สวัสดีค่ะ วันนี้อยากมาระบายความในใจตั้งแต่เด็กจนอายุกำลังเข้าสู่วัยเบญจเพสให้ฟังค่ะ
เกริ่นก่อนว่า ครอบครัวเราประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย และเราค่ะ พ่อทำอาชีพที่นานๆทีกลับบ้านเช่นปีละ 5-6 ครั้ง/ ครั้งละ 2-3 วัน คุณแม่ทำธุระกิจส่งออกที่ยังต้องควบคุมดูแลด้วยตัวเองในหลายๆอย่าง และพี่ชายที่อายุห่างกัน 4 ปีค่ะ
ชีวิตวัยเด็ก อยู่กับแม่และพี่ชายเป็นหลัก เราโตมาแบบไม่เคยขาดอะไรในชีวิต ได้เรียนรร.เอกชน/นานาชาติ ได้ไปsummer ที่อังกฤษ เรียนถือว่าเก่งระดับtopจังหวัด/เคยติดโอลิมปิกวิชาการระดับคัดเลือก etc. แต่เชื่อมั้ยคะพอย้อนกลับไปคิดถึงชีวิตวัยเด็กกลับไม่มีความทรงจำอะไรเลยค่ะ เรื่องที่จำได้คงมีแค่
- เวลาไปรร. มีแม่บ้าน/พี่เลี้ยง คอยไปรับ-ส่ง หาข้าวเช้า/เย็น เท่าที่จำความได้ตั้งแต่เกิดจนจบม.ปลาย พ่อแม่น่าจะมารับไม่เกิน 10 ครั้ง จริงๆค่ะ
- ไม่เคยมีผู้ปกครองวันประชุมผู้ปกครอง
- ตอนเด็กเคยเรียนเปียโนค่ะ รร.ดนตรีให้ไปโชว์กลางห้าง ผลคือ แม่บ้านไปส่ง เราไปเล่น แล้วก็แม่บ้านรอรับกลับค่ะ ไม่มีพ่อแม่ไปดูเลย (เรื่องนี้เกือบจำไม่ได้ เหมือนตัวเราไม่อยากจำ แต่พักหลังๆนี้ suffer กับปัญหาครอบครัวมากจนมันกลับมาทำร้ายซ้ำๆเลยค่ะ วันแรกที่นึกถึงวันร้องไห้เหมือนจะตาย555)
- ปิดเทอมไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนเลยค่ะ โดยทุกคนอ้างว่า ธุระกิจไม่สามารถหยุดได้จริงๆ
ทั้งหมดเป็นแค่เบื้องต้นทีพอจะนึกออก เราโตมากับคำว่า "ไม่เป็นไร พ่อแม่มีเหตุผลของเค้า เค้าทำงานเพื่ออยากให้เราโตมาอย่างมีคุณภาพ มีชีวิตที่สุขสบาย" เราปลอบตัวเองด้วยคำนี้อยู่นานมาทั้งชีวิตเลยค่ะ 55555
ช่วงแรกๆมันก็ไม่ได้แย่จนเราอายุประมาณ 12 ปี พี่ชายต้องไปเรียนที่อื่น เจอกันเดือน-2 เดือนครั้ง ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเราโหยหาความรักพอประมาณ แต่ทุกอย่างถูกปลอบใจด้วยคำว่า "ไม่เป็นไร ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุผลเสมอ" ก็ใช้ชีวิตแบบปกติ แต่สิ่งที่เริ่มรู้สึกคือ เป็นคนที่ sensitive มากๆ ร้องไห้ง่ายมาก ไม่สนิทกับพ่อแม่ ไม่อยากเล่าสิ่งที่เจอในแต่ละวันไม่ว่าจะ แฮปปี้หรือเสียใจ เพราะคิดว่า "คงไม่มีใครสนใจ เค้าไม่มีเวลาฟังเราหรอก" ทุกอย่างทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าอายุประมาณนึงเลยค่ะ
- พอโตมาถึงช่วงอายุที่สามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง พยายามชวนพ่อแม่ สรุปคือเหมือนเดิมค่ะ ไม่มีใครไปด้วยแต่ก็สนับสนุนค่าใช้จ่ายทุกทริป ให้ชวนเพื่อนไปนะ นู่นนี่ สรุปเราได้ไปเที่ยวตปทเยอะมากๆ 10-15 ครั้งแล้วตั้งแต่เกิดมา แต่ทั้งหมดเป็นการ "ไปกับเพื่อน"ค่ะ ไม่เคยมีทริปไหนที่ได้ไปกับครอบครัวเลย
วัยเข้ามหาลัย เราสอบติดแพทย์ค่ะ ด้วยความที่สอบติดมหาลัย A และบ้านอยู่จังหวัดใกล้เคียงเดินทางประมาณ 1-1.30 ชม. จึงจำเป็นต้องเช่าหอนอกอยู่ ตอนสอบติด ทุกคนบอกเรียนที่นี่ก็ดีเดินทางง่ายจะได้ไปเยี่ยมบ่อยๆขับรถแปปๆก็ถึง
ผลสรุปคือ ชีวิต 6 ปี เรียนหนัก+เครียด จากเด็กที่ไม่เคยร้องไห้/ ระบาย/ บ่นให้พ่อแม่ฟัง แต่ตอนนั้นไม่ไหวจริงๆ อป็นบ่อยๆเข้า เริ่ม breakdown เริ่มร้องไห้รับายให้พ่อแม่ฟังมากขึ้น พ่อก็บินมาหามาเยี่ยมในวันถัดไปอยู่ 2-3 ครั้ง ส่วนแม่ที่บอกให้เลือกมหาลัย A ไม่เคยขับรถมาหาแม้แต่วันเดียวเลยค่ะ55555 แต่ก็โทรมาคุยด้วยบ้าง
ตอนนั้นก็ยังคิดแบบเดิมอยู่ว่า "ทุกคนมีเหตุผล ทุกคนมีหน้าที่ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร"
พอเรียนปีสูงๆ ได้สัมผัสคนไข้เยอะขึ้น รู้ว่า คนเราชีวิตมันก็สั้นแค่นี้ ตายวันตายพุ่งไม่มีใครบอกได้ แล้วมาตระหนักจริงๆว่าในชีวิตนี้สิ่งที่ตัวเราต้องการที่สุดคืออะไร ก็ตกผลึกได้ว่า "อยากใช้เวลากับครอบครัว" คงเป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตโหยหามันมาตลอด พอคิดได้แบบนั้น เราร้องไห้อยู่เป็นอาทิตย์เลยค่ะ
มันช่างใจอยู่นานในความคิดที่ว่า คนส่วนใหญ่มองว่าชีวิตที่สุขสบายก็ดีแล้ว จะเรียกร้องอะไรหนักหนา ดูครอบครัวอื่นเค้าไม่มีสิบลาๆๆ ตีกับความคิดในหัวว่า เราแค่อยากได้เวลาครอบครัวแค่นั้น หรือมันเป็นความคิดที่ผิดกันนะ หรือเราไม่ควรมีความคิดแบบนี้หรือป่าว แต่ก็เป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตเราไม่เคยได้เลยนี่หน่า
- ช่วงนีงสมัย แพทย์ใช้ทุนปี 1 พอรู้ว่าพ่อแม่พี่จะบินมาหา 3 วัน แล้วเรามีเวรวอร์ดวันหยุดที่ต้องดูแลคนไข้ 24 ชม ไม่สามารถออกจากรพ.ได้ สิ่งที่เราทำคือ ขายเวรวันนั้น 24 ชม.ด้วยราคา 15,000 บาท โดยไม่มีคำว่าเสียใจ เสียดาย หรืออะไรเลยค่ะ สำหรับครอบครัวเราสามารถให้เค้าเต็มที่ได้หมด แต่ที่ต้องมาตั้งกระทู้นี้เพราะ ล่าสุด เรามีการงานที่มั่นคง มีเงินที่หาด้วยตัวเองได้แบบไม่เดือดร้อน ตัดสินใจ"จะพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ" โดยทั้งทริปเราตั้งใจออกเองทั้งหมด อยากสร้างความทรงจำดีๆ มีเวลากับครอบครัว จะได้ไม่เสียดายในภายหลังว่ายังไม่ได้พาพ่อแม่ไปทำนู่นนี่นั่นเลย เหมือนเติมสิ่งที่ขาด สิ่งที่โหยหามาตลอดทั้งชีวิต แน่วแน่มากๆว่าต้องพาไปให้ได้ พ่อแม่คงไม่มีข้ออ้างอะไรแล้ว ผลสรุปคืออะไรรู้มั้ยคะ
.
.
. พ่อแม่บอกเราว่า "ขอไม่ไปนะลูก แก่แล้ว สุขภาพไม่ดี มันจะลำบากเปล่าๆ" 55555555555555555555555 ตอนฟังเราอึ้งแบบตื้อไปหมด เหมือนโลกพังลงตรงหน้า ไม่รู้จะปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไรยังไงเลยค่ะ5555555 เสียใจจนร้องไห้สลับหัวเราะ เราไม่ฟูมฟาย แต่ร้องไห้จนปวดหัวนอนตื่นมาก็ร้องไห้ต่อ ร้องจนเข้าใจคำว่าร้องจนไม่มีน้ำตาเป็นยังไง หลังจากวันนั้นมา เราพบจิตแพทย์ หยุดคิดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้ แล้วก็ปิดจบด้วยคำที่ปลอบตัวเองมาเสมอตั้งแต่เด็กจนตอนนี้คือ " ไม่เป็นไรนะ มันไม่เป็นไร ทุกคนมีเหตุผล มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ"
เราแค่อยากระบายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ขอบคุณทุกคนที่รับฟัง และ*****ได้โปรด***** อย่าแสดงความเห็นเชิง มีชีวิตที่สุขสบายก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ไม่พร้อมทั้งด้านเงินและเวลา หรือประโยคคล้ายๆใจความนี้ เพราะเราทราบดี แต่แค่อยากระบายสิ่งที่พบเจอ เราก็ขาดความอบอุ่นในครอบครัวเช่นเดียวกัน และเราคงยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่เราคิด มันเหมือนไม่สามารถมีความคิดแบบนั้นได้ ทั้งๆที่มันเกิดขึ้นจริงและสร้างแผลใจไปแล้ว
สุดท้าย ขอบคุณทุกคนมากๆอีกครั้งนะคะ ขอบคุณจากใจจริงค่ะ ขอให้ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการนะ
เมื่อชีวิตโหยหา “ความอบอุ่นในครอบครัว”
เกริ่นก่อนว่า ครอบครัวเราประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย และเราค่ะ พ่อทำอาชีพที่นานๆทีกลับบ้านเช่นปีละ 5-6 ครั้ง/ ครั้งละ 2-3 วัน คุณแม่ทำธุระกิจส่งออกที่ยังต้องควบคุมดูแลด้วยตัวเองในหลายๆอย่าง และพี่ชายที่อายุห่างกัน 4 ปีค่ะ
ชีวิตวัยเด็ก อยู่กับแม่และพี่ชายเป็นหลัก เราโตมาแบบไม่เคยขาดอะไรในชีวิต ได้เรียนรร.เอกชน/นานาชาติ ได้ไปsummer ที่อังกฤษ เรียนถือว่าเก่งระดับtopจังหวัด/เคยติดโอลิมปิกวิชาการระดับคัดเลือก etc. แต่เชื่อมั้ยคะพอย้อนกลับไปคิดถึงชีวิตวัยเด็กกลับไม่มีความทรงจำอะไรเลยค่ะ เรื่องที่จำได้คงมีแค่
- เวลาไปรร. มีแม่บ้าน/พี่เลี้ยง คอยไปรับ-ส่ง หาข้าวเช้า/เย็น เท่าที่จำความได้ตั้งแต่เกิดจนจบม.ปลาย พ่อแม่น่าจะมารับไม่เกิน 10 ครั้ง จริงๆค่ะ
- ไม่เคยมีผู้ปกครองวันประชุมผู้ปกครอง
- ตอนเด็กเคยเรียนเปียโนค่ะ รร.ดนตรีให้ไปโชว์กลางห้าง ผลคือ แม่บ้านไปส่ง เราไปเล่น แล้วก็แม่บ้านรอรับกลับค่ะ ไม่มีพ่อแม่ไปดูเลย (เรื่องนี้เกือบจำไม่ได้ เหมือนตัวเราไม่อยากจำ แต่พักหลังๆนี้ suffer กับปัญหาครอบครัวมากจนมันกลับมาทำร้ายซ้ำๆเลยค่ะ วันแรกที่นึกถึงวันร้องไห้เหมือนจะตาย555)
- ปิดเทอมไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนเลยค่ะ โดยทุกคนอ้างว่า ธุระกิจไม่สามารถหยุดได้จริงๆ
ทั้งหมดเป็นแค่เบื้องต้นทีพอจะนึกออก เราโตมากับคำว่า "ไม่เป็นไร พ่อแม่มีเหตุผลของเค้า เค้าทำงานเพื่ออยากให้เราโตมาอย่างมีคุณภาพ มีชีวิตที่สุขสบาย" เราปลอบตัวเองด้วยคำนี้อยู่นานมาทั้งชีวิตเลยค่ะ 55555
ช่วงแรกๆมันก็ไม่ได้แย่จนเราอายุประมาณ 12 ปี พี่ชายต้องไปเรียนที่อื่น เจอกันเดือน-2 เดือนครั้ง ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเราโหยหาความรักพอประมาณ แต่ทุกอย่างถูกปลอบใจด้วยคำว่า "ไม่เป็นไร ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุผลเสมอ" ก็ใช้ชีวิตแบบปกติ แต่สิ่งที่เริ่มรู้สึกคือ เป็นคนที่ sensitive มากๆ ร้องไห้ง่ายมาก ไม่สนิทกับพ่อแม่ ไม่อยากเล่าสิ่งที่เจอในแต่ละวันไม่ว่าจะ แฮปปี้หรือเสียใจ เพราะคิดว่า "คงไม่มีใครสนใจ เค้าไม่มีเวลาฟังเราหรอก" ทุกอย่างทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าอายุประมาณนึงเลยค่ะ
- พอโตมาถึงช่วงอายุที่สามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง พยายามชวนพ่อแม่ สรุปคือเหมือนเดิมค่ะ ไม่มีใครไปด้วยแต่ก็สนับสนุนค่าใช้จ่ายทุกทริป ให้ชวนเพื่อนไปนะ นู่นนี่ สรุปเราได้ไปเที่ยวตปทเยอะมากๆ 10-15 ครั้งแล้วตั้งแต่เกิดมา แต่ทั้งหมดเป็นการ "ไปกับเพื่อน"ค่ะ ไม่เคยมีทริปไหนที่ได้ไปกับครอบครัวเลย
วัยเข้ามหาลัย เราสอบติดแพทย์ค่ะ ด้วยความที่สอบติดมหาลัย A และบ้านอยู่จังหวัดใกล้เคียงเดินทางประมาณ 1-1.30 ชม. จึงจำเป็นต้องเช่าหอนอกอยู่ ตอนสอบติด ทุกคนบอกเรียนที่นี่ก็ดีเดินทางง่ายจะได้ไปเยี่ยมบ่อยๆขับรถแปปๆก็ถึง
ผลสรุปคือ ชีวิต 6 ปี เรียนหนัก+เครียด จากเด็กที่ไม่เคยร้องไห้/ ระบาย/ บ่นให้พ่อแม่ฟัง แต่ตอนนั้นไม่ไหวจริงๆ อป็นบ่อยๆเข้า เริ่ม breakdown เริ่มร้องไห้รับายให้พ่อแม่ฟังมากขึ้น พ่อก็บินมาหามาเยี่ยมในวันถัดไปอยู่ 2-3 ครั้ง ส่วนแม่ที่บอกให้เลือกมหาลัย A ไม่เคยขับรถมาหาแม้แต่วันเดียวเลยค่ะ55555 แต่ก็โทรมาคุยด้วยบ้าง
ตอนนั้นก็ยังคิดแบบเดิมอยู่ว่า "ทุกคนมีเหตุผล ทุกคนมีหน้าที่ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร"
พอเรียนปีสูงๆ ได้สัมผัสคนไข้เยอะขึ้น รู้ว่า คนเราชีวิตมันก็สั้นแค่นี้ ตายวันตายพุ่งไม่มีใครบอกได้ แล้วมาตระหนักจริงๆว่าในชีวิตนี้สิ่งที่ตัวเราต้องการที่สุดคืออะไร ก็ตกผลึกได้ว่า "อยากใช้เวลากับครอบครัว" คงเป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตโหยหามันมาตลอด พอคิดได้แบบนั้น เราร้องไห้อยู่เป็นอาทิตย์เลยค่ะ
มันช่างใจอยู่นานในความคิดที่ว่า คนส่วนใหญ่มองว่าชีวิตที่สุขสบายก็ดีแล้ว จะเรียกร้องอะไรหนักหนา ดูครอบครัวอื่นเค้าไม่มีสิบลาๆๆ ตีกับความคิดในหัวว่า เราแค่อยากได้เวลาครอบครัวแค่นั้น หรือมันเป็นความคิดที่ผิดกันนะ หรือเราไม่ควรมีความคิดแบบนี้หรือป่าว แต่ก็เป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตเราไม่เคยได้เลยนี่หน่า
- ช่วงนีงสมัย แพทย์ใช้ทุนปี 1 พอรู้ว่าพ่อแม่พี่จะบินมาหา 3 วัน แล้วเรามีเวรวอร์ดวันหยุดที่ต้องดูแลคนไข้ 24 ชม ไม่สามารถออกจากรพ.ได้ สิ่งที่เราทำคือ ขายเวรวันนั้น 24 ชม.ด้วยราคา 15,000 บาท โดยไม่มีคำว่าเสียใจ เสียดาย หรืออะไรเลยค่ะ สำหรับครอบครัวเราสามารถให้เค้าเต็มที่ได้หมด แต่ที่ต้องมาตั้งกระทู้นี้เพราะ ล่าสุด เรามีการงานที่มั่นคง มีเงินที่หาด้วยตัวเองได้แบบไม่เดือดร้อน ตัดสินใจ"จะพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ" โดยทั้งทริปเราตั้งใจออกเองทั้งหมด อยากสร้างความทรงจำดีๆ มีเวลากับครอบครัว จะได้ไม่เสียดายในภายหลังว่ายังไม่ได้พาพ่อแม่ไปทำนู่นนี่นั่นเลย เหมือนเติมสิ่งที่ขาด สิ่งที่โหยหามาตลอดทั้งชีวิต แน่วแน่มากๆว่าต้องพาไปให้ได้ พ่อแม่คงไม่มีข้ออ้างอะไรแล้ว ผลสรุปคืออะไรรู้มั้ยคะ
.
.
. พ่อแม่บอกเราว่า "ขอไม่ไปนะลูก แก่แล้ว สุขภาพไม่ดี มันจะลำบากเปล่าๆ" 55555555555555555555555 ตอนฟังเราอึ้งแบบตื้อไปหมด เหมือนโลกพังลงตรงหน้า ไม่รู้จะปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไรยังไงเลยค่ะ5555555 เสียใจจนร้องไห้สลับหัวเราะ เราไม่ฟูมฟาย แต่ร้องไห้จนปวดหัวนอนตื่นมาก็ร้องไห้ต่อ ร้องจนเข้าใจคำว่าร้องจนไม่มีน้ำตาเป็นยังไง หลังจากวันนั้นมา เราพบจิตแพทย์ หยุดคิดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้ แล้วก็ปิดจบด้วยคำที่ปลอบตัวเองมาเสมอตั้งแต่เด็กจนตอนนี้คือ " ไม่เป็นไรนะ มันไม่เป็นไร ทุกคนมีเหตุผล มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ"
เราแค่อยากระบายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ขอบคุณทุกคนที่รับฟัง และ*****ได้โปรด***** อย่าแสดงความเห็นเชิง มีชีวิตที่สุขสบายก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ไม่พร้อมทั้งด้านเงินและเวลา หรือประโยคคล้ายๆใจความนี้ เพราะเราทราบดี แต่แค่อยากระบายสิ่งที่พบเจอ เราก็ขาดความอบอุ่นในครอบครัวเช่นเดียวกัน และเราคงยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่เราคิด มันเหมือนไม่สามารถมีความคิดแบบนั้นได้ ทั้งๆที่มันเกิดขึ้นจริงและสร้างแผลใจไปแล้ว
สุดท้าย ขอบคุณทุกคนมากๆอีกครั้งนะคะ ขอบคุณจากใจจริงค่ะ ขอให้ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการนะ