นักการเมือง ดารา คนมีชื่อเสียงพูดไปแล้ว มาฟังคนธรรมดาที่ได้รับผลกระทบจากการยิงที่พารากอนพูดมั่ง

คงไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั่น  เพราะหลายท่านคงทราบจากสื่อหลายสำนัก  พร้อมกันนี้ข้อแสดงความเสียใจต่อครอบครัว
ผู้เสียชีวิต  และบาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล  ขอให้หายเร็วๆ  และมีจิตใจที่เข็มแข็ง  พร้อมที่จะต่อสู้  กับอะไรๆอีกหลายๆอย่าง ที่จะตามมา

ขอพูดถึงตัวเองในมุมที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ  ในปี 2547  ได้ประสบภัยจากสึนามิ  ได้สูญเสียคนในครอบครัว  เหลือกันอยู่ 2 ชีวิต  และตัวเองก็ต้อง
มีชีวิตให้รอด  ท่องไว้เสมอเราต้องแข็งแกร่งนะถึงรอด  อ่อนแอตาย  แล้วถ้าตายน้องชายยังเด็กอยู่  เขาจะอยู่กับใคร  ต้องไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าหรือ
ตัวเองผ่านการผ่าตัดหลายรอบกว่าจะกลับมาเดินได้  และมีบาดแผลที่ผ่านการผ่าตัดทิ้งไว้เป็นสิ่งสะเทือนใจ  กับสิ่งที่เกิดขึ้น  จากคนที่ว่ายน้ำเป็น
ทุกวันนี้กลัวน้ำ  และไม่แน่ใจว่ายังว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า  และในทุกๆปี  พอเดือนธันวาคม   อารมณ์ความกลัวหวาดวิตกก็จะหวนคืนกลับมา 
ในการรักษาตัวในช่วงนั่น  นอกจากทำกายภาพ  คุยกับหมอกระดูก  ยังต้องคุยกับจิตแพทย์ประกอบด้วย  สิ่งที่ทำให้ตัวเองสงบ  นอกจากมอร์ฟิน
ที่หมอฉีดให้เพราะมีอาการทนต่อความเจ็บปวดทางกายไม่ไหว  ยังต้องกินยาที่หมอจิตแพทย์ให้กินอีก  ตอนนั่นไม่มีคำว่าโรคซึมเศร้าไว้ให้ใช้

ใช้เวลานานมากๆ  เลยนะกว่าจะใช้ชีวิตปกติได้  แต่ยังไม่กล้าไปทุกที่  ที่จะเจอน้ำ  ถ้ามันจะต้องเจอแม่น้ำจริงๆ  สิ่งหนึ่งที่ต้องพกติดตัวแบบที่
คนอื่นมองว่า  คนนี้บ้าหรือเปล่า  คือเสื้อชูชีพ  ใช่แล้วพกเสื้อชูชีพเป็นของตัวเอง  แม้กระทั้งเรือข้ามฝาก  ไม่รู้แหละถ้าต้องเกี่ยวของอะไรๆกับน้ำ
ขอความอุ่นใจกับตัวเองไว้ก่อน จิตใจเริ่มจะปกติ  เหมือนแบบทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจอาจไม่มากพอ

ปี 2554  บ้านที่อยู่ที่นนท์  เจอน้ำท่วม  ชีวิตเหมือนเล่นตลก  เจอมันทั้งน้ำทะเล  และน้ำจืด ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะเจออะไรแบบนี้  สิ่งที่แตกต่างกับ
ปี 2547  คือปีนั่นเราโตแล้ว  และน้องก็โตพอที่จะช่วยเหลือ  กอดคอเป็นกำลังใจ  ร้องไห้ไปด้วยกัน  แบ่งปันความรู้สึกต่างๆที่ถาโถมเข้ามา
และที่แตกต่างกัน  คือเราไม่มีความตายของคนในครอบครัว  มาปันทอนความท้อแท้  ที่จะต่อสู้ให้มีชีวิตรอด

แค่เราต้องมองหลายสิ่งอย่างให้เป็นไปในทางบวก  แต่ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ในวันที่ 3 ตุลาคมเกิดขึ้น  ในความรู้สึกของตัวเอง  เริ่มมีความหวาดกลัว
เสียงน้ำไหล  เสียงเครื่องบิน  ภาพเหตุการณ์ในปี 2547  เหมือนย้อนคืนกับมาอีกครั้ง  อาจจะเพราะในช่วงปีนี้  ฝนตกหนัก  จนน้ำฝนจากหลังคาบ้าน
ไหลเข้าบ้านตอนกลางคืน  เลยเกิดมีความหลอนๆ  ในจิตใต้สำนึก  ที่ลืมไปแล้ว  หลังจากซ่อมแซมหลังคาบ้านไปแล้ว  เวลาที่ฝนตก
เสียงน้ำฝนที่กระทบหลังคา  ถ้านอนหลับไปแล้วและไม่ผวาตื่น  ความกลัวก็จะน้อยลง  แต่ถ้ายังไม่หลับจะรู้สึกกลัว  หัวใจจะเต้นแรง  เหงื่อจะไหล
ท่วมตัว  ใจจะเต้นมาก  ได้เข้าไปขอการรักษากับแพทย์  แต่ยังอยู่ในการรอรับนัดแพทย์

ดันมาเจอเหตุการณ์กราดยิงวันที่ 3  ใครที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์   คงไม่รู้ว่าเสียงปืนมันดังขนาดไหน  และมันคือความวุ่นวาย  ที่ไม่รู้ว่าต้นเสียงอยู่
ตรงไหน  และไหนจะเสียงฝนตกด้านนอกอีก  และตัวเองก็อยู่คนละชั้นกับน้อง  ทุกคนคือเรียกได้ว่าวิ่งหนีความตาย

สิ่งที่ตัวเองได้รับผลกระทบคือ   ช่วงที่วิ่งหนีนั่นล้ม  ทำให้กระดูกนิ้วเท้าหัก  ตอนนี้เข้าเฝือกด้ามนิ้ว  และคางแตกเย็บอยู่ที่ 3 - 4 ฝีเข็ม  ตามตัว
มีรอยเขียวช้ำ    ตอนนี้จากสีเขียว  เปลี่ยนเป็นสีม่วง  กินอะไรไม่ได้  ต้องใช้วิธีปั่นให้เหลว  และเอาหลอดชาไข่มุกดูด

และเนื่องจากวันนั่นฝนตก  เหมือนเป็นวันโลกาวินาศ  จะไปเอารถที่จอดไว้  รถหลายคันๆก็เอาออกจากที่จอด  นึกภาพตามนะคะ  รถก็มาออกัน
แน่นมาก  ตัวเองนั่นไม่เอารถแล้ว  มาเอาวันหลัง  ซึ่งมาเอารถทีหลัง  ค่าจอดนั่นบอกเลยแพงยังเป็นประเด็นอยู่  ว่าจะได้ส่วนต่างคืนมั๊ย

เมื่อตามตัวน้องเจอ  ได้ตัดสินใจไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS  ปิดสถานนีชั่วคราว  เอามือกดเลือดที่ไหลปลายคาง  หารถรับจ้างไปรพ.  ไม่คิดว่าต้องถึง
ขนาดเย็บแผล  หลังจากเย็บแผลเสร็จ  รถไฟฟ้า BTS ใช้ได้แล้วขึ้น   มาเปลี่ยนขบวนใช้ MRT  แม่เจ้า  ระบบขัดข้องอีกบัตรใช้ไม่ได้
สมองตอนนั่นคือ  มันอะไรกันหนักหนา

เมื่อถึงบ้านก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยา  และสภาพร่างกายที่มันไม่ไหวแล้ว  และเช้ารุ่งขึ้น  ก็พบว่ามีไข้ขึ้นสูง  แต่ก็พาตัวเองไปทำงาน 
สุดท้ายก็ต้องมาหาหมอ  เพราะสงสัยจะเป็นไข้หวัด  หรือไข้หวัดใหญ่  ยังดีเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา  รอดจากโควิดทุกซีซั่น  มาเสร็จไข้หวัด
คงเนื่องจากโดนฝน   และร่างกายที่อ่อนแอจากการบาดเจ็บ  เรียกได้ว่า  เจ็บมันตั้งแต่หัวจรดเท้าของจริง

ขอถามว่าค่ายาทั้ง 2 รพ.นั่นจะเบิกได้ที่ไหน  ใครจะช่วยจ่าย  หรือฟาดเคราะห์ไป  อย่างที่เพื่อนร่วมงานในบริษัทบอก  และประกันสังคมเบิกได้มั๊ย
ไม่ใช่รพ.ตามสิทธิ์   เคยเบิกแต่ค่าทำฟัน  ท่านใดทราบบอกด้วยนะคะ  หลายพันอยู่  เจ็บทั้งตัว  เสียทั้งเงิน

ตอนนี้ตัวเองก็อยู่ในขั้นประเมินว่าจะเป็นสัญญาณของโรค PTSD  หรือเปล่า
อาการข้างต้นเป็นเรื่องปกติเมื่อเกิดเรื่องสะเทือนใจ โดยปกติจะหายไปได้เอง 
แต่ถ้ายังมีอาการอย่างต่อเนื่องและมีอาการอื่นๆตามมาถือเป็นสัญญาณของโรค PTSD เช่น
1. รู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์อีกครั้ง
2. หวาดกลัวและเลี่ยงผู้คนจุดเกิดเหตุหรือสถานการณ์ที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์
3.อารมณ์หรือความคิดเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ เช่นไม่รู้สึกยินดียินร้าย ไม่สามารถรู้สึกเชิงบวกได้
4.ตื่นตัวมากเกินปกติ เช่น นอนไม่หลับ กลัวหรือตกใจง่ายกว่าปกติ

ตอนนี้กินยาเยอะมาก  ไอที่หลับๆเนี่ย  ไม่รู้เพราะยา  หรือร่างกายไม่ต้องการ  การรับรู้ใดๆ  และมีอาการ ข้อ 1 กับ 2  มากกว่า 3 หรือ 4

ขอแท็กห้องก้นครัวด้วยนะคะ  สิงห้องนี้มากสุด  ต้องการสูตรอาหารด้วย  ตอนนี้กลืนอะไรไม่ค่อยได้ตึงแผลเย็บที่คาง  ประกอบกับมีไข้
คออักเสบ  ตอนนี้กินแต่ข้าวผสมผักเอามาปั่น  แล้วเอาหลอดชาไข่มุกดูดอาหาร  ต้องกินเพื่อที่จะกินยา  มียาที่ถ้าไม่กินหลังอาหาร
ยาจะกัดกะเพาะอาหาร

อยากพิมพ์อะไรๆ  ที่มันเป็นความรู้สึกที่ได้รับมา  มันยากที่จะบรรยาย  แต่สมองมันไม่รับรู้  อะไรแล้ว  ถ้าข้อความใดๆที่พิมม์มาวันนี้ 
ไม่ถูกใจท่านใด  ไม่ดราม่ากันนะคะ  โลกความเป็นจริงที่ต้องเจอ  มันโหดร้ายมากพอแล้ว  และตัวเองก็หวังว่าจะเป็นผู้รอด 
กับโลกอันโหดร้ายใบนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่