบทสรุปก็หาทางลงแบบปลายเปิดได้ลงตัวและให้พลังบวกอย่างสวยงาม ถึงแม้จะดูไปนานแล้ว แต่ภาพทุก Shot ยังคงติดอยู่ในใจอยู่เสมอ แถมได้สารหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ระหว่างทางนำไปคิดต่อตามอัธยาศัย แต่สิ่งที่สัมผัสได้ในเรื่องที่ผมถูกใจก็คือ การที่น้อง Sasha เอาชนะตนเองได้สำเร็จในเบื้องต้น โดยมีครอบครัวให้ความรัก ให้ความช่วยเหลือ ทำให้เพื่อนรู้แจ้ง โรงเรียนเข้าใจ และสังคมยอมรับในตัวเธอเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ โดยที่คนดูอย่างผมหวังว่าด่านต่อไปนี้เธออาจจะต้องพบกับบททดสอบจากการเติบโต การเรียนรู้เผชิญหน้าในสังคมภายนอกต่อไปอีกมากทีละขั้นที่เต็มไปด้วยอุปสรรค กิเลส การแข่งขัน จากคนมากมาย ต่าง ๆ ได้อย่างไรต่อไปโดยที่ไม่เสียตัวตนไปจากเดิมที่ได้เป็นตั้งแต่เกิด
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้