ตัดแขนตัดขา อิสราเอลสังหารผู้พัฒนาอาวุธของกลุ่มฮามาส
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/209860
กองทัพอิสราเอลรายงานว่า สามารถสังหาร โมห์เซน อาบู ซินา ผู้พัฒนาและผลิตอาวุธคนสำคัญของกลุ่มฮามาสได้สำเร็จ
วันนี้ (8 พ.ย.) หลังจากที่กองทัพอิสราเอลได้รุกคืบไปยังใจกลางเมืองกาซาซิตี เมืองหลักของฉนวนกาซาที่คาดว่าเป็นศูนย์กลางของกลุ่มฮามาส ล่าสุดกองทัพอิสราเอลรายงานผ่านเทเลแกรมว่า สามารถสังหาร
โมห์เซน อาบู ซินา ผู้พัฒนาและผลิตอาวุธคนสำคัญของกลุ่มฮามาสได้สำเร็จ จากการโจมตีทางอากาศใส่ฉนวนกาซา
กองทัพอิสราเอลระบุว่า “
จากข้อมูลข่าวกรอง เครื่องบินรบของกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ได้สังหาร โมห์เซน อาบู ซินา หัวหน้าฝ่ายอาวุธและการผลิตของกลุ่มฮามาส”
กองทัพบอกว่า “
โมห์เซน อาบู ซินา ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอาวุธชั้นนำของฮามาส และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาอาวุธเชิงยุทธศาสตร์และจรวดที่ผู้ก่อการร้ายฮามาสใช้”
นอกจากนี้ กองทัพอิสราเอลยังอ้างว่า สามารถระบุตำแหน่งของผู้ก่อการร้ายที่วางแผนจะยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังใส่กองกำลังอิสราเอล จึงสั่งเครื่องบินเข้าโจมตีตำแหน่งของผู้ก่อการร้ายที่รับผิดชอบในการยิงจรวดไปยังอิสราเอล และเป้าหมายดังกล่าวได้ถูกทำลายลงแล้ว ทำให้นักสู้ของฮามาสเสียชีวิตไปหลายคน
อิสราเอลโจมตีฉนวนกาซาจากทางอากาศ และใช้กองกำลังภาคพื้นดินแบ่งพื้นที่ฉนวนกาซาออกเป็น 2 ส่วน โดยขณะนี้ การโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดินมุ่งเป้าไปที่เครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ของกลุ่มฮามาส
พลเรือตรี
แดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพ กล่าวว่า วิศวกรกำลังใช้อุปกรณ์ระเบิดทำลายเครือข่ายอุโมงค์ที่สร้างโดยกลุ่มฮามาส ซึ่งทอดยาวไปหลายร้อยกิโลเมตรใต้ฉนวนกาซา ด้านรถถังของอิสราเอลเผชิญการต่อต้านอย่างหนักจากนักรบฮามาสที่ใช้อุโมงค์ดังกล่าวเพื่อซุ่มโจมตี
เรียบเรียงจาก
Reuters
“ใบตองแห้ง”มอง“ก้าวไกล” แก้ปัญหาคุกคามทางเพศได้อย่างกล้าหาญ สร้างมาตรฐานใหม่
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4272862
อธึกกิต แสวงสุข หรือ
ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์การเมือง สนทนาในรายการ The Politics ส่วนตัวมอง
“ส.ส.ปูอัด” ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ผิดมากกว่า
“ส.ส.แจ้” วุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี ซึ่งในพรรคควรที่จะมีคนที่เห็นต่าง ที่ทำอย่างนี้ถือว่ามีความกล้าหาญ อย่าง 22 ส.ส.เชื่อจะมีพรรคการเมืองขนาดเล็กรับ 2 คนเข้าพรรค ต่อไปเชื่อว่าเรื่องคุกคามทางเพศคงจะเป็นมาตรฐาน แต่ควรมีลักษณะพิเศษเข้ามาเป็นองค์ประกอบ ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
ตัวแทนนักศึกษา ร่วมถก อนุกก.ประชามติ ชู 3 จุดยืน ย้ำ ต้องแก้รธน.ได้ทั้งฉบับ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7953808
ตัวแทนนักศึกษา ร่วมถกคณะอนุกรรมการฯ ประชามติ ชู 3 จุดยืน แนะ แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ-คำถามประชามติไม่ผูกมัด-ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย
สิรภพ พุ่มพึงพุทธ ตัวแทนนักศึกษา พร้อมด้วยตัวแทนจากประธานสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กล่าวก่อนการหารือร่วมกับคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อจัดทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เรื่องประชามติมีความสำคัญในแง่พลวัตที่ผ่านมาตลอด ตั้งแต่ปี 63-65 จากการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเมื่อเปิดให้ทำประชามติแล้ว เหตุใดจึงยังมีการจำกัดให้แก้แค่บางมาตรา
นาย
สิรภพ กล่าวต่อว่า ซึ่งบางหมวดได้ถูกกำหนดแล้วว่าแก้ไขไม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ว่าด้วยรูปแบบรัฐและการปกครอง โดยประเด็นสำคัญที่จะพูดในวันนี้ คือ
1. เราต้องการแสดงความเห็นว่าควรแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา ไม่มีข้อจำกัด
2. คำถามประชามติที่จะเกิดขึ้นไม่ควรมีข้อผูกมัดตายตัว หรือนำไปสู่การถูกทำให้เป็นโมฆะ
และ 3. การมีส่วนร่วมของประชาชน ทุกภาคส่วนจะต้องมีส่วนร่วม ทั้งนี้ ตนในฐานะนักศึกษาปริญญาโท พร้อมกับอีกหลายองค์กร มีความคาดหวังอย่างยิ่งจากคณะอนุกรรมการฯ ว่าจะรับฟังความคิดเห็นของพวกเรา และนำไปประกอบกับคำถามรัฐธรรมนูญต่อไป
ด้าน นาย
นัสรี พุ่มเกื้อ ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คำถามประชามติจะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราต้องการแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา ดังนั้น การทำประชามติครั้งนี้ ถือเป็นทางเลี้ยวของประเทศ สำคัญที่สุดคือคำถามประชามติต้องไม่กว้างและแคบเกินไป
นาย
นัสรี กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ภาคประชาสังคมและประชาชนกว่า 2 แสนคน ได้ยื่นคำถามประชามติไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อรอส่งเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พวกเราต้องการคำถามประชามติ โดยมีใจความ 2 ข้อ คือ แก้ไขได้ทุกหมวดทุกมาตรา และรัฐธรรมนูญที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
“
ซึ่งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เปิดกว้างสำหรับความหลากหลายทางเพศ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สร้างความเป็นประชาธิปไตยให้กับสถาบันการเมือง ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม วางพื้นฐานรัฐสวัสดิการ สร้างกลไกป้องกันรัฐประหาร และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” นาย
นัสรี กล่าว
ไอเอเอชี้หุ้นไทยลบกว่า 15% ลดลงมากสุดในโลก แนะรัฐฟื้น LTF ช่วย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4273306
ไอเอเอ ชี้หุ้นไทยลบกว่า 15% ลดมากสุดในโลก หลังไร้แรงซื้อระยะยาว แนะรัฐฟื้นกองทุน LTF ช่วย
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน นาย
ไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (ไอเอเอ) เปิดเผยว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นโลก เฉลี่ยขึ้นมาประมาณ 10% บางตลาดที่ปรับขึ้นมาได้ดีก็ขึ้น 30-40% แต่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มที่ปรับตัวได้ไม่ดีมากนัก โดยหากนับตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยปรับลงแรงกว่า 15% แล้ว ถือว่าลดลงมากสุดในโลก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยขาดเม็ดเงินจากนักลงทุนระยะยาวเข้ามาสนับสนุน แต่ขณะนี้เริ่มเห็นเม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่แล้ว บวกกับปี 2567 คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะกลับเข้าสู่ขาขึ้นได้ทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมาเอาต์เพอร์ฟอร์มในปี 2567 ได้
นาย
ไพบูลย์กล่าวว่า ตลาดถูกกระทบเนื่องจากนักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจนโยบายรัฐบาล ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ เพราะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในตอนนี้ยังสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาไม่ได้ แต่เริ่มเห็นรัฐบาลมีความชัดเจนด้านนโยบายมากขึ้น ยอมที่จะมีการปรับเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นมากขึ้น มีความยืดหยุ่นกว่าเดิมแล้ว อาทิ การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี
ส่วนมุมมองปัจจัยต่างประเทศ ขณะนี้เงินเฟ้อเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว แรงกดดันเงินเฟ้อทั่วโลกลดลงอย่างชัดเจน และไม่น่าจะกลับมาเป็นปัญหา ทำให้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้เข้าสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดและไม่น่าจะปรับขึ้นแล้ว ปี 2567 จะเป็นปีที่มองการปรับลดลง ทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้มีเม็ดเงินกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
“
ตลาดหุ้นไทยแตกต่างจากตลาดอื่น เนื่องจากเวลาดัชนีปรับลดลงแล้วไม่ได้ปรับขึ้นมาเหมือนตลาดอื่น อาทิ สหรัฐ จากที่เจอทั้งบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้าเพราะการเลือกตั้ง และมาเจอสงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาสอีก ทำให้ดัชนีปรับลดลง แต่เป็นการลงแล้วไม่ขึ้น เพราะความมั่นใจของนักลงทุนไม่มี รวมถึงเม็ดเงินระยะยาวหายไปด้วย โดยในอดีตมีเม็ดเงินกองทุนระยะยาวเข้ามาช่วยซื้อหุ้นในช่วงที่ปรับลดลงหนักๆ อาทิ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่หายไป ทุกคนมุ่งเน้นการลงทุนระยะสั้นแทน” นาย
ไพบูลย์กล่าว
นาย
ไพบูลย์กล่าวว่า การแก้ไขและสนับสนุนตลาดหุ้นไทยให้เติบโตในระยะยาว คือ รัฐบาลต้องเพิ่มกองทุนแอลทีเอฟเข้ามา เพื่อให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นแบบระยะยาวมากขึ้น โดยตั้งแต่มีการยกเลิกกองทุนแอลทีเอฟไป ทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนสูงมาก และสูงกว่าหลายตลาดหุ้นในโลกที่ปรับลง แต่มีแรงซื้อกลับคืนไป ส่วนหุ้นไทยไม่มี ทำให้พอเจอปัจจัยลบเข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยก็จะลดลง เพราะไม่มีเงินทุนระยะยาวเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยเหมือนในอดีต ซึ่งถือเป็นจุดอ่อน
JJNY : 5in1 ตัดแขนตัดขา│มอง“ก้าวไกล”แก้อย่างกล้าหาญ│ตัวแทนนศ.ชู 3 จุดยืน│หุ้นไทยลดลงมากสุดในโลก│จับตาหนี้กำลังจะเสีย
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/209860
กองทัพอิสราเอลรายงานว่า สามารถสังหาร โมห์เซน อาบู ซินา ผู้พัฒนาและผลิตอาวุธคนสำคัญของกลุ่มฮามาสได้สำเร็จ
วันนี้ (8 พ.ย.) หลังจากที่กองทัพอิสราเอลได้รุกคืบไปยังใจกลางเมืองกาซาซิตี เมืองหลักของฉนวนกาซาที่คาดว่าเป็นศูนย์กลางของกลุ่มฮามาส ล่าสุดกองทัพอิสราเอลรายงานผ่านเทเลแกรมว่า สามารถสังหาร โมห์เซน อาบู ซินา ผู้พัฒนาและผลิตอาวุธคนสำคัญของกลุ่มฮามาสได้สำเร็จ จากการโจมตีทางอากาศใส่ฉนวนกาซา
กองทัพอิสราเอลระบุว่า “จากข้อมูลข่าวกรอง เครื่องบินรบของกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ได้สังหาร โมห์เซน อาบู ซินา หัวหน้าฝ่ายอาวุธและการผลิตของกลุ่มฮามาส”
กองทัพบอกว่า “โมห์เซน อาบู ซินา ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอาวุธชั้นนำของฮามาส และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาอาวุธเชิงยุทธศาสตร์และจรวดที่ผู้ก่อการร้ายฮามาสใช้”
นอกจากนี้ กองทัพอิสราเอลยังอ้างว่า สามารถระบุตำแหน่งของผู้ก่อการร้ายที่วางแผนจะยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังใส่กองกำลังอิสราเอล จึงสั่งเครื่องบินเข้าโจมตีตำแหน่งของผู้ก่อการร้ายที่รับผิดชอบในการยิงจรวดไปยังอิสราเอล และเป้าหมายดังกล่าวได้ถูกทำลายลงแล้ว ทำให้นักสู้ของฮามาสเสียชีวิตไปหลายคน
อิสราเอลโจมตีฉนวนกาซาจากทางอากาศ และใช้กองกำลังภาคพื้นดินแบ่งพื้นที่ฉนวนกาซาออกเป็น 2 ส่วน โดยขณะนี้ การโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดินมุ่งเป้าไปที่เครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ของกลุ่มฮามาส
พลเรือตรี แดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพ กล่าวว่า วิศวกรกำลังใช้อุปกรณ์ระเบิดทำลายเครือข่ายอุโมงค์ที่สร้างโดยกลุ่มฮามาส ซึ่งทอดยาวไปหลายร้อยกิโลเมตรใต้ฉนวนกาซา ด้านรถถังของอิสราเอลเผชิญการต่อต้านอย่างหนักจากนักรบฮามาสที่ใช้อุโมงค์ดังกล่าวเพื่อซุ่มโจมตี
เรียบเรียงจาก Reuters
“ใบตองแห้ง”มอง“ก้าวไกล” แก้ปัญหาคุกคามทางเพศได้อย่างกล้าหาญ สร้างมาตรฐานใหม่
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4272862
อธึกกิต แสวงสุข หรือใบตองแห้ง คอลัมนิสต์การเมือง สนทนาในรายการ The Politics ส่วนตัวมอง “ส.ส.ปูอัด” ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ผิดมากกว่า “ส.ส.แจ้” วุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี ซึ่งในพรรคควรที่จะมีคนที่เห็นต่าง ที่ทำอย่างนี้ถือว่ามีความกล้าหาญ อย่าง 22 ส.ส.เชื่อจะมีพรรคการเมืองขนาดเล็กรับ 2 คนเข้าพรรค ต่อไปเชื่อว่าเรื่องคุกคามทางเพศคงจะเป็นมาตรฐาน แต่ควรมีลักษณะพิเศษเข้ามาเป็นองค์ประกอบ ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
ตัวแทนนักศึกษา ร่วมถก อนุกก.ประชามติ ชู 3 จุดยืน ย้ำ ต้องแก้รธน.ได้ทั้งฉบับ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7953808
ตัวแทนนักศึกษา ร่วมถกคณะอนุกรรมการฯ ประชามติ ชู 3 จุดยืน แนะ แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ-คำถามประชามติไม่ผูกมัด-ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิรภพ พุ่มพึงพุทธ ตัวแทนนักศึกษา พร้อมด้วยตัวแทนจากประธานสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กล่าวก่อนการหารือร่วมกับคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อจัดทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เรื่องประชามติมีความสำคัญในแง่พลวัตที่ผ่านมาตลอด ตั้งแต่ปี 63-65 จากการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเมื่อเปิดให้ทำประชามติแล้ว เหตุใดจึงยังมีการจำกัดให้แก้แค่บางมาตรา
นายสิรภพ กล่าวต่อว่า ซึ่งบางหมวดได้ถูกกำหนดแล้วว่าแก้ไขไม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ว่าด้วยรูปแบบรัฐและการปกครอง โดยประเด็นสำคัญที่จะพูดในวันนี้ คือ
1. เราต้องการแสดงความเห็นว่าควรแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา ไม่มีข้อจำกัด
2. คำถามประชามติที่จะเกิดขึ้นไม่ควรมีข้อผูกมัดตายตัว หรือนำไปสู่การถูกทำให้เป็นโมฆะ
และ 3. การมีส่วนร่วมของประชาชน ทุกภาคส่วนจะต้องมีส่วนร่วม ทั้งนี้ ตนในฐานะนักศึกษาปริญญาโท พร้อมกับอีกหลายองค์กร มีความคาดหวังอย่างยิ่งจากคณะอนุกรรมการฯ ว่าจะรับฟังความคิดเห็นของพวกเรา และนำไปประกอบกับคำถามรัฐธรรมนูญต่อไป
ด้าน นายนัสรี พุ่มเกื้อ ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คำถามประชามติจะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราต้องการแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา ดังนั้น การทำประชามติครั้งนี้ ถือเป็นทางเลี้ยวของประเทศ สำคัญที่สุดคือคำถามประชามติต้องไม่กว้างและแคบเกินไป
นายนัสรี กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ภาคประชาสังคมและประชาชนกว่า 2 แสนคน ได้ยื่นคำถามประชามติไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อรอส่งเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พวกเราต้องการคำถามประชามติ โดยมีใจความ 2 ข้อ คือ แก้ไขได้ทุกหมวดทุกมาตรา และรัฐธรรมนูญที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
“ซึ่งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เปิดกว้างสำหรับความหลากหลายทางเพศ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สร้างความเป็นประชาธิปไตยให้กับสถาบันการเมือง ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม วางพื้นฐานรัฐสวัสดิการ สร้างกลไกป้องกันรัฐประหาร และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” นายนัสรี กล่าว
ไอเอเอชี้หุ้นไทยลบกว่า 15% ลดลงมากสุดในโลก แนะรัฐฟื้น LTF ช่วย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4273306
ไอเอเอ ชี้หุ้นไทยลบกว่า 15% ลดมากสุดในโลก หลังไร้แรงซื้อระยะยาว แนะรัฐฟื้นกองทุน LTF ช่วย
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (ไอเอเอ) เปิดเผยว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นโลก เฉลี่ยขึ้นมาประมาณ 10% บางตลาดที่ปรับขึ้นมาได้ดีก็ขึ้น 30-40% แต่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มที่ปรับตัวได้ไม่ดีมากนัก โดยหากนับตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยปรับลงแรงกว่า 15% แล้ว ถือว่าลดลงมากสุดในโลก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยขาดเม็ดเงินจากนักลงทุนระยะยาวเข้ามาสนับสนุน แต่ขณะนี้เริ่มเห็นเม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่แล้ว บวกกับปี 2567 คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะกลับเข้าสู่ขาขึ้นได้ทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมาเอาต์เพอร์ฟอร์มในปี 2567 ได้
นายไพบูลย์กล่าวว่า ตลาดถูกกระทบเนื่องจากนักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจนโยบายรัฐบาล ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ เพราะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในตอนนี้ยังสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาไม่ได้ แต่เริ่มเห็นรัฐบาลมีความชัดเจนด้านนโยบายมากขึ้น ยอมที่จะมีการปรับเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นมากขึ้น มีความยืดหยุ่นกว่าเดิมแล้ว อาทิ การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี
ส่วนมุมมองปัจจัยต่างประเทศ ขณะนี้เงินเฟ้อเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว แรงกดดันเงินเฟ้อทั่วโลกลดลงอย่างชัดเจน และไม่น่าจะกลับมาเป็นปัญหา ทำให้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้เข้าสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดและไม่น่าจะปรับขึ้นแล้ว ปี 2567 จะเป็นปีที่มองการปรับลดลง ทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้มีเม็ดเงินกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
“ตลาดหุ้นไทยแตกต่างจากตลาดอื่น เนื่องจากเวลาดัชนีปรับลดลงแล้วไม่ได้ปรับขึ้นมาเหมือนตลาดอื่น อาทิ สหรัฐ จากที่เจอทั้งบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้าเพราะการเลือกตั้ง และมาเจอสงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาสอีก ทำให้ดัชนีปรับลดลง แต่เป็นการลงแล้วไม่ขึ้น เพราะความมั่นใจของนักลงทุนไม่มี รวมถึงเม็ดเงินระยะยาวหายไปด้วย โดยในอดีตมีเม็ดเงินกองทุนระยะยาวเข้ามาช่วยซื้อหุ้นในช่วงที่ปรับลดลงหนักๆ อาทิ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่หายไป ทุกคนมุ่งเน้นการลงทุนระยะสั้นแทน” นายไพบูลย์กล่าว
นายไพบูลย์กล่าวว่า การแก้ไขและสนับสนุนตลาดหุ้นไทยให้เติบโตในระยะยาว คือ รัฐบาลต้องเพิ่มกองทุนแอลทีเอฟเข้ามา เพื่อให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นแบบระยะยาวมากขึ้น โดยตั้งแต่มีการยกเลิกกองทุนแอลทีเอฟไป ทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนสูงมาก และสูงกว่าหลายตลาดหุ้นในโลกที่ปรับลง แต่มีแรงซื้อกลับคืนไป ส่วนหุ้นไทยไม่มี ทำให้พอเจอปัจจัยลบเข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยก็จะลดลง เพราะไม่มีเงินทุนระยะยาวเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยเหมือนในอดีต ซึ่งถือเป็นจุดอ่อน