ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ 2 ในชีวิต แต่เรื่องที่ 1 ยังไม่ได้เล่านะครับเพราะต้องฟังเรื่องที่ 2 และ 3 ก่อน
เป็นมือใหม่เพิ่งหัดเล่าเรื่องฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นปิดเทอมปวช 1 ผมได้กลับไปเที่ยวบ้านเกิดที่ภาคอีสานห่างจากตัวอำเภอและตัวจังหวัดมาก คลื่นโทรศัพท์ไม่ค่อยมี ในตัวหมู่บ้านถ้าอยากจะโทรศัพท์หรือใช้เน็ตโทรต้องออกไปนอกหมู่บ้านเพราะหมู่บ้านถัดจากผมไปจะมีเสาโทรศัพท์อยู่ แน่นอนครับพอเรากลับบ้านไปเราก็ต้องคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่ไอ้นั่นก็ดันอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งที่ห่างกันมากๆ ตอนนั้นลืมนึกไปว่าในหมู่บ้านไม่สามารถใช้เน็ตโทรได้ แต่ด้วยความคิดถึงเพื่อนผมก็ตัดสินใจขับรถออกไปทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน แต่ก่อนจะออกไปผมหันไปถามพ่อที่นั่งดูหนังอยู่ในบ้านว่า "รถคันนี้ขับออกไปใช้ได้หรือเปล่า" เพราะมันชอบพังบ่อยๆแต่พ่อผมก็บอกว่า "รถเพิ่งซ่อมมาใหม่ๆผ่าเครื่องมาเลย" พ่อพูดมาอย่างนี้ก็ชื่นใจ หลังจากนั้นผมก็ขับออกมาจากหมู่บ้าน ให้นึกภาพทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านที่ห่างกันประมาณ 5 กิโล โดยระหว่างทางจะมีแต่ป่ายางและทุ่งนา และในใจกลางทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านนั้นจะมีสะพานอยู่ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ผมคุ้นเคยดี ตอนเด็กชอบมาเล่นกับเพื่อนๆและเหล่าวัยรุ่นก็ชอบมามั่วสุมกันบ่อยๆ ผมเลยไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวอะไร แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้กลับบ้านมา 5 ปีแล้ว ผมขับรถไปถึงสะพานไม่มีใครอยู่เลยตอนนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็น ผมจอดรถอยู่เชิงสะพานแล้วนั่งคุยกับเพื่อนตามประสาคนไม่ได้เจอกันนานจนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึง 6 โมงเย็น ฟ้าเริ่มมืดลมเริ่มนิ่ง รอบๆตัวผมเริ่มเงียบสงัดรถที่ขับผ่านไปมาก็เริ่มไม่มี ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกวังเวง พอบรรยากาศเริ่มอิ่มคึม ผมก็มองไปรอบๆ เพิ่งสังเกตว่าข้างๆสะพานมีต้นไทรใหญ่มากๆอยู่ 1 ต้น(จริงๆก็เห็นแล้วแหละแต่ไม่ได้เอามันมาบิ้วในตอนแรก) ส่วนรากของต้นไทรก็ระยงระยางเต็มต้น และเชิงสะพานฝั่งตรงข้ามกับผมก็มีกระท่อมเล็กๆที่ชาวนาเอาไว้นั่งพักกันเป็นกระท่อมผุๆพังๆ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมพึ่งมาสังเกตอะไรพวกนี้ในเวลานี้ จริงๆทุกอย่างที่ว่ามาผมเห็นมาตั้งแต่แรก แต่ตอนนั้นยังสว่างอยู่ พอทุกอย่างถูกความมืดปกคลุมความรู้สึกมันก็เปลี่ยนไป ในขณะที่กำลังมองรอบๆตัว ผมตัดสินใจจะวางสายจากเพื่อน แต่ยังไม่ทันได้ตัดบทสนทนา จังหวะที่ผมหันหน้ากลับมาดูรถตัวเอง ที่กระจกมองข้างของผม ก็ปรากฏเงาร่างใหญ่ร่างหนึ่งยืนอยู่ที่กลางถนนด้านหลังผม เวลานั้นผมหันหลังไปดูทันที ในเสี้ยววินาทีผมเห็นร่างผู้ชายที่ดำแบบกลืนกินแสงยืนอยู่ ที่ต้องบอกว่ากลืนกินแสงเพราะไฟท้ายสีแดงๆผม ทำให้ถนนทั้งแถบในเวลานั้นแดงหมดยกเว้นร่างดำร่างนั้นที่ไม่มีการสะท้อนแสงเลย ผมเห็นแบบนั้นก็หันกลับไปตั้งหลักที่รถอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความตื่นตระหนกและกลัวมากๆแต่ผมไม่ได้แสดงออกมากนัก ในเวลานั้นผมบอกเพื่อนว่า "อย่าเพิ่งวางสายนะรอกูแป๊บนึง" แต่มันเหมือนรู้สึกอะไรได้จากเสียงที่สั่นเทาของผม มันพยายามถามผมว่า "เกิดอะไรขึ้น" ด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วง แต่ผมได้แต่เงียบ... มันพยายามถามย้ำๆอยู่ในสาย ในขณะเดียวกันผมก็กำลังมองกระจกข้างและร่างร่างนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมและท่าเดิม เพื่อนๆอาจจะงงว่าทำไมผมไม่ไปไหน แน่นอนครับ ผมไปไหนไม่ได้เพราะบ้านผมผมต้องเลี้ยวรถกลับไปทางที่ร่างนั้นยืนอยู่ผมคิดอะไรไม่ออก...
แต่แล้วแสงแห่งความหวังก็วิ่งมาหาผม ผมเห็นไฟรถและคิดในใจตอนนั้น "เอาว่ะอย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง" ผมจึงตัดสินใจสตาร์ทรถเผื่อจะหันรถกลับแล้วจะขับรถหนีจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง รถผมสตาร์ทมือไม่ติดในเสี้ยววินาทีผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรผมยกขาตั้งคู่รถขึ้นและสตาร์ทเท้า ผมสตาร์ทอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 ครั้งรถไม่ตอบสนองอะไรผมเลย จนกระทั่งแสงแห่งความหวังของผมก็ขับผ่านไป แรงกดดันตอนนั้นทำให้ผมกลัวมากขึ้นแล้วตะโกนไปบอกเพื่อนที่คอยย้ำๆในสายว่า "อย่าเพิ่งพูดเดี๋ยวกูอธิบายให้ฟัง" ผมพูดไปด้วยเสียงที่สั่นเทาไม่ใช่ความโกรธ จากที่ผมมองกระจกข้าง สิ่งสิ่งนั้นก็ยังยืนอยู่ ผมตัดสินใจที่เข็รรถกลับและเข็นผ่านหน้าสิ่งๆนั้น ตอนนั้นเป็นเวลา 6 โมงครึ่งความมืดยังไม่กลืนกินพื้นบริเวณทั้งหมด ตอนผมเข็นรถผ่านร่างร่างนั้น หางตาของผมเห็นเป็นเท้าที่มันมืดดำแบบอธิบายไม่ได้ และสิ่งที่ต้องทำให้ผมวิ่งคือเสียงหายใจออกของร่างนั้นมันแหบพร่าอยู่ในคอ ผมเข็นรถห่างจากตรงนั้นไปประมาณ 500 เมตร แล้วลองสตาร์ทมืออีกครั้งแต่มันก็ยังสตาร์ทไม่ติด ผมก็เข็นไปเรื่อยๆจนไปเจอไฟถนนแล้วจอดพัก พอผมรู้สึกสบายใจผมก็หันไปดูข้างหลังที่สะพานนั้น ตอนนั้นไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว แล้วลองสตาร์ทมืออีกครั้งรถกลับสตาร์ทติดแบบง่ายๆ ตอนนั้นไม่มีเวลามาบ่นอะไรมากผมรีบขับรถเข้าไปในหมู่บ้านระหว่างทางก็บอกเพื่อนว่า "ไม่เชื่อกูแน่เมื่อกี้กูโดนผีหลอก"
ผมกลับมาบ้านด้วยความตื่นเต้นและมีความสุขปนความกลัวเพราะได้เจอพี่ชัดๆเป็นครั้งแรก ผมกลับไปถามพ่อทันทีด้วยความที่ไม่ได้กลับมาบ้านเป็นเวลา 5 ปี ผมถามเพราะว่า "สะพานที่เป็นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านมีใครตายหรือเปล่า" พ่อก็บอกมาว่า "ไม่มีใครตายหรอกเกิดอะไรขึ้น?" พ่อผมถาม "ผมเจอผีมา" ผมตอบกลับด้วยความตื่นเต้น แล้วผมก็เล่าสถานการณ์ต่างๆให้พ่อฟัง แต่พ่อก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ สุดท้ายแล้วบทสรุปผมก็ยังไม่ได้คำตอบว่าที่นั่นเคยเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า วันต่อมามีงานบุญที่หมู่บ้านของผม ผมตัดสินใจเล่าเรื่องต่างๆให้รุ่นพี่และเพื่อนๆฟัง และด้วยความขี้สงสัยของผม ตอนนั้นความกลัวหายไปทั้งหมดผมบอกเหล่าเพื่อนๆและพี่ๆว่าต้องการคนอาสาไปที่สะพานนั้นในตอนนี้เพราะมันใกล้เป็นเวลาที่ผมเจอผีแล้ว ตอนนั้นผมอยากรู้ว่าเงาดำๆนั้นมันเกิดมาได้ไงมันอาจจะเป็นเงาจากต้นไม้หรือเปล่า แต่พอผมขับรถไปกับพี่อีกคนนึงไปจอดอยู่ที่เดิมมุมเดิมทำท่าทางเดิมและเวลาเดิม ผมกลับไม่เจออะไรที่ผิดปกติเลย แต่อยู่ดีๆ พี่คนที่มากับผมก็ต้องรีบตะโกนบอกผมด้วยความตื่นตระหนก ให้ผมไปดูอะไรบางอย่าง ในเชิงสะพานฝั่งที่อยู่ด้านหลังผม เขาเรียกให้ผมไปดูใต้สะพาน สิ่งที่ผมเห็นก็ต้องทำให้ผมตกใจ เพราะมันเป็นศาลไม้เก่าๆที่ยังมีการบูชาเซ่นไหว้ต่างๆอยู่ตั้งอยู่ใต้สะพาน ผมไม่รู้นั่นคือศาลอะไรอาจจะไหว้ผีเจ้าที่หรือศาลตายายอันนี้ผมไม่รู้เลยแต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่มาปรากฏให้ผมเห็นในวันนั้น น่าจะมาจากศาลนี้ล่ะครับ
จบไปแล้วครับสำหรับเรื่องผีเรื่องผีเรื่องแรกที่ผมได้โพสต์กระทู้ลงพันทิป แต่เรื่องผีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ในชีวิตของผม ผมยังมีเรื่องผีอีก 3 เรื่องที่อยากเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ
"ที่บ้านไม่มีสัญญาณ" เรื่องผีเรื่องที่ 2 มีชีวิต
เป็นมือใหม่เพิ่งหัดเล่าเรื่องฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ