ลองมาฟังเรื่องลึกลับของเราบ้าง

ได้มีโอกาสไปดูธี่หยดแล้วนึกถึงเรื่องนึงที่เคยเกิดขึ้นในตอนเด็ก

เราเป็นคนจังหวัดข้างเคียงกันกับสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ของเรื่องธี่หยดค่ะ คิดว่าหลายคนคงพอจะเดาได้ เราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่มีมีเชื้อสาย ไทยทรงดำ แต่เราไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ เนื่องจากวัยที่แตกต่าง และยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ย่าเรามีเชื้อสายของไทยทรงดำ ท่านมีอายุค่อนข้างมากแล้ว มีพี่สาวอยู่สองคน พี่สาวคนโตอาศัยอยู่บ้านหลังเก่า หลังเดิมของครอบครัวย่า ส่วนย่าเราปลูกบ้านอีกหลังนึงหลังจากที่มีครอบครัว ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน และเป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่ แต่ตัวของย่าเราไปอยู่ที่จังหวัดนึงในภาคตะวันออกด้วยเหตุผลบางอย่าง ส่วนบ้านเราดูแลพี่สาวคนโตของย่าด้วย ดูแลเสมือนย่าเลย เพราะพี่สาวคนโตของย่าไม่มีครอบครัว

ช่วงนั้นหมู่บ้านเรามีแพลนจะสร้างเมรุใหม่ค่ะ ที่ป่าช้าเก่าอยู่ชายทุ่งนานอกหมู่บ้านออกไป ตอนไปนั่งเล่นบ้านพี่สาวย่าก็ได้ยินคนแก่เขาพูดกันถึงเรื่องนี้อย่างสนุกปาก แต่มีประโยคนึงที่เราได้ยินแล้วกลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาว่า “แรงบนต้องถึงนะ ถ้าคิดจะทำ หากไม่ถึงจะต้องมีอย่างอื่นไปสังเวยแทน” พร้อมกับเสียงหัวเราะจากชายแก่ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นพวกหมอพิธีในหมู่บ้าน สุดท้ายก็ได้สร้างเมรุใหม่ขึ้นมาจริงๆค่ะ ใช้เวลาสร้างไม่นานเท่าไหร่นักก็เสร็จสิ้น แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์น่ากลัวขึ้นภายในหมู่บ้าน

ในช่วงเวลาสองทุ่มของวันที่จัดฉลองเมรุใหม่ เราทานข้าวอยู่กับครอบครัวภายในบ้าน พูดคุยกันอย่างสนุกสนานก่อนที่จะต้องเงียบลงเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลงดังขึ้นมาจากชายทุ่งนอกนาออกไป ใช่ค่ะ มันเป็นเสียงเพลงที่มาจากเมรุที่พึ่งสร้างใหม่ ก็ไม่ได้อะไรเพราะเขาบนกันไว้ก็ต้องไปแก้เป็นเรื่องปกติ แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือ เพลงที่จากเดิมเป็นเพลงรำแคนกลับเปลี่ยนเป็นเพลงลูกทุ่ง สลับไปมาห้าหกรอบ จนสุดท้ายก็กลายเป็นเพลงรำแคนไปทั้งคืน

จนรุ่งเช้า คนเขาพูดกันถึงเรื่องเมื่อคืนเกี่ยวกับเสียงเพลงที่ได้ยินที่ร้านค้า ตอนแรกก็คุยกันสนุกปาก ก่อนที่จะรู้ความจริงว่า ตาคนที่นอนเฝ้าเครื่องเสียงที่นำไปเปิดที่เมรุเขาจับไข้เนื่องจากถูกผีหลอก คนที่ไปตามตาคนนั้นที่บ้านบอกว่า สภาพตอนที่เขาเห็นตาคนนั้นคือเหมือนคนสติแตก ก่อนที่จะเล่าให้เขาฟังว่า เห็นว่าหมู่บ้านเป็นไทยทรงดำก็เลยเปิดเพลงรำแคนเพราะปกติเวลามีงานอะไรเขาก็ใช้เพลงนี้กันอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เปิด แกมองไปทางลานโล่งกว้างหน้าเมรุก็เห็นเงาเหมือนคนสองสามคนที่กำลังทำท่าเหมือนรำอยู่ ตอนแรกเขาก็นึกว่าตาฝาดไป แต่พอมองแล้วก็เห็นแบบเดิม เขาเลยลองเปลี่ยนไปเป็นเพลงปกติดู เงานั้นก็หายไป ด้วยความยังไม่เชื่อจึงลองอีก ก็พบว่าพอเปลี่ยนเป็นเพลงรำแคนแล้วก็จะเห็นเงาพวกนั้นมารำกัน แกลองสลับเพลงไปมาจนแน่ใจ เงาที่เห็นจากสองสามคนก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนตกยี่สิบกว่าคนได้ ไม่รู้ว่ามากันจากไหน เขาเลยโทรไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อน แต่ตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านไม่เชื่อ และติดซ่อมท่อประปาอยู่จึงว่าเขาว่าเขาเมา เขาโทรย้ำๆ ไปยืนยันเรื่องที่เห็นแต่ผู้ใหญ่บ้านติดซ่อมท่อประปาอยู่ไม่รู้เมื่อไหร่เสร็จ แต่เงาพวกนั้นก็รำเดินย่องตามจังหวะเพลงขยับมาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทนไม่ไหวจึงตัดสินใจทิ้งเครื่องเสียงกลับบ้านไป ไม่กลัวแล้วขโมย

เรื่องคืนนั้นที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องเล่าหนาหูที่ทำเอาใครหลายๆ คนจิตตก ก่อนที่จะมีเรื่องใหม่เข้ามาให้รู้สึกหวาดกลัวในตอนบ่าย เมื่อมีคนเสียชีวิตในหมู่บ้าน คนที่เสียเป็นคนแข็งแรงมากใครๆ ก็ว่ามาแบบนั้น อาจฟังดูปกติแค่มีคนตายแค่คนเดียว แต่วันต่อมาก็มีคนเสียชีวิตเพิ่มอีก (อันนี้ไม่รู้รายละเอียด) และวันต่อมาก็มีอีก มีเรื่อยๆ จนวัดทั้งในหมู่บ้านและรอบข้างไม่ว่างเลยช่วงนั้น เมรุที่สร้างใหม่ได้ใช้งานทุกวันเปรียบได้ว่าหัวกะไดไม่แห้งเลยทีเดียว ก่อนจะมีข่าวลือว่ามีคนเห็นดวงไฟสีเขียวกลมๆ ลอยผ่านทุ่งนาในตอนกลางคืน ซึ่งญาติคนที่ตายก็บอกว่าในคืนก่อนที่พี่ชายเขาจะเสียก็เห็นเหมือนกัน ดวงไฟเขียวลอยผ่านหลังคาบ้านไป ทำให้ตอนนั้นชาวบ้านก็คิดไปต่างๆ นาๆ ถึงกระสือบ้าง ผีแม่ม้ายบ้าง หลายๆ บ้านต่างเอาผ้าสีแดงมาผูกหรือห้อยไว้ตามรั้ว ประตู หรือชายคาบ้าน ตามความเชื่อที่ว่าจะป้องกันผีได้ แต่บ้านเราไม่ได้ทำนะคะเพราะมีตี่จู้ ตอนนั้นบรรยากาศในหมู่บ้านเปลี่ยนไปเป็นเงียบและวังเวงมากๆ ...(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่