"สวัสดีครับ" ----- ทริปนี้... เราก็จะพาทุกท่าน ออกเดินทาง ไปสัมผัสธรรมชาติ และฝึกฝนกล้ามเนื้อขา กันที่สันนอกวัว จังหวัดกาญจนบุรี ที่ ที่ใครๆ ก็บอกว่าคนชอบเดินป่าตั้งแคมป์ ต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต
สันนอกวัวจังหวัดกาญจนบุรีอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัด โดยมีระดับความสูงอยู่ที่ 1,767 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยประมาณ ระยะการเดินขึ้นเขาจากจุดปล่อยตัวถึงจุดจุดกางเต็นท์ ก็ประมาณ 10 กิโลเมตร และใช้เวลา 6 -7 ชั่วโมง
โดยทริปนี้ ก็เป็นจุดหมาย และเป้าหมายของผม ในการที่จะเดินป่าตั้งแคมป์ และชมบรรยากาศสวยๆ ที่เขาร่ำลือกัน ว่าที่นี่มีวิวทิวเขาที่สวยงาม มีหมอกหนาเป็นทะเลหมอกผ่านขาและลำตัวราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ รวมถึงแสงพระอาทิตย์สีทอง ผมจึงอยากมาสัมผัสสักครั้งในชีวิตให้ได้..... แต่ก่อน.... รุ่นพี่ผมที่เคยเดินขึ้นสันหนอกวัวมาแล้วถึง 3 ครั้ง มาที่นี้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว สันหนอกวัวเนี่ย อยากไปเดินตอนไหนก็ได้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา แต่ปัจจุบันนี้....ต้องมีการโทรจองเหมือนหลายๆ ที่ในประเทศไทยเนื่องจากนักเดินทางหลายๆ ท่าน ยกให้ที่นี้เป็นเดอะเบสอีกที่ในการเดินป่า..... ต้องขอขอบคุณพี่ในทีมที่ชำนาญในการโทรจอง จึงสามารถโทรจองให้เราได้ ในช่วงปลายฝนต้นหนาว มันคือฤดูมหาโหดสำหรับผม...555
ทีมเรามีกันอยู่ 7 คนครับ โดยการเดินทางครั้งนี้ เราออกจากกรุงเทพฯประมาณ 20:00 น ทีมแรกจะออกจากกรุงเทพฯประมาณ 16:00 น แล้วก็ ไปถึงที่พัก ในช่วงเวลาประมาณ 02:00 น เราพักที่ จุดชมวิวป้อมปี่ คืนแรกนี้ เราต้องรีบนอน เพื่อเก็บแรงไว้เดินขึ้นสันหนอกวัวในพรุ่งนี้เช้า เรามีเวลานอนคนละ 4-5 ชั่วโมง โดยระยะทางจากกรุงเทพฯถึงป้อมปี่ อยู่ที่ 300 กิโลนิดๆ ก็ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 5 ชั่วโมงนิดๆ เพราะว่าพวกเราแวะตลอดทาง มีเซเว่นตรงไหนก็แวะ แวะ
ทุกเซเว่น... 555 เนื่องจากไอ้เพื่อนตัวดีของผมผมคนนึง อยากหอบวัตถุดิบชาบู ขึ้นไปกินบนสันเขา ฮ่าๆๆๆ... (สรุปหาซื้อวัตถุดิบไม่ครบ... เลยไม่ได้กิน )
- 07:00 น. เราตื่นอาบน้ำ และเก็บสัมภาระ แล้วไปรายงานตัว ที่อุทยานแห่ง
- 07:00 น. เป็นเวลาที่จุดรายงานตัว เปิดให้รายงานตัว หลังจากที่รายงานตัวลงทะเบียนเสร็จเราก็มีเวลาทานข้าวเช้า แล้วก็สั่งอาหารห่อ เพื่อห่อไปกินระหว่างทางในตอนเที่ยง และตอนนี้ทุกคนเริ่มยืดเส้นยืดสายวอร์มร่างกาย
มีหลายคนครับ ที่ไม่ได้สะพายสัมภาระขึ้นไปเองโดยส่วนมากจะใช้ลูกหาบเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็จะเดินตัวเปล่าขึ้นไป (ก็เป็นทางเรื่องที่ดี) เพราะว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเส้นทางที่ไกล และโหด รวมถึงชันมาก มากถึงที่สุด เพราะฉะนั้นทุกคนก็ ทำให้ตัวเองสบายที่สุด
แต่ ไม่ใช่ สไตล์ของกลุ่มเราและอีกหลายกลุ่ม ที่เป็นพวกเสพติดความเหนื่อยล้า ชอบความยากลำบากหน่อย การผจญภัยนิดๆ รวมถึงความเจ็บปวดของ ร่างกายและอาการ ของกล้ามเนื้ออักเสบหลังจากลงเขา...555 นี่คือสิ่งที่เราต้องการ ฮ่าๆๆ
- 09:30 น. เรามาถึงจุดปล่อยตัวที่เขาเรดาร์ และเราก็เริ่มเดินลุยกันเลยยยยย ในระยะทาง 500 เมตรแรก ต้องบอกเลยว่า ทรงเดิมกับทริปที่แล้วเลยครับ ที่เขาหลวง ใจจะขาดน้ำตาจะไหล กล้ามเนื้อขาเริ่มแข็ง และปวดร้าวไปทั้งร่างกาย เหมือนไม่อยากจะเดินต่อ แต่มันคืออาการเริ่มแรก ของการเดินช่วงแรกบวกกับสัมภาระอีกอย่างน้อยคนละ 14 กิโล Up โดยเส้นทางการเดินสันหนอกวัวจะมีจุดพักใหญ่ทั้งหมด 9 จุด แต่ละจุดก็จะห่างกันประมาณ 1-2 กิโลเมตร แต่บางช่วงก็ห่างกันแค่ 500 เมตร ( คิดดูเองละกันครั้ง..555 มันหนักหนาแค่ไหน ) ถือว่าเป็นเส้นทางที่ยาก และลำบากน่าดูครับ เนื่องจากเดินไกล หายใจก็ลำบากเพราะมันสูงกว่าระดับน้ำทะเล
- 10:20 น. ผมเดินถึงจุดพักที่ 2 โดยใช้เวลาเพียง 50 นาที โดยประมาณ ระยะทางนั้นไม่แน่นอนครับแต่เหนื่อยมาก ไม่น่าจะต่ำกว่า 2 กิโล ผ่านจุดนี้โดยที่ไม่มีความลำบากใดๆเลย เดินแบบชิวๆชมธรรมชาติ และอากาศที่สดชื่น เข้าจุดพักที่ 3 ร่างกายเริ่มรู้สึกว่ามีความเหนื่อยล้า ความกระหายน้ำผมเตรียมน้ำของตัวเองมาทั้งหมด 4 ขวดขวดละ 700 cc ในกิโลเมตรนี้น้ำขวดแรกได้หมดลง พอเข้าจุดพักที่ 4 เริ่มมีความรู้สึกว่า ร่างกายอยากจะพัก ไม่อยากไปต่อ เพราะมันเหนื่อยมากเหนื่อยเหลือเกิน ระยะทางก็ไกลแถมทางชันขึ้นชั้นขึ้นและลื่นด้วย เริ่มมีความรู้สึกว่า กูมาทำอะไรวะที่นี่ รู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อ และเพื่อนในทีมก็เริ่มเดิมทิ้งห่างผมไปเรื่อยๆ เพราะว่าทุกคนอยากไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุดเนื่องจากว่าปัญหาที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้คือฝน.....
- และแล้วก็ผมเดินมาจุดที่ ที่ทุกคนบอกว่าตรงนี้ สมชื่อ ที่เขาเรียกว่าเนินหมาถอย เนื่องจากว่าจะผ่านจุดพักที่ 3 ถึงจุดพักที่ 4 ซึ่งมีระยะทางไม่ไกลแต่ชันมากชันจนชนิดที่ว่าต้องโน้มตัวเพื่อเดินขึ้นแล้วก็ดึงเชือกขึ้น พอมาถึงจุดนี้ทุกคนเห็นเนินนี้ ก็มีความรู้สึกว่าท้อเหนื่อย แล้วก็อยากจะถอยหลังกลับตรงนี้เขาเลยตั้งชื่อว่าเนินหมาถอย น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะในใจผมตอนนี้ก็เหมือนหมา ที่อยากถอยกลับมาก
ผมผ่านเนินหมาถอยมาได้ ก็ต้องมาเจอกับแยกผาแตก ซึ่งสิ่งที่คาดไว้ ก็มาเต็มๆ เลยครับ ฝนที่ตกกระหน่ำบนเส้นทางเดินมีน้ำหลาก ทีแรกก็ไม่ได้กลัวฝนหรอกครับ แต่เดินไปเดินมาไม่รู้จะป้องกันตัวเองยังไง ไม่รู้จะใส่เสื้อกันฝนทำไม เพราะทุกอย่างในร่างกายเปียกหมด ผมแนะนำนะครับ ใครที่มาเดินสันหนอกวัวในช่วงนี้ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนแนะนำให้เอาเสื้อผ้า ถุงนอน เต็นท์ ใส่ถุงพลาสติกคลุมไว้สักชั้น แล้วค่อยเก็บใส่กระเป๋า เพราะ ไม่งั้นเปียกหมดครับถ้าเจอฝนหนักๆแบบผม
- ตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ป่าดึกดำบรรพ์ ผมก็คิดว่าฝนจะซาลง แต่ไม่เลยครับ ตกหนักยิ่งกว่าเดิม หนักขึ้นเรื่อยๆหนักจนทางเดินขึ้นสันหนองวัวเนี่ยกลายเป็นน้ำตกขนาดเล็กไปเลยเพราะน้ำไหลจากตันเขาลงมา ปะทะขา เข้าในรองเท้า ไม่ต้องพูดถึง เท้าเลยครับว่าจะเป็นไง ผมว่าซีดขาวแน่นอน ตอนนี้ทั้งอากาศหนาวเอย บวกกับร่างกายที่เหนื่อยล้า กล้ามเนื้อที่เหมือนตะคริวจะมา ทุกอย่างมันเกิดขึ้น แล้วมันทำให้รู้สึกว่าเมื่อไหร่ จะถึงจุดหมายที่เราตั้งใจ
- ตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว ที่เราเดินกันอยู่ โดยผมยังไม่รู้เลยว่าจุดหมายของผมมันอยู่ตรงไหน มันมองไม่เห็นอะไร ฝนลงหนักมืดครึ้มตลอดเส้นทาง ต้องก้มหน้า ก้มตาเดินอย่างเดียว มันบรรยายไม่ได้ครับ มันสุดๆจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำไมมาเพื่ออะไร ไม่รู้จริงๆ ครับ
- ถึงเนินปราบเซียนตอนนี้ แทบไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลยแทบไม่ได้เก็บภาพอะไรเลย ทุกอย่างต้องเก็บไว้ในกระเป๋าหมด เพราะกระเป๋าเสื้อผ้ารองเท้าทุกอย่างเปียกหมดครับ ไม่มีตรงไหน ของร่างกายแห้งเลย เพราะฉะนั้นมือถือกล้องอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเก็บใส่กระเป๋าใส่ถุงก๊อบแก๊บไว้อย่างเดียว ไม่สามารถหยิบขึ้นมาถ่ายรูปหรือบันทึกภาพอะไรได้เลย จึงไม่มีภาพสวยๆ ในส่วนนี้มาให้เพื่อนๆได้ดูเลยครับ
- 15:30 น ผมก็ถึงลานกางเต็นท์ซึ่งผมมีความรู้สึกว่าผมดีใจมากสุด ภูมิใจกับตัวเองครับ เจอสถานการณ์ที่แบบ แ ม่ ง ... เหนื่อย ท้อ ลำบาก คือคิดในใจว่าชีวิตคน คนนึง มันต้องมาลำบากอะไรขนาดนี้ว่ะ... 555
แต่ผมก็ดีใจกับการมาถึงไม่ทันไร ก็ต้องท้ออีกครั้งหนึ่ง...555 เมื่อพี่ในกลุ่มบอกว่าเราไม่ได้กางตรงนี้ ของเราต้องเดินไปอีก 200 เมตร ... 5555
!!! โอ้โห พระเจ้า!!!!! ตรู... ก้าวขาไม่ออกเลยยยยย เท่านั้นล่ะครับแทบจะนั่งลงกราบกับพื้น กรูยังไม่ถึงที่อีกเหรอนี่..!!!!
เนื่องจาก จุดกลางตรงนี้ ก็เป็นจุดกางเต้นฑ์หลัก ที่จะมีนักท่องเที่ยว กางเต้นท์จุดนี้กันเยอะเพราะไม่อยากเดินต่อไปที่แอ่งกระทะในจุดที่ผมกำลังจะไป มันเป็นลานระหว่างสันนอกวัวเล็ก และสันนอกวัวใหญ่ ไม่ต้องบอกนะครับว่าทำไม...5555 พวกผมเลือกเป้าหมายจุดกางเต้นฑ์แอ่งกระทะตรงนี้เอาไว้ เพราะ มันเป็นจุดที่ดีที่นึงเลยครับ ทั้งบรรยากาศ และการเดิมชมวิวระหว่าง 2 หนอก ผมแนะนำลานกางเต้นท์ตรงนี้เลยครับ
หลังจากที่มาถึงจุดกางเต็นท์แอ่งกระทะ เราก็ยังไม่สามารถกางเต็นท์ได้เพราะฝนยังตกอยู่ ทำได้อย่างเดียวคือกลางฟลายชีท เป็นอันดับแรกเพื่อหลบฝนและวางสัมภาระ รวมถึงเอาไว้ทำกับข้าว ทานข้าว และนั่งสังสรรค์กัน ในตอนกลางคืน
( ผมก็คิดในใจครับว่าเทวดาให้กูเหนื่อยขนาดนี้ ให้กูเดินขนาดนี้ ให้กูท้อขนาดนี้ แล้วยังให้ฝนตกมาขนาดนี้ จะให้กูชมธรรมชาติอะไรสวยๆ งามๆ บ้างเลยเหรอ ผมตะโกนไปแบบนี้ครับ...555 ) สงสัยเหมือนสวรรค์ท่านได้ยิน ภายใน 5 นาที ฝนก็หยุดฟ้าก็เปิดเราก็เลยสามารถกางเต็นท์เปลี่ยนเสื้อผ้าใส่เสื้อผ้าแห้งกันได้ ไม่งั้นคืนนี้คงหนาว ได้นอนหนาวตายกันแน่นอน... 555
- หลังจากที่เราใช้เวลากางเต็นท์ไม่ถึง 10 นาที ทุกคนก็กางเต้นท์เสร็จเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เลยเดินขึ้นไปชมธรรมชาติชมวิว 360 องศาที่เขาบอกกัน เอาจริงๆ นะครับ มันก็ยังไม่เห็นความสวยอะไรหรอกเพราะฟ้ามันยังไม่เปิด พระอาทิตย์สีทองที่เขาพูดถึงกันผมก็ยังไม่เห็น เพราะฟ้ามันจะยังเปิดไม่หมด ผมก็เตรียมตัวที่จะเดินลงแล้ว ตอนนี้ผมอยู่กันที่สันหนอกวัวเล็กนะครับ ก็เลยเก็บภาพกับป้ายถ่ายรูปบรรยากาศถ่ายรูปวิว แล้วก็เดินเล่นกันรอบๆสันหนอกวัว เพื่อเก็บภาพสวยๆให้ได้เยอะที่สุดแต่ฟ้ามันก็มืดจริงๆ
หลังจากที่ผมเดินลงจากสันหนอกวัวเล็กได้ครึ่งทางฟ้าก็เปิดสิ่งที่ผมอยากเห็นนั่นก็ได้เห็นสักที...
- บรรยากาศและความสวยงามของพระอาทิตย์ตกยามเย็น ที่ใครๆก็บอกว่าที่นี่คือสวยติดอันดับของไทย เป็นจุดหมาย ที่นักเดินป่า นักผจญภัย ทุกคนจะต้องมาเพราะ ความสวยงามของบรรยากาศ และอากาศในที่สันหนอกวัวแห่งนี้ ไม่มีอะไร ติครับ พระอาทิตย์ที่อยู่ตรงหน้าผมสะท้อนแสง เข้าต้นไม้ เป็นลำแสงสีทองสวยงามซึ่งพูดจริงๆว่าผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ในชีวิตมันสวยจริงๆครับสวยจนบรรยายไม่ถูก อยากให้ทุกคนลองหาโอกาส มาลำบากแบบนี้เพื่อมาดูความสวยงามกันจริงๆ...555
หลังจากที่เราชมพระอาทิตย์ตกกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ลงมาช่วยกันทำอาหารหุงข้าวทำกับข้าวแล้วก็นั่งคุยครับ แต่ว่าอยู่กันได้ไม่นานเนื่องจากว่าอากาศค่อนข้างเย็นครับ 20:00 น ต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้าเต็นท์เพื่อพักผ่อนเก็บแรงไว้เดินกลับพรุ่งนี้
--- 08-2023 ประสบการณ์แบกสังขารขึ้นสันหนอกวัว กาญจนบุรี ----
สันนอกวัวจังหวัดกาญจนบุรีอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัด โดยมีระดับความสูงอยู่ที่ 1,767 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยประมาณ ระยะการเดินขึ้นเขาจากจุดปล่อยตัวถึงจุดจุดกางเต็นท์ ก็ประมาณ 10 กิโลเมตร และใช้เวลา 6 -7 ชั่วโมง
โดยทริปนี้ ก็เป็นจุดหมาย และเป้าหมายของผม ในการที่จะเดินป่าตั้งแคมป์ และชมบรรยากาศสวยๆ ที่เขาร่ำลือกัน ว่าที่นี่มีวิวทิวเขาที่สวยงาม มีหมอกหนาเป็นทะเลหมอกผ่านขาและลำตัวราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ รวมถึงแสงพระอาทิตย์สีทอง ผมจึงอยากมาสัมผัสสักครั้งในชีวิตให้ได้..... แต่ก่อน.... รุ่นพี่ผมที่เคยเดินขึ้นสันหนอกวัวมาแล้วถึง 3 ครั้ง มาที่นี้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว สันหนอกวัวเนี่ย อยากไปเดินตอนไหนก็ได้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา แต่ปัจจุบันนี้....ต้องมีการโทรจองเหมือนหลายๆ ที่ในประเทศไทยเนื่องจากนักเดินทางหลายๆ ท่าน ยกให้ที่นี้เป็นเดอะเบสอีกที่ในการเดินป่า..... ต้องขอขอบคุณพี่ในทีมที่ชำนาญในการโทรจอง จึงสามารถโทรจองให้เราได้ ในช่วงปลายฝนต้นหนาว มันคือฤดูมหาโหดสำหรับผม...555
ทีมเรามีกันอยู่ 7 คนครับ โดยการเดินทางครั้งนี้ เราออกจากกรุงเทพฯประมาณ 20:00 น ทีมแรกจะออกจากกรุงเทพฯประมาณ 16:00 น แล้วก็ ไปถึงที่พัก ในช่วงเวลาประมาณ 02:00 น เราพักที่ จุดชมวิวป้อมปี่ คืนแรกนี้ เราต้องรีบนอน เพื่อเก็บแรงไว้เดินขึ้นสันหนอกวัวในพรุ่งนี้เช้า เรามีเวลานอนคนละ 4-5 ชั่วโมง โดยระยะทางจากกรุงเทพฯถึงป้อมปี่ อยู่ที่ 300 กิโลนิดๆ ก็ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 5 ชั่วโมงนิดๆ เพราะว่าพวกเราแวะตลอดทาง มีเซเว่นตรงไหนก็แวะ แวะทุกเซเว่น... 555 เนื่องจากไอ้เพื่อนตัวดีของผมผมคนนึง อยากหอบวัตถุดิบชาบู ขึ้นไปกินบนสันเขา ฮ่าๆๆๆ... (สรุปหาซื้อวัตถุดิบไม่ครบ... เลยไม่ได้กิน )
- 07:00 น. เราตื่นอาบน้ำ และเก็บสัมภาระ แล้วไปรายงานตัว ที่อุทยานแห่ง
- 07:00 น. เป็นเวลาที่จุดรายงานตัว เปิดให้รายงานตัว หลังจากที่รายงานตัวลงทะเบียนเสร็จเราก็มีเวลาทานข้าวเช้า แล้วก็สั่งอาหารห่อ เพื่อห่อไปกินระหว่างทางในตอนเที่ยง และตอนนี้ทุกคนเริ่มยืดเส้นยืดสายวอร์มร่างกาย
มีหลายคนครับ ที่ไม่ได้สะพายสัมภาระขึ้นไปเองโดยส่วนมากจะใช้ลูกหาบเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็จะเดินตัวเปล่าขึ้นไป (ก็เป็นทางเรื่องที่ดี) เพราะว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเส้นทางที่ไกล และโหด รวมถึงชันมาก มากถึงที่สุด เพราะฉะนั้นทุกคนก็ ทำให้ตัวเองสบายที่สุด
แต่ ไม่ใช่ สไตล์ของกลุ่มเราและอีกหลายกลุ่ม ที่เป็นพวกเสพติดความเหนื่อยล้า ชอบความยากลำบากหน่อย การผจญภัยนิดๆ รวมถึงความเจ็บปวดของ ร่างกายและอาการ ของกล้ามเนื้ออักเสบหลังจากลงเขา...555 นี่คือสิ่งที่เราต้องการ ฮ่าๆๆ
- 09:30 น. เรามาถึงจุดปล่อยตัวที่เขาเรดาร์ และเราก็เริ่มเดินลุยกันเลยยยยย ในระยะทาง 500 เมตรแรก ต้องบอกเลยว่า ทรงเดิมกับทริปที่แล้วเลยครับ ที่เขาหลวง ใจจะขาดน้ำตาจะไหล กล้ามเนื้อขาเริ่มแข็ง และปวดร้าวไปทั้งร่างกาย เหมือนไม่อยากจะเดินต่อ แต่มันคืออาการเริ่มแรก ของการเดินช่วงแรกบวกกับสัมภาระอีกอย่างน้อยคนละ 14 กิโล Up โดยเส้นทางการเดินสันหนอกวัวจะมีจุดพักใหญ่ทั้งหมด 9 จุด แต่ละจุดก็จะห่างกันประมาณ 1-2 กิโลเมตร แต่บางช่วงก็ห่างกันแค่ 500 เมตร ( คิดดูเองละกันครั้ง..555 มันหนักหนาแค่ไหน ) ถือว่าเป็นเส้นทางที่ยาก และลำบากน่าดูครับ เนื่องจากเดินไกล หายใจก็ลำบากเพราะมันสูงกว่าระดับน้ำทะเล
- 10:20 น. ผมเดินถึงจุดพักที่ 2 โดยใช้เวลาเพียง 50 นาที โดยประมาณ ระยะทางนั้นไม่แน่นอนครับแต่เหนื่อยมาก ไม่น่าจะต่ำกว่า 2 กิโล ผ่านจุดนี้โดยที่ไม่มีความลำบากใดๆเลย เดินแบบชิวๆชมธรรมชาติ และอากาศที่สดชื่น เข้าจุดพักที่ 3 ร่างกายเริ่มรู้สึกว่ามีความเหนื่อยล้า ความกระหายน้ำผมเตรียมน้ำของตัวเองมาทั้งหมด 4 ขวดขวดละ 700 cc ในกิโลเมตรนี้น้ำขวดแรกได้หมดลง พอเข้าจุดพักที่ 4 เริ่มมีความรู้สึกว่า ร่างกายอยากจะพัก ไม่อยากไปต่อ เพราะมันเหนื่อยมากเหนื่อยเหลือเกิน ระยะทางก็ไกลแถมทางชันขึ้นชั้นขึ้นและลื่นด้วย เริ่มมีความรู้สึกว่า กูมาทำอะไรวะที่นี่ รู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อ และเพื่อนในทีมก็เริ่มเดิมทิ้งห่างผมไปเรื่อยๆ เพราะว่าทุกคนอยากไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุดเนื่องจากว่าปัญหาที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้คือฝน.....
- และแล้วก็ผมเดินมาจุดที่ ที่ทุกคนบอกว่าตรงนี้ สมชื่อ ที่เขาเรียกว่าเนินหมาถอย เนื่องจากว่าจะผ่านจุดพักที่ 3 ถึงจุดพักที่ 4 ซึ่งมีระยะทางไม่ไกลแต่ชันมากชันจนชนิดที่ว่าต้องโน้มตัวเพื่อเดินขึ้นแล้วก็ดึงเชือกขึ้น พอมาถึงจุดนี้ทุกคนเห็นเนินนี้ ก็มีความรู้สึกว่าท้อเหนื่อย แล้วก็อยากจะถอยหลังกลับตรงนี้เขาเลยตั้งชื่อว่าเนินหมาถอย น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะในใจผมตอนนี้ก็เหมือนหมา ที่อยากถอยกลับมาก
ผมผ่านเนินหมาถอยมาได้ ก็ต้องมาเจอกับแยกผาแตก ซึ่งสิ่งที่คาดไว้ ก็มาเต็มๆ เลยครับ ฝนที่ตกกระหน่ำบนเส้นทางเดินมีน้ำหลาก ทีแรกก็ไม่ได้กลัวฝนหรอกครับ แต่เดินไปเดินมาไม่รู้จะป้องกันตัวเองยังไง ไม่รู้จะใส่เสื้อกันฝนทำไม เพราะทุกอย่างในร่างกายเปียกหมด ผมแนะนำนะครับ ใครที่มาเดินสันหนอกวัวในช่วงนี้ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนแนะนำให้เอาเสื้อผ้า ถุงนอน เต็นท์ ใส่ถุงพลาสติกคลุมไว้สักชั้น แล้วค่อยเก็บใส่กระเป๋า เพราะ ไม่งั้นเปียกหมดครับถ้าเจอฝนหนักๆแบบผม
- ตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ป่าดึกดำบรรพ์ ผมก็คิดว่าฝนจะซาลง แต่ไม่เลยครับ ตกหนักยิ่งกว่าเดิม หนักขึ้นเรื่อยๆหนักจนทางเดินขึ้นสันหนองวัวเนี่ยกลายเป็นน้ำตกขนาดเล็กไปเลยเพราะน้ำไหลจากตันเขาลงมา ปะทะขา เข้าในรองเท้า ไม่ต้องพูดถึง เท้าเลยครับว่าจะเป็นไง ผมว่าซีดขาวแน่นอน ตอนนี้ทั้งอากาศหนาวเอย บวกกับร่างกายที่เหนื่อยล้า กล้ามเนื้อที่เหมือนตะคริวจะมา ทุกอย่างมันเกิดขึ้น แล้วมันทำให้รู้สึกว่าเมื่อไหร่ จะถึงจุดหมายที่เราตั้งใจ
- ตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว ที่เราเดินกันอยู่ โดยผมยังไม่รู้เลยว่าจุดหมายของผมมันอยู่ตรงไหน มันมองไม่เห็นอะไร ฝนลงหนักมืดครึ้มตลอดเส้นทาง ต้องก้มหน้า ก้มตาเดินอย่างเดียว มันบรรยายไม่ได้ครับ มันสุดๆจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำไมมาเพื่ออะไร ไม่รู้จริงๆ ครับ
- ถึงเนินปราบเซียนตอนนี้ แทบไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลยแทบไม่ได้เก็บภาพอะไรเลย ทุกอย่างต้องเก็บไว้ในกระเป๋าหมด เพราะกระเป๋าเสื้อผ้ารองเท้าทุกอย่างเปียกหมดครับ ไม่มีตรงไหน ของร่างกายแห้งเลย เพราะฉะนั้นมือถือกล้องอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเก็บใส่กระเป๋าใส่ถุงก๊อบแก๊บไว้อย่างเดียว ไม่สามารถหยิบขึ้นมาถ่ายรูปหรือบันทึกภาพอะไรได้เลย จึงไม่มีภาพสวยๆ ในส่วนนี้มาให้เพื่อนๆได้ดูเลยครับ
- 15:30 น ผมก็ถึงลานกางเต็นท์ซึ่งผมมีความรู้สึกว่าผมดีใจมากสุด ภูมิใจกับตัวเองครับ เจอสถานการณ์ที่แบบ แ ม่ ง ... เหนื่อย ท้อ ลำบาก คือคิดในใจว่าชีวิตคน คนนึง มันต้องมาลำบากอะไรขนาดนี้ว่ะ... 555
แต่ผมก็ดีใจกับการมาถึงไม่ทันไร ก็ต้องท้ออีกครั้งหนึ่ง...555 เมื่อพี่ในกลุ่มบอกว่าเราไม่ได้กางตรงนี้ ของเราต้องเดินไปอีก 200 เมตร ... 5555
!!! โอ้โห พระเจ้า!!!!! ตรู... ก้าวขาไม่ออกเลยยยยย เท่านั้นล่ะครับแทบจะนั่งลงกราบกับพื้น กรูยังไม่ถึงที่อีกเหรอนี่..!!!!
เนื่องจาก จุดกลางตรงนี้ ก็เป็นจุดกางเต้นฑ์หลัก ที่จะมีนักท่องเที่ยว กางเต้นท์จุดนี้กันเยอะเพราะไม่อยากเดินต่อไปที่แอ่งกระทะในจุดที่ผมกำลังจะไป มันเป็นลานระหว่างสันนอกวัวเล็ก และสันนอกวัวใหญ่ ไม่ต้องบอกนะครับว่าทำไม...5555 พวกผมเลือกเป้าหมายจุดกางเต้นฑ์แอ่งกระทะตรงนี้เอาไว้ เพราะ มันเป็นจุดที่ดีที่นึงเลยครับ ทั้งบรรยากาศ และการเดิมชมวิวระหว่าง 2 หนอก ผมแนะนำลานกางเต้นท์ตรงนี้เลยครับ
หลังจากที่มาถึงจุดกางเต็นท์แอ่งกระทะ เราก็ยังไม่สามารถกางเต็นท์ได้เพราะฝนยังตกอยู่ ทำได้อย่างเดียวคือกลางฟลายชีท เป็นอันดับแรกเพื่อหลบฝนและวางสัมภาระ รวมถึงเอาไว้ทำกับข้าว ทานข้าว และนั่งสังสรรค์กัน ในตอนกลางคืน
( ผมก็คิดในใจครับว่าเทวดาให้กูเหนื่อยขนาดนี้ ให้กูเดินขนาดนี้ ให้กูท้อขนาดนี้ แล้วยังให้ฝนตกมาขนาดนี้ จะให้กูชมธรรมชาติอะไรสวยๆ งามๆ บ้างเลยเหรอ ผมตะโกนไปแบบนี้ครับ...555 ) สงสัยเหมือนสวรรค์ท่านได้ยิน ภายใน 5 นาที ฝนก็หยุดฟ้าก็เปิดเราก็เลยสามารถกางเต็นท์เปลี่ยนเสื้อผ้าใส่เสื้อผ้าแห้งกันได้ ไม่งั้นคืนนี้คงหนาว ได้นอนหนาวตายกันแน่นอน... 555
- หลังจากที่เราใช้เวลากางเต็นท์ไม่ถึง 10 นาที ทุกคนก็กางเต้นท์เสร็จเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เลยเดินขึ้นไปชมธรรมชาติชมวิว 360 องศาที่เขาบอกกัน เอาจริงๆ นะครับ มันก็ยังไม่เห็นความสวยอะไรหรอกเพราะฟ้ามันยังไม่เปิด พระอาทิตย์สีทองที่เขาพูดถึงกันผมก็ยังไม่เห็น เพราะฟ้ามันจะยังเปิดไม่หมด ผมก็เตรียมตัวที่จะเดินลงแล้ว ตอนนี้ผมอยู่กันที่สันหนอกวัวเล็กนะครับ ก็เลยเก็บภาพกับป้ายถ่ายรูปบรรยากาศถ่ายรูปวิว แล้วก็เดินเล่นกันรอบๆสันหนอกวัว เพื่อเก็บภาพสวยๆให้ได้เยอะที่สุดแต่ฟ้ามันก็มืดจริงๆ
หลังจากที่ผมเดินลงจากสันหนอกวัวเล็กได้ครึ่งทางฟ้าก็เปิดสิ่งที่ผมอยากเห็นนั่นก็ได้เห็นสักที...
- บรรยากาศและความสวยงามของพระอาทิตย์ตกยามเย็น ที่ใครๆก็บอกว่าที่นี่คือสวยติดอันดับของไทย เป็นจุดหมาย ที่นักเดินป่า นักผจญภัย ทุกคนจะต้องมาเพราะ ความสวยงามของบรรยากาศ และอากาศในที่สันหนอกวัวแห่งนี้ ไม่มีอะไร ติครับ พระอาทิตย์ที่อยู่ตรงหน้าผมสะท้อนแสง เข้าต้นไม้ เป็นลำแสงสีทองสวยงามซึ่งพูดจริงๆว่าผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ในชีวิตมันสวยจริงๆครับสวยจนบรรยายไม่ถูก อยากให้ทุกคนลองหาโอกาส มาลำบากแบบนี้เพื่อมาดูความสวยงามกันจริงๆ...555
หลังจากที่เราชมพระอาทิตย์ตกกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ลงมาช่วยกันทำอาหารหุงข้าวทำกับข้าวแล้วก็นั่งคุยครับ แต่ว่าอยู่กันได้ไม่นานเนื่องจากว่าอากาศค่อนข้างเย็นครับ 20:00 น ต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้าเต็นท์เพื่อพักผ่อนเก็บแรงไว้เดินกลับพรุ่งนี้