ผมพยายามคิดเพื่อหลอกตัวเองอยู่เสมอ ว่าผมเกิดมาจากขิง จากข่า หรือจากพืชอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเขาสองคนนั้น
เพราะอะไรน่ะเหรอ!
ผมรังเกียจตัวเอง ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่คอยแต่ทวงบุญคุณผมอยู่ตลอดเวลา
ผมรังเกียจตัวเองที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ของคนที่ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจผมอยู่เรื่อยมา
ผมต้องใช้เวลาอยู่เป็นปีๆ เพื่อบำบัดจิตตัวเอง ให้พ้นจากความรู้สึกที่ตามหลอกหลอน คุมขังผมแบบนั้น แทนการหันไปพึ่งยาเสพติด การทำร้ายตัวเอง หรือการฆ่าตัวตาย
ชีวิตที่คนภายนอกมองเข้ามา ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีหน้ามีตาในสังคม ออกงานทั้งครองครัว อบอุ่น พ่อแม่ให้ความสำคัญ ผ่านพี่เลี้ยงที่คอยปรนิบัติดูแลประคบประหงมไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่แท้จริงเบื้องหลัง คือความขมขื่น ที่เกินภาษาใดในโลกจะอธิบาย เพราะมันคือเงื่อนไขที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่าง อย่างเลือดเย็น!
ความว้าเหว่ ความเดียวดาย เหมือนคนที่เดินอยู่คนเดียวในโลก เกิดขึ้นจากแรงกดดัน ที่พวกเขาบีบเราจากทุกทาง ทั้งจากสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวโดยตรงที่เขาสร้างขึ้น ตลอดจนสภาพแวดล้อมภายนอกที่เขาเอามาล้อมรอบอีกที เพื่อบีบบังคับให้เราต้องทำ
โลกทั้งใบที่ผมรับรู้ในตอนนั้น มันมาจากพวกเขา หมด ผมเป็นเสมือนนก 1 ตัว ที่ถูกขังอยู่ในกรงทอง ที่ถูกหลอกล่อให้อยู่ในนั้นด้วยอาหาร แทนการถูกปล่อยให้ออกไปหากิน ค้นพบเสรีภาพ และแนวทางของตัวเองข้างนอก
ผมโดนจับจ้องตั้งแต่ที่บ้าน ยันโรงเรียน เพราะครูทุกคนก็คือลูกศิษย์เขา เขาสามารถรับรู้พฤติกรรมผมตลอดเวลา อยู่บ้านเจอเขา อยู่โรงเรียนเจอครู ชีวิตในวัยเรียน 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาไหนที่จะพ้นจากการสอดส่องของพวกเขาไปได้ แม้แต่ห้องนอนตัวเอง หรือสีที่ตัวเองชอบ ก็โดนยัดเยียดว่าต้องชอบสีแบบเขา
ในยามที่เราผิดพลาด เขาจะซ้ำเติมว่าเป็นเพราะไม่เชื่อเขา แต่ในขณะเดียวกัน ตอนที่เราสำเร็จ เขาก็จะคอยฉกฉวยโอกาส เพื่อทวงบุญคุณ ว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาอบรมสั่งสอนเรามา
ณ ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร เกิดมาเพื่ออะไร มีเป้าหมายอย่างไร หรือพูดให้เข้าใจที่สุด คือ มองไม่เห็นแม้แต่ “เงา” ของตัวเอง
ไม่ว่าจะทำดี ทำแย่ มันไม่เคยเพียงพอสำหรับพวกเขา อะไรที่เขาไม่ต้องการจะถูกลดทอนความสำคัญลง ในขณะที่อะไรที่เขาต้องการ จะถูกแย่งความภาคภูมิใจไปเป็นของเขาจนหมดสิ้น
ผมถูกทำให้เสมือนตัวเล็กที่สุด มีอำนาจต่อรองน้อยที่สุด หรือที่แย่ที่สุด คือถูกทำให้ไร้ความรู้สึก เสมอเหมือนหุ่นยนต์ที่มีแต่ร่างกาย แต่ไร้จิตใจ ในขณะที่ตัวพวกเขาเอง มีความเป็นมนุษย์อยู่เต็มเปี่ยม และพร้อมที่จะทวงความรู้สึกต่างๆนั้น ผ่านเงื่อนไขของความรักอยู่ฝ่ายเดียว
ไม่เคยชม ไม่เคยขอโทษ ไม่เคยพูดว่าไม่เป็นไร ในขณะที่พวกเขาพูดอะไรก็ได้ ความคาดหวังของเขา มันสุดโต่ง และตึงอยู่ตลอดเวลา ในขณะอีกด้าน กลับตรงกันข้าม ต้องเฟรนลี่ ให้อภัย ทำให้คนรอบข้างประทับใจเสมอ ถ้าดื้อนอกบ้าน ก็จะโดนตีเมื่อตอนกลับถึงบ้าน ข้อหาที่ทำให้เขาเสียหน้า
วันจัน-ศุกร เรียนเต็มวัน พิเศษต่อถึง5โมง เทควันโดต่อถึง 1 ทุ่ม วันไหนปวดหัวไมเกรน (เพิ่งมารู้ตอนโตว่าเป็นไมเกรน จากกาาที่เขาไม่เคยสนใจเรา) ก็จะโดนกล่าวหาว่าหลอก ไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจอะไรเราเลย
วันเสาเรียนพิเศษ เก้าโมงเช้าถึงสามโมงเย็น …วันอาทิตจ้างครูสอนดนตรีไทยมาสอนถึงบ้าน 7 โมงเช้า เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เรามีวินัยตื่นเช้าแบบระบบทหาร …ไม่เคยเลย ซักวัน ที่จะตื่นสายๆ สบายอารม มาดูการ์ตูนแบบเด็กทั่วไป
ตกเย็นวันอาทิตย์ต่อด้วยเรียนพิเศษกับเพื่อนเขาอีกรอบ พร้อมกับเปรียบเทียบเรากับลูกเพื่อนตัวเองที่โตกว่า เพื่อกดดันเรา พอเราบอกว่าอย่ากดดัน ก็จะสวนกลับมาว่าหวังดี ไม่ได้กดดัน วนเวียนอยู่แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น จนผมหลอน
เรียนต้องดี กีฬาต้องเก่ง ดนตรีต้องได้ สังคมต้องเลิศ กิจกรรมความเป็นผู้นำ ต้องไม่มีที่ติ ต้นแบบจากในหลวง ร.9 เอามาใส่ลูกหมด ตรงไหนขาดตกบกพร่อง พร้อมที่จะทุ่ม ใส่ จัดเต็ม ทุกด้าน แบบไม่ยั้ง ขัดขืน มีเทศแช่งว่าไม่เจริญไปถึงชาติหน้า ชมลูกคนอื่นว่าอภิชาติบุตรใส่หน้าผมตอนที่ผมทำแบบเด็กคนนั้นไม่ได้
ตอน ป.1 คาดหวังให้เก่งเท่า ป.2 พอเก่งเท่า ป.2 คาดหวังต่อให้ถึง ป.3 พอเก่งถึง ป.3 ก็จะเอาถึง ป.4 มันไม่เคยมีอะไรเพียงพอสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่เรื่องเดียว เพราะเพียงแค่เขาขยับปาก มันก็จะมีแต่ความต้องการของเขา
ทุนก็ต้องได้ เพื่อชดเชยกับที่ผมเกิดช้า เลยต้องมีหน้าที่รับผิดชอบตัวเองด้วยการเรียนฟรีก่อนพ่อแม่ตาย หรือพูดง่ายๆ การที่เขามีลูกตอนแก่ กลายเป็นความผิด หรือความรับผิดชอบของผมอยู่ฝ่ายเดียว
ไม่มีเลย ช่องว่างแม้แต่ที่จะคิด ช่องว่างแม้แต่ที่จะเป็นตัวเอง ทุกอย่างถูกจัดสรรให้เดินตามสิ่งที่เขาเลือกให้เป็น แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกจะเป็น
…
สิ่งที่ผมเล่าทั้งหมดนี้ คือประสบการ1ในล้านของทั้งหมดที่ผมเจอตลอดชีวิต34 ปี มันคือสิ่งที่ผมอยากจะลืม ในขณะเดียวกัน ก็อยากถ่ายทอดออกมา เพื่อให้คนในโลกนี้รับรู้ไว้ ว่ามีเหตุการแบบนี้เกิดขึ้นกับผม และผมได้ก้าวข้ามมันได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่าน และเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ประสบพบเจอเหตุการเดียวกันนี้แบบผมครับ
….
Backgrond , อายุ 34 ปี เกิดปี พศ 2533 มีพ่ออายุ 79 แม่ อายุ 77 หรือพูดให้เห็นภาพคือ แม่กับผมห่างกัน 42 ปี ผม Gen Y ส่วนพ่อแม่ผมคือ Baby boomer
….
ผมพยายามคิดเพื่อหลอกตัวเองอยู่เสมอ ว่าผมเกิดมาจากขิง จากข่า ที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเขาสองคนนั้น
เพราะอะไรน่ะเหรอ!
ผมรังเกียจตัวเอง ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่คอยแต่ทวงบุญคุณผมอยู่ตลอดเวลา
ผมรังเกียจตัวเองที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ของคนที่ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจผมอยู่เรื่อยมา
ผมต้องใช้เวลาอยู่เป็นปีๆ เพื่อบำบัดจิตตัวเอง ให้พ้นจากความรู้สึกที่ตามหลอกหลอน คุมขังผมแบบนั้น แทนการหันไปพึ่งยาเสพติด การทำร้ายตัวเอง หรือการฆ่าตัวตาย
ชีวิตที่คนภายนอกมองเข้ามา ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีหน้ามีตาในสังคม ออกงานทั้งครองครัว อบอุ่น พ่อแม่ให้ความสำคัญ ผ่านพี่เลี้ยงที่คอยปรนิบัติดูแลประคบประหงมไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่แท้จริงเบื้องหลัง คือความขมขื่น ที่เกินภาษาใดในโลกจะอธิบาย เพราะมันคือเงื่อนไขที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่าง อย่างเลือดเย็น!
ความว้าเหว่ ความเดียวดาย เหมือนคนที่เดินอยู่คนเดียวในโลก เกิดขึ้นจากแรงกดดัน ที่พวกเขาบีบเราจากทุกทาง ทั้งจากสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวโดยตรงที่เขาสร้างขึ้น ตลอดจนสภาพแวดล้อมภายนอกที่เขาเอามาล้อมรอบอีกที เพื่อบีบบังคับให้เราต้องทำ
โลกทั้งใบที่ผมรับรู้ในตอนนั้น มันมาจากพวกเขา หมด ผมเป็นเสมือนนก 1 ตัว ที่ถูกขังอยู่ในกรงทอง ที่ถูกหลอกล่อให้อยู่ในนั้นด้วยอาหาร แทนการถูกปล่อยให้ออกไปหากิน ค้นพบเสรีภาพ และแนวทางของตัวเองข้างนอก
ผมโดนจับจ้องตั้งแต่ที่บ้าน ยันโรงเรียน เพราะครูทุกคนก็คือลูกศิษย์เขา เขาสามารถรับรู้พฤติกรรมผมตลอดเวลา อยู่บ้านเจอเขา อยู่โรงเรียนเจอครู ชีวิตในวัยเรียน 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาไหนที่จะพ้นจากการสอดส่องของพวกเขาไปได้ แม้แต่ห้องนอนตัวเอง หรือสีที่ตัวเองชอบ ก็โดนยัดเยียดว่าต้องชอบสีแบบเขา
ในยามที่เราผิดพลาด เขาจะซ้ำเติมว่าเป็นเพราะไม่เชื่อเขา แต่ในขณะเดียวกัน ตอนที่เราสำเร็จ เขาก็จะคอยฉกฉวยโอกาส เพื่อทวงบุญคุณ ว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาอบรมสั่งสอนเรามา
ณ ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร เกิดมาเพื่ออะไร มีเป้าหมายอย่างไร หรือพูดให้เข้าใจที่สุด คือ มองไม่เห็นแม้แต่ “เงา” ของตัวเอง
ไม่ว่าจะทำดี ทำแย่ มันไม่เคยเพียงพอสำหรับพวกเขา อะไรที่เขาไม่ต้องการจะถูกลดทอนความสำคัญลง ในขณะที่อะไรที่เขาต้องการ จะถูกแย่งความภาคภูมิใจไปเป็นของเขาจนหมดสิ้น
ผมถูกทำให้เสมือนตัวเล็กที่สุด มีอำนาจต่อรองน้อยที่สุด หรือที่แย่ที่สุด คือถูกทำให้ไร้ความรู้สึก เสมอเหมือนหุ่นยนต์ที่มีแต่ร่างกาย แต่ไร้จิตใจ ในขณะที่ตัวพวกเขาเอง มีความเป็นมนุษย์อยู่เต็มเปี่ยม และพร้อมที่จะทวงความรู้สึกต่างๆนั้น ผ่านเงื่อนไขของความรักอยู่ฝ่ายเดียว
ไม่เคยชม ไม่เคยขอโทษ ไม่เคยพูดว่าไม่เป็นไร ในขณะที่พวกเขาพูดอะไรก็ได้ ความคาดหวังของเขา มันสุดโต่ง และตึงอยู่ตลอดเวลา ในขณะอีกด้าน กลับตรงกันข้าม ต้องเฟรนลี่ ให้อภัย ทำให้คนรอบข้างประทับใจเสมอ ถ้าดื้อนอกบ้าน ก็จะโดนตีเมื่อตอนกลับถึงบ้าน ข้อหาที่ทำให้เขาเสียหน้า
วันจัน-ศุกร เรียนเต็มวัน พิเศษต่อถึง5โมง เทควันโดต่อถึง 1 ทุ่ม วันไหนปวดหัวไมเกรน (เพิ่งมารู้ตอนโตว่าเป็นไมเกรน จากกาาที่เขาไม่เคยสนใจเรา) ก็จะโดนกล่าวหาว่าหลอก ไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจอะไรเราเลย
วันเสาเรียนพิเศษ เก้าโมงเช้าถึงสามโมงเย็น …วันอาทิตจ้างครูสอนดนตรีไทยมาสอนถึงบ้าน 7 โมงเช้า เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เรามีวินัยตื่นเช้าแบบระบบทหาร …ไม่เคยเลย ซักวัน ที่จะตื่นสายๆ สบายอารม มาดูการ์ตูนแบบเด็กทั่วไป
ตกเย็นวันอาทิตย์ต่อด้วยเรียนพิเศษกับเพื่อนเขาอีกรอบ พร้อมกับเปรียบเทียบเรากับลูกเพื่อนตัวเองที่โตกว่า เพื่อกดดันเรา พอเราบอกว่าอย่ากดดัน ก็จะสวนกลับมาว่าหวังดี ไม่ได้กดดัน วนเวียนอยู่แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น จนผมหลอน
เรียนต้องดี กีฬาต้องเก่ง ดนตรีต้องได้ สังคมต้องเลิศ กิจกรรมความเป็นผู้นำ ต้องไม่มีที่ติ ต้นแบบจากในหลวง ร.9 เอามาใส่ลูกหมด ตรงไหนขาดตกบกพร่อง พร้อมที่จะทุ่ม ใส่ จัดเต็ม ทุกด้าน แบบไม่ยั้ง ขัดขืน มีเทศแช่งว่าไม่เจริญไปถึงชาติหน้า ชมลูกคนอื่นว่าอภิชาติบุตรใส่หน้าผมตอนที่ผมทำแบบเด็กคนนั้นไม่ได้
ตอน ป.1 คาดหวังให้เก่งเท่า ป.2 พอเก่งเท่า ป.2 คาดหวังต่อให้ถึง ป.3 พอเก่งถึง ป.3 ก็จะเอาถึง ป.4 มันไม่เคยมีอะไรเพียงพอสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่เรื่องเดียว เพราะเพียงแค่เขาขยับปาก มันก็จะมีแต่ความต้องการของเขา
ทุนก็ต้องได้ เพื่อชดเชยกับที่ผมเกิดช้า เลยต้องมีหน้าที่รับผิดชอบตัวเองด้วยการเรียนฟรีก่อนพ่อแม่ตาย หรือพูดง่ายๆ การที่เขามีลูกตอนแก่ กลายเป็นความผิด หรือความรับผิดชอบของผมอยู่ฝ่ายเดียว
ไม่มีเลย ช่องว่างแม้แต่ที่จะคิด ช่องว่างแม้แต่ที่จะเป็นตัวเอง ทุกอย่างถูกจัดสรรให้เดินตามสิ่งที่เขาเลือกให้เป็น แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกจะเป็น
…
สิ่งที่ผมเล่าทั้งหมดนี้ คือประสบการ1ในล้านของทั้งหมดที่ผมเจอตลอดชีวิต34 ปี มันคือสิ่งที่ผมอยากจะลืม ในขณะเดียวกัน ก็อยากถ่ายทอดออกมา เพื่อให้คนในโลกนี้รับรู้ไว้ ว่ามีเหตุการแบบนี้เกิดขึ้นกับผม และผมได้ก้าวข้ามมันได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่าน และเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ประสบพบเจอเหตุการเดียวกันนี้แบบผมครับ
….
Backgrond , อายุ 34 ปี เกิดปี พศ 2533 มีพ่ออายุ 79 แม่ อายุ 77 หรือพูดให้เห็นภาพคือ แม่กับผมห่างกัน 42 ปี ผม Gen Y ส่วนพ่อแม่ผมคือ Baby boomer
….