แพทย์อิสราเอลดูแล 10 คนไทยที่ฮามาสปล่อยตัว เบื้องต้นทุกคนแข็งแรงดี
https://www.dailynews.co.th/news/2934267/
ตัวประกันชาวไทย 10 คน และชาวฟิลิปปินส์อีกคนหนึ่ง ซึ่งกลุ่มฮามาสปล่อยตัวออกจากฉนวนกาซา อยู่ในความดูแลของแพทย์ ที่เผยในเบื้องต้นว่า "ทุกคนแข็งแรงดี"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ว่า กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลออกแถลงการณ์ ยืนยันการรับพลเมืองไทย 10 คน และชาวฟิลิปปินส์ 1 คน ซึ่งกลุ่มฮามาสปล่อยตัวออกจากฉนวนกาซา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตอนนี้ทุกคนอยู่ในความดูแลของบุคลากรการแพทย์ ที่ศูนย์การแพทย์ชาเมียร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทลอาวีฟ เพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพจิตอย่างละเอียด ก่อนส่งทุกคนให้เดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ รัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยและฟิลิปปินส์ ติดต่อกับพลเมืองที่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว และครอบครัวของทุกคนได้รับแจ้งข่าวดีเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกฝ่ายยังคงสงวนข้อมูล เกี่ยวกับชาวไทยและชาวฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ แต่ในเบื้องต้นมีการยืนยันว่า “
ทุกคนมีสุขภาพดี”
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์กล่าวว่า การปล่อยตัวประกันชาวไทยและชาวฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ “
เป็นข้อตกลงคนละส่วน” กับการเจรจาหยุดยิง 4 วัน ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
ด้านสื่อท้องถิ่นหลายแห่งรายงานว่า นอกเหนือจากกาตาร์และอียิปต์ อิหร่านและมาเลเซีย มีบทบาทสำคัญในการเจรจาช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยและชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัวออกไปจากอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา
https://twitter.com/haaretzcom/status/1728148987272695844
โรม อัดภูมิธรรม เบี่ยงปมร้อน ฝากตร. ขอบคุณเศรษฐา ชี้เบาะแสชัด ระบบอุปถัมภ์ยังอยู่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4299564
“โรม“ ยัน ‘ตั๋วการเมือง’ มีแน่ ถามหาสปิริต “เศรษฐา” ปม หลุดปากแต่งตั้งผู้กำกับกลางที่ประชุม ส.ส.เพื่อไทย เผย เชิญเข้าชี้แจง กมธ.ความมั่นคง 7 ธ.ค.นี้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีตั๋วเพื่อไทย ภายหลัง นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เรื่องการขอแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับการว่า ถ้าฟังจากนาย
เศรษฐาทั้งหมด ที่ตอนนี้ใช้วิธีการเงียบ ขณะนี้ข้อมูลที่ตนได้รับจากนาตาชา ทั้งหลายค่อนข้างยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า ตั๋วการเมืองมีแน่ แต่มีมากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวเราคงจะได้เห็นกัน หลังจากโผออกมา ตนไม่ได้เป็นคนเห็นโผ จึงยังตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายจะจบแบบไหน แต่ถ้าโผออก คงจะเห็นควาชัดเจน
นาย
รังสิมันต์กล่าวต่อว่า แต่ถ้าตอบคำถามว่า ตั๋วเพื่อไทย จะเป็นไซซ์ไหน ตนขอจัดตั๋วเอาไว้ 5 ประเภท คือ ตั๋วช้าง, ตั๋ว สร.1 หรือตั๋วนายกฯ, ตั๋ว ผบ.ตร., ตั๋วนาย และตั๋วอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถจัดประเภทชัดเจนได้ ประเด็นคือ ตั๋ว สร.1 มากแค่ไหน ก็เกือบจะที่สุด เนื่องจากโดยมากแล้ว เป็นสิ่งที่ถ้าขอก็มักจะได้ ขึ้น อยู่กับว่า สร.1 จะเอาแค่ไหน บางครั้งอาจจะจดว่า คนนี้ต้องได้ บางครั้งก็อาจจะจดว่า คนนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าตั๋วเพื่อไทยในรอบนี้นายกฯทำแบบไหน คงต้องติดตามกัน ในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีการเชิญนายกฯเข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.ความมั่นคงฯ
เมื่อถามถึงลักษณะการตรวจสอบ ระหว่าง ‘ตั๋ว สร.1’ และ ‘ตั๋วเพื่อไทย’ จะมีการเฉพาะเจาะจงไปในพื้นที่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหรือไม่ นาย
รังสิมันต์กล่าวย้ำว่า รอดูโผก่อนดีกว่า ตนรอฟังจากแหล่งข่าวภายใน ยังไม่อยากสรุป แล้วจึงค่อยนำมาเทียบกัน ถ้ามีคำชี้แนะจากนาตาชาทั้งหลายที่อยู่ตามองค์กรตำรวจมาเป็นแนวทางว่า ควรจะดูที่ตรงไหน ก็จะช่วยให้เราตรวจสอบ และทำงานได้เร็วขึ้น
เมื่อถามว่า การแสดงท่าทีของนายกฯ ควรมีมาตรฐานอย่างไรบ้าง เนื่องจากการชี้แจงที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจน และทำให้บางฝ่ายเรียกร้องให้มีการลาออก นาย
รังสิมันต์มองว่า คำพูดของนายกฯชัดเจนว่า หมายถึงเรื่องตั๋ว และตนเองก็เกี่ยวข้องกับการฝากตั๋ว โดยที่มาก็อาจจะมาจาก ส.ส.ของพรรคตัวเอง แบ่งได้สองทางคือ
1. คำพูดของนายกฯน่าเชื่อถือ เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็มองไปในทิศทางนี้ว่า นายกฯคงจะรู้ว่าใครสมหวัง หรือไม่สมหวัง จึงสามารถพูดได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
2. ถ้านายกฯประกาศต่อสังคมว่าโกหก ตนเองไม่น่าเชื่อถือ ต้องการแค่อวดรู้ พูดส่งเดชไปอย่างนั้น เราก็อาจเอาผิดนายกฯไม่ได้
“
ถ้านายกฯบอกว่า ผมเป็นคนน่าเชื่อถือ ผมพูดอะไรมา ผมต้องมีข้อเท็จจริงก่อน ผมมีสติสัมปชัญญะในการพูด เราไม่ได้มีคนวิกลจริตเป็นนายกฯ ถ้าเป็นในลักษณะแบบนั้น นายกฯก็ต้องรับผิดชอบ เพราะคำพูดของนายกฯ คือหลักฐานที่มัดตัวนายกฯเอง ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย” นาย
รังสิมันต์กล่าว
นาย
รังสิมันต์กล่าวอีกว่า คำถามคือ คุณใช้มาตรฐานไหน ความผิดที่ชัดเจนแบบนี้ ถ้าเป็นปกติของประเทศที่มีอารยะ ถ้าเจออะไรที่เป็นความผิดมาก นายกฯก็จะมีความรับผิดชอบทางการเมืองหน่อย บางประเทศก็อาจจะลาออก ผิดกฎหมายหรือเปล่าไม่รู้ แต่กรณีนี้หนักที่เป็นกรณีของระบบอุปถัมภ์ เป็นกรณีที่ขัดแย้งต่อสิ่งที่นายกฯได้หาเสียงเอาไว้ตอนหาเสียง แล้วผิดกฎหมายด้วย คำถามคือ นายกฯยังมีสปิริต และแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองที่จะลาออกไหม เป็นเรื่องของนายกฯที่ต้องตัดสินใจ และเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้เป็นตัววัดคุณภาพของนายกฯคนนี้
“
นายกฯจะเดินต่อไปก็ได้ ในแง่กระบวนการทางกฎหมาย รอฝ่ายค้านหารือหลัง กมธ.ความมั่นคงฯเรียกนายกฯเข้ามาก่อน แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเดินไปอย่างไร แน่นอนว่าช่องทางการตรวจสอบตรงนี้ ไม่ได้มีเฉพาะในส่วนของฝ่ายค้าน ตนเข้าใจว่า ก็มีบางคนไปร้องต่อองค์กรอิสระต่างๆ แล้ว แต่ก็ต้องไปดูว่ากระบวนการตรวจสอบจะใช้กับนายกฯคนนี้ได้หรือไม่” นาย
รังสิมันต์กล่าว
เมื่อถามถึงคำคาดหวังส่วนตัว ต่อการแสดงความรับผิดชอบของนายกฯ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ทุกวันนี้ยังใช้วิธีการเงียบอยู่เลย ตนไม่เห็นถึงความรู้สึกผิดต่อการพูดเรื่องนี้เลย ถ้าพูดถึงผู้นำประเทศแล้วคุณรู้เห็นกับระบบอุปถัมภ์ ที่มันทำร้ายคนเยอะมากขณะนี้ ซึ่งคุณปล่อยผ่านไป แล้วพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน ถ้าผมมาดูตัวเองในวิดีโอแบบนี้ ผมคงรู้สึกผิด แต่ผมไม่รู้ว่านายกฯผู้นี้ยังไง
นาย
รังสิมันต์กล่าวต่อว่า เพราะในวันถัดมา ก็เป็นการไปชี้แจงข้างๆ คูๆ ไปพูดถึงเรื่องความบ้าง ไม่ใช่เรื่องคน ทั้งๆ ที่เป็นแค่ข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น สิ่งเดียวที่นายกฯอาจจะพอพูดได้แล้วฟังขึ้น คือพูดออกมาเลยว่า “ผมเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ผมพูดโกหก ผมต้องการโชว์ เพื่อจะเอาใจ ส.ส.เพื่อไทย” สังคมจะได้รู้ว่าคนคนนี้ เป็นคนที่พูดอะไรแล้วสังคมไม่ควรจะให้คุณค่า จะเอาแบบนั้นหรือไม่
นาย
รังสิมันต์กล่าวถึงความรู้สึกตัวเองว่า สำหรับตนค่อนข้างผิดหวัง ในฐานะที่ติดตามเรื่องนี้ เพราะทุกครั้งที่ตนสัมผัสกับตำรวจชั้นผู้น้อย ตนรู้ดีว่าพวกเขามีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างไร เขาไม่ได้อยากทำ เขาอยู่ในระบบที่มันแย่ขนาดไหน ซึ่งเมื่อตนเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็มีโอกาสที่จะสามารถพูดแทนพวกเขา แล้วมันน่าผิดหวังกับรัฐบาลพลเรือนขนาดไหน แม้ตำรวจหลายท่านอาจจะไม่ได้มีโอกาส ไม่ได้เลือกนายเศรษฐามาเป็นนายกฯ แต่เขาก็มีความหวังเล็กๆ ว่า มันน่าจะดีกว่ารอบที่แล้ว สุดท้ายรอบนี้กลับโฉ่งฉ่างกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เรามี พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจฉบับใหม่ ที่พยายามแก้ปัญหาที่ผ่านมา แต่ก็เหมือนจะพิสูจน์ได้ว่านายกฯยังสามารถเข้ามาแทรกแซงได้
เมื่อถามถึงกรณีที่ นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมาระบุว่า ฝ่ายค้านพยายามเชื่อมโยงเรื่องนี้กับการเมือง เพื่อหวังคะแนนนิยม นายรังสิมันต์กล่าวว่า เรายังไม่เห็นสัญญาณการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆ นี้ สิ่งที่นายภูมิธรรมพูดคือการเบี่ยงประเด็น ข้อเท็จจริงคือ ตกลงแล้ว นายกฯมีตั๋ว สร.1 หรือไม่ ฝากโดย ส.ส.เพื่อไทยใช่หรือไม่ เราไปสืบสวนสอบสวนกันจริงๆ แล้วพบว่า มีการฝากกันจริง ส.ส.เพื่อไทยกี่คน ละลายทั้งพรรคหรือเปล่า ผิด ม.185 กันกี่คน นายกฯผิด ม.186 หรือไม่
“
อย่าบอกว่ามาโยงเรื่องการเมือง หรือเรื่องอะไรทั้งสิ้น มันอยู่ที่ข้อเท็จจริง เราเป็นนักการเมือง เรามีหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อนายกฯพูดเรื่องนี้ คุณจะให้ฝ่ายค้านเงียบหรือ พอตรวจสอบไปแล้ว พูดไปแล้ว จะให้หยุดพูดหรือ ถ้าหยุดพูดแล้ว กระบวนการยุติธรรม จะเป็นธรรมใช่ไหม” นาย
รังสิมันต์กล่าว
“
ที่เรื่องทั้งหมดมาถึงขนาดนี้ คนที่ชี้เบาะแส ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ คือนายกฯที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน ขอบคุณคุณเศรษฐา ที่ช่วยยืนยันว่าวันนี้ระบบอุปถัมภ์ยังมีอยู่” นาย
รังสิมันต์กล่าว
“สมชัย” ห่วงรบ.ออกพ.ร.บ.กู้เงินรบ.อาจผิดวินัยคลัง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_645572/
“สมชัย” อดีตกกต. เผยรัฐบาลจะออกพ.ร.บ.กู้เงินใช้โครงการแจกเงินดิจิทัล 1หมื่นบาท อาจเข้าข่ายการทำผิดวินัยการเงินการคลังของรัฐ
รศ.
สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่าสำหรับการออกพ.ร.บ.กู้เงินนั้น คนที่จะบอกว่าเศรษฐกิจวิกฤตินั้นแต่ละคนจะมีมุมมองที่ต่างกัน ในฝั่งของรัฐบาลก็มองว่าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพราะ GDP ของประเทศที่ออกมาในไตรมาสที่ 3 ค่อนข้าง ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการทำให้ GDP มันสูงขึ้นถ้าGDP สูงขึ้นก็จะทำให้คนกินดีอยู่ดีมากขึ้น
ทางออกรัฐบาลที่บอกว่าไปใช้วิธีการแจกเงินมันก็อาจจะช่วยกระตุ้น GDP ได้บ้าง เพราะว่าเป็นเรื่องเม็ดเงินลงไปก็ไม่น้อย แต่ตอนนี้ปัญหาก็คือว่าถ้ามาจากการกู้ก็ต้องคิดให้ดี กลายเป็นโจทย์ใหญ่ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ แล้วจะมาอ้างวิกฤติ อ้างแล้วคนจะเชื่อหรือไม่ จริงๆ แล้วมันก็ไม่เป็นภาวะที่จำเป็นเร่งด่วนจนถึงวิกฤติขนาดนั้น ตรงนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ตีความกันไปมาได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้รศ.
สมชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าไม่เดินหน้าโครงการนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่เป็นจะเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญ ประชาชนตั้งความหวังไว้เยอะ ถ้าหากทำไม่ได้ก็อาจจะเสื่อมเสียในเชิงของความน่าเชื่อถือ
ส่วนในประเด็นที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะไม่กู้ แต่ตอนนี้กลับจะมากู้เงินอาจจะเข้าข่ายเป็นประเด็นทางกฎหมาย เพราะหากในกรณีแจ้งกกต.ไว้อย่างหนึ่ง ว่าแหล่งที่มาของงบประมาณในเรื่องนี้มาจากงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด เพราะ 4 รายการที่แจ้งแหล่งเงิน ไม่ว่าจะเป็นมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษี มีตัวทวีคูณที่มาจากนโยบายดังกล่าว มีเรื่องของการประหยัดงบประมาณรายจ่ายต่างๆ ให้มากขึ้น มีการตัดรายการสวัสดิการต่างๆ ที่ซ้ำซ้อน มันเป็นงบประมาณแผ่นดินทั้งหมดเลย ไม่ได้พูดเรื่องการกู้เงินเลย พอมาเปลี่ยนเป็นวิธีการกู้เงิน ก็อาจจะมีฝ่ายที่ตีความว่ามันไม่ตรงกับที่แจ้ง กกต. จะเข้าข่ายหาเสียงโดยหลอกลวงหรือไม่
ตรงนี้ก็เป็นประเด็นที่เป็นห่วง แต่ที่น่าห่วงกว่านั้นคือการที่รัฐบาลอาจจะเข้าข่ายการทำผิดวินัยการเงินการคลังของรัฐหรือไม่ เพราะว่ามันเป็นประเด็นที่ว่ารัฐบาลจะกู้เงินมาทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องดูเหตุผลความจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่กู้มาแจกประชาชนบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจตรงนี้จะเป็นปัญหาที่จะเป็นข้อกฎหมายหนักกว่า
JJNY : แพทย์อิสราเอลดูแล10คนไทย│โรมอัดภูมิธรรมเบี่ยงปมร้อน│“สมชัย” ห่วงรบ.ออกพ.ร.บ.กู้เงิน│หนี้เสียเช่าซื้อรถพุ่งไม่หยุด
https://www.dailynews.co.th/news/2934267/
ตัวประกันชาวไทย 10 คน และชาวฟิลิปปินส์อีกคนหนึ่ง ซึ่งกลุ่มฮามาสปล่อยตัวออกจากฉนวนกาซา อยู่ในความดูแลของแพทย์ ที่เผยในเบื้องต้นว่า "ทุกคนแข็งแรงดี"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ว่า กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลออกแถลงการณ์ ยืนยันการรับพลเมืองไทย 10 คน และชาวฟิลิปปินส์ 1 คน ซึ่งกลุ่มฮามาสปล่อยตัวออกจากฉนวนกาซา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตอนนี้ทุกคนอยู่ในความดูแลของบุคลากรการแพทย์ ที่ศูนย์การแพทย์ชาเมียร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทลอาวีฟ เพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพจิตอย่างละเอียด ก่อนส่งทุกคนให้เดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ รัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยและฟิลิปปินส์ ติดต่อกับพลเมืองที่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว และครอบครัวของทุกคนได้รับแจ้งข่าวดีเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกฝ่ายยังคงสงวนข้อมูล เกี่ยวกับชาวไทยและชาวฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ แต่ในเบื้องต้นมีการยืนยันว่า “ทุกคนมีสุขภาพดี”
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์กล่าวว่า การปล่อยตัวประกันชาวไทยและชาวฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ “เป็นข้อตกลงคนละส่วน” กับการเจรจาหยุดยิง 4 วัน ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
ด้านสื่อท้องถิ่นหลายแห่งรายงานว่า นอกเหนือจากกาตาร์และอียิปต์ อิหร่านและมาเลเซีย มีบทบาทสำคัญในการเจรจาช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยและชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัวออกไปจากอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา
https://twitter.com/haaretzcom/status/1728148987272695844
โรม อัดภูมิธรรม เบี่ยงปมร้อน ฝากตร. ขอบคุณเศรษฐา ชี้เบาะแสชัด ระบบอุปถัมภ์ยังอยู่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4299564
“โรม“ ยัน ‘ตั๋วการเมือง’ มีแน่ ถามหาสปิริต “เศรษฐา” ปม หลุดปากแต่งตั้งผู้กำกับกลางที่ประชุม ส.ส.เพื่อไทย เผย เชิญเข้าชี้แจง กมธ.ความมั่นคง 7 ธ.ค.นี้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีตั๋วเพื่อไทย ภายหลัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เรื่องการขอแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับการว่า ถ้าฟังจากนายเศรษฐาทั้งหมด ที่ตอนนี้ใช้วิธีการเงียบ ขณะนี้ข้อมูลที่ตนได้รับจากนาตาชา ทั้งหลายค่อนข้างยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า ตั๋วการเมืองมีแน่ แต่มีมากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวเราคงจะได้เห็นกัน หลังจากโผออกมา ตนไม่ได้เป็นคนเห็นโผ จึงยังตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายจะจบแบบไหน แต่ถ้าโผออก คงจะเห็นควาชัดเจน
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า แต่ถ้าตอบคำถามว่า ตั๋วเพื่อไทย จะเป็นไซซ์ไหน ตนขอจัดตั๋วเอาไว้ 5 ประเภท คือ ตั๋วช้าง, ตั๋ว สร.1 หรือตั๋วนายกฯ, ตั๋ว ผบ.ตร., ตั๋วนาย และตั๋วอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถจัดประเภทชัดเจนได้ ประเด็นคือ ตั๋ว สร.1 มากแค่ไหน ก็เกือบจะที่สุด เนื่องจากโดยมากแล้ว เป็นสิ่งที่ถ้าขอก็มักจะได้ ขึ้น อยู่กับว่า สร.1 จะเอาแค่ไหน บางครั้งอาจจะจดว่า คนนี้ต้องได้ บางครั้งก็อาจจะจดว่า คนนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าตั๋วเพื่อไทยในรอบนี้นายกฯทำแบบไหน คงต้องติดตามกัน ในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีการเชิญนายกฯเข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.ความมั่นคงฯ
เมื่อถามถึงลักษณะการตรวจสอบ ระหว่าง ‘ตั๋ว สร.1’ และ ‘ตั๋วเพื่อไทย’ จะมีการเฉพาะเจาะจงไปในพื้นที่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวย้ำว่า รอดูโผก่อนดีกว่า ตนรอฟังจากแหล่งข่าวภายใน ยังไม่อยากสรุป แล้วจึงค่อยนำมาเทียบกัน ถ้ามีคำชี้แนะจากนาตาชาทั้งหลายที่อยู่ตามองค์กรตำรวจมาเป็นแนวทางว่า ควรจะดูที่ตรงไหน ก็จะช่วยให้เราตรวจสอบ และทำงานได้เร็วขึ้น
เมื่อถามว่า การแสดงท่าทีของนายกฯ ควรมีมาตรฐานอย่างไรบ้าง เนื่องจากการชี้แจงที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจน และทำให้บางฝ่ายเรียกร้องให้มีการลาออก นายรังสิมันต์มองว่า คำพูดของนายกฯชัดเจนว่า หมายถึงเรื่องตั๋ว และตนเองก็เกี่ยวข้องกับการฝากตั๋ว โดยที่มาก็อาจจะมาจาก ส.ส.ของพรรคตัวเอง แบ่งได้สองทางคือ
1. คำพูดของนายกฯน่าเชื่อถือ เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็มองไปในทิศทางนี้ว่า นายกฯคงจะรู้ว่าใครสมหวัง หรือไม่สมหวัง จึงสามารถพูดได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
2. ถ้านายกฯประกาศต่อสังคมว่าโกหก ตนเองไม่น่าเชื่อถือ ต้องการแค่อวดรู้ พูดส่งเดชไปอย่างนั้น เราก็อาจเอาผิดนายกฯไม่ได้
“ถ้านายกฯบอกว่า ผมเป็นคนน่าเชื่อถือ ผมพูดอะไรมา ผมต้องมีข้อเท็จจริงก่อน ผมมีสติสัมปชัญญะในการพูด เราไม่ได้มีคนวิกลจริตเป็นนายกฯ ถ้าเป็นในลักษณะแบบนั้น นายกฯก็ต้องรับผิดชอบ เพราะคำพูดของนายกฯ คือหลักฐานที่มัดตัวนายกฯเอง ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า คำถามคือ คุณใช้มาตรฐานไหน ความผิดที่ชัดเจนแบบนี้ ถ้าเป็นปกติของประเทศที่มีอารยะ ถ้าเจออะไรที่เป็นความผิดมาก นายกฯก็จะมีความรับผิดชอบทางการเมืองหน่อย บางประเทศก็อาจจะลาออก ผิดกฎหมายหรือเปล่าไม่รู้ แต่กรณีนี้หนักที่เป็นกรณีของระบบอุปถัมภ์ เป็นกรณีที่ขัดแย้งต่อสิ่งที่นายกฯได้หาเสียงเอาไว้ตอนหาเสียง แล้วผิดกฎหมายด้วย คำถามคือ นายกฯยังมีสปิริต และแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองที่จะลาออกไหม เป็นเรื่องของนายกฯที่ต้องตัดสินใจ และเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้เป็นตัววัดคุณภาพของนายกฯคนนี้
“นายกฯจะเดินต่อไปก็ได้ ในแง่กระบวนการทางกฎหมาย รอฝ่ายค้านหารือหลัง กมธ.ความมั่นคงฯเรียกนายกฯเข้ามาก่อน แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเดินไปอย่างไร แน่นอนว่าช่องทางการตรวจสอบตรงนี้ ไม่ได้มีเฉพาะในส่วนของฝ่ายค้าน ตนเข้าใจว่า ก็มีบางคนไปร้องต่อองค์กรอิสระต่างๆ แล้ว แต่ก็ต้องไปดูว่ากระบวนการตรวจสอบจะใช้กับนายกฯคนนี้ได้หรือไม่” นายรังสิมันต์กล่าว
เมื่อถามถึงคำคาดหวังส่วนตัว ต่อการแสดงความรับผิดชอบของนายกฯ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ทุกวันนี้ยังใช้วิธีการเงียบอยู่เลย ตนไม่เห็นถึงความรู้สึกผิดต่อการพูดเรื่องนี้เลย ถ้าพูดถึงผู้นำประเทศแล้วคุณรู้เห็นกับระบบอุปถัมภ์ ที่มันทำร้ายคนเยอะมากขณะนี้ ซึ่งคุณปล่อยผ่านไป แล้วพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน ถ้าผมมาดูตัวเองในวิดีโอแบบนี้ ผมคงรู้สึกผิด แต่ผมไม่รู้ว่านายกฯผู้นี้ยังไง
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า เพราะในวันถัดมา ก็เป็นการไปชี้แจงข้างๆ คูๆ ไปพูดถึงเรื่องความบ้าง ไม่ใช่เรื่องคน ทั้งๆ ที่เป็นแค่ข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น สิ่งเดียวที่นายกฯอาจจะพอพูดได้แล้วฟังขึ้น คือพูดออกมาเลยว่า “ผมเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ผมพูดโกหก ผมต้องการโชว์ เพื่อจะเอาใจ ส.ส.เพื่อไทย” สังคมจะได้รู้ว่าคนคนนี้ เป็นคนที่พูดอะไรแล้วสังคมไม่ควรจะให้คุณค่า จะเอาแบบนั้นหรือไม่
นายรังสิมันต์กล่าวถึงความรู้สึกตัวเองว่า สำหรับตนค่อนข้างผิดหวัง ในฐานะที่ติดตามเรื่องนี้ เพราะทุกครั้งที่ตนสัมผัสกับตำรวจชั้นผู้น้อย ตนรู้ดีว่าพวกเขามีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างไร เขาไม่ได้อยากทำ เขาอยู่ในระบบที่มันแย่ขนาดไหน ซึ่งเมื่อตนเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็มีโอกาสที่จะสามารถพูดแทนพวกเขา แล้วมันน่าผิดหวังกับรัฐบาลพลเรือนขนาดไหน แม้ตำรวจหลายท่านอาจจะไม่ได้มีโอกาส ไม่ได้เลือกนายเศรษฐามาเป็นนายกฯ แต่เขาก็มีความหวังเล็กๆ ว่า มันน่าจะดีกว่ารอบที่แล้ว สุดท้ายรอบนี้กลับโฉ่งฉ่างกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เรามี พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจฉบับใหม่ ที่พยายามแก้ปัญหาที่ผ่านมา แต่ก็เหมือนจะพิสูจน์ได้ว่านายกฯยังสามารถเข้ามาแทรกแซงได้
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมาระบุว่า ฝ่ายค้านพยายามเชื่อมโยงเรื่องนี้กับการเมือง เพื่อหวังคะแนนนิยม นายรังสิมันต์กล่าวว่า เรายังไม่เห็นสัญญาณการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆ นี้ สิ่งที่นายภูมิธรรมพูดคือการเบี่ยงประเด็น ข้อเท็จจริงคือ ตกลงแล้ว นายกฯมีตั๋ว สร.1 หรือไม่ ฝากโดย ส.ส.เพื่อไทยใช่หรือไม่ เราไปสืบสวนสอบสวนกันจริงๆ แล้วพบว่า มีการฝากกันจริง ส.ส.เพื่อไทยกี่คน ละลายทั้งพรรคหรือเปล่า ผิด ม.185 กันกี่คน นายกฯผิด ม.186 หรือไม่
“อย่าบอกว่ามาโยงเรื่องการเมือง หรือเรื่องอะไรทั้งสิ้น มันอยู่ที่ข้อเท็จจริง เราเป็นนักการเมือง เรามีหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อนายกฯพูดเรื่องนี้ คุณจะให้ฝ่ายค้านเงียบหรือ พอตรวจสอบไปแล้ว พูดไปแล้ว จะให้หยุดพูดหรือ ถ้าหยุดพูดแล้ว กระบวนการยุติธรรม จะเป็นธรรมใช่ไหม” นายรังสิมันต์กล่าว
“ที่เรื่องทั้งหมดมาถึงขนาดนี้ คนที่ชี้เบาะแส ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ คือนายกฯที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน ขอบคุณคุณเศรษฐา ที่ช่วยยืนยันว่าวันนี้ระบบอุปถัมภ์ยังมีอยู่” นายรังสิมันต์กล่าว
“สมชัย” ห่วงรบ.ออกพ.ร.บ.กู้เงินรบ.อาจผิดวินัยคลัง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_645572/
“สมชัย” อดีตกกต. เผยรัฐบาลจะออกพ.ร.บ.กู้เงินใช้โครงการแจกเงินดิจิทัล 1หมื่นบาท อาจเข้าข่ายการทำผิดวินัยการเงินการคลังของรัฐ
รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่าสำหรับการออกพ.ร.บ.กู้เงินนั้น คนที่จะบอกว่าเศรษฐกิจวิกฤตินั้นแต่ละคนจะมีมุมมองที่ต่างกัน ในฝั่งของรัฐบาลก็มองว่าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพราะ GDP ของประเทศที่ออกมาในไตรมาสที่ 3 ค่อนข้าง ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการทำให้ GDP มันสูงขึ้นถ้าGDP สูงขึ้นก็จะทำให้คนกินดีอยู่ดีมากขึ้น
ทางออกรัฐบาลที่บอกว่าไปใช้วิธีการแจกเงินมันก็อาจจะช่วยกระตุ้น GDP ได้บ้าง เพราะว่าเป็นเรื่องเม็ดเงินลงไปก็ไม่น้อย แต่ตอนนี้ปัญหาก็คือว่าถ้ามาจากการกู้ก็ต้องคิดให้ดี กลายเป็นโจทย์ใหญ่ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ แล้วจะมาอ้างวิกฤติ อ้างแล้วคนจะเชื่อหรือไม่ จริงๆ แล้วมันก็ไม่เป็นภาวะที่จำเป็นเร่งด่วนจนถึงวิกฤติขนาดนั้น ตรงนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ตีความกันไปมาได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้รศ.สมชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าไม่เดินหน้าโครงการนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่เป็นจะเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญ ประชาชนตั้งความหวังไว้เยอะ ถ้าหากทำไม่ได้ก็อาจจะเสื่อมเสียในเชิงของความน่าเชื่อถือ
ส่วนในประเด็นที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะไม่กู้ แต่ตอนนี้กลับจะมากู้เงินอาจจะเข้าข่ายเป็นประเด็นทางกฎหมาย เพราะหากในกรณีแจ้งกกต.ไว้อย่างหนึ่ง ว่าแหล่งที่มาของงบประมาณในเรื่องนี้มาจากงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด เพราะ 4 รายการที่แจ้งแหล่งเงิน ไม่ว่าจะเป็นมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษี มีตัวทวีคูณที่มาจากนโยบายดังกล่าว มีเรื่องของการประหยัดงบประมาณรายจ่ายต่างๆ ให้มากขึ้น มีการตัดรายการสวัสดิการต่างๆ ที่ซ้ำซ้อน มันเป็นงบประมาณแผ่นดินทั้งหมดเลย ไม่ได้พูดเรื่องการกู้เงินเลย พอมาเปลี่ยนเป็นวิธีการกู้เงิน ก็อาจจะมีฝ่ายที่ตีความว่ามันไม่ตรงกับที่แจ้ง กกต. จะเข้าข่ายหาเสียงโดยหลอกลวงหรือไม่
ตรงนี้ก็เป็นประเด็นที่เป็นห่วง แต่ที่น่าห่วงกว่านั้นคือการที่รัฐบาลอาจจะเข้าข่ายการทำผิดวินัยการเงินการคลังของรัฐหรือไม่ เพราะว่ามันเป็นประเด็นที่ว่ารัฐบาลจะกู้เงินมาทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องดูเหตุผลความจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่กู้มาแจกประชาชนบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจตรงนี้จะเป็นปัญหาที่จะเป็นข้อกฎหมายหนักกว่า