ลบแล้วแต่แคปทัน! ‘หมอพรทิพย์’ ดราม่าซ้ำ นอนทับหญ้าอนุรักษ์ ไม่สนแม้มีป้ายเตือน
https://www.dailynews.co.th/news/2765318/
ดราม่าซ้ำสอง! โลกออนไลน์แห่แฉภาพ "หมอพรทิพย์" นอนทับหญ้าอนุรักษ์ "Lava moss" ไม่สนแม้มีป้ายเตือน จนต้องลบภาพทิ้งจากโซเชียล แต่ชาวเน็ตไวกว่า แคปเจอร์ทันเรียบร้อย!
ยังเป็นดราม่าร้อนในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศไอซ์แลนด์ ได้ไลฟ์สดขับไล่ “
คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์” สมาชิกวุฒิสภา ที่มีคณะติดตามไปด้วยขณะเข้ามาที่ร้านอาหารของตัวเอง พร้อมกับชี้นิ้วให้นักการเมืองคนดังกล่าวออกไปทันที โดยอ้างว่าไม่พอใจที่ สว.คนดังกล่าวได้ทำไว้กับประเทศไทย จนเป็นที่วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้
แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย. ดูเหมือนดราม่าจะเกิดซ้ำกับ “
หมอพรทิพย์” อีกครั้ง เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตถึงภาพทริปตามล่าแสงเหนือในทริปดังกล่าวที่ประเทศไอซ์แลนด์ โดย ศ.นพ.
มานพ พิทักษ์ภากร” หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่าน X(เอ็กซ์) ระบุว่า
“
ผลจากข่าว #หมอพรทิพย์ ทำให้มีสื่อแชร์รูปทริป Iceland แล้วเจอรูปที่นอนถ่ายรูปบนผืน lava moss เลย”
“
Lava moss โตช้ามาก การเหยียบย่ำจะเกิดรอยทับแบบนั้นนานแสนนาน สถานที่ท่องเที่ยวจะติดป้ายให้เดินตามทางห้ามออกนอกเส้นทาง ไปทำแบบนั้นกลัวต่อไปคนไทยจะโดนแบน”
อย่างไรก็ตาม ได้มีชาวเน็ตเข้าไปสอบถามถึงความเหมาะสม พร้อมแจ้งถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ และทางเจ้าหน้าที่ได้มีการติดป้ายเตือนแล้ว แต่เหตุใด “
หมอพรทิพย์” จึงยังเข้าไปนอนทับ Lava Moss เช่นนี้ โดยภายหลัง ทางด้าน “
หมอพรทิพย์” ได้ลบภาพดังกล่าวออกไปจากโซเชียลมีเดียของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีชาวเน็ตที่สามารถแคปเจอร์ภาพดังกล่าวไว้ได้ทันอีกด้วย..
https://twitter.com/manopsi/status/1707969293789667555
พิธา รับเห็นใจหมอพรทิพย์-สร้างสังคมอดกลั้น ชี้ถ้าการเข้าสู่อำนาจมันดี เรื่องนี้จะน้อยลง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4208041
พิธา รับเห็นใจหมอพรทิพย์ ชี้ถ้าการเข้าสู่อำนาจมันดี เรื่องนี้จะน้อยลง ชวนสร้างสังคมอดกลั้น
เมื่อวันที่ 30 กันยายน นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี แพทย์หญิงคุณหญิง
พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ส.ว. เดินทางไปต่างประเทศและถูกเชฟคนไทยไล่ออกจากร้านอาหารว่า อยากเชิญชวนทุกคนมาสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น แสดงออกอย่างอดทนอดกลั้น มีวุฒิภาวะ เชิญชวนให้มาสร้างระบบพรรคการเมืองที่ตรงไปตรงมา และมีรูระบายในการกำจัดความขัดแย้ง
“
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ได้ช่วยอะไร ผมเป็นนักการเมือง เข้าใจเวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัด หรือไปกับครอบครัว ก็เจอการแสดงออกของประชาชนที่คล้ายๆ กัน เข้าใจว่าผมเป็นบุคคลสาธารณะ แต่การอนุญาตให้แสดงออกโดยไม่คำนึงถึงระบบก็น่าเสียดาย” นาย
พิธากล่าว
นาย
พิธากล่าวว่า จากที่ได้ตามข่าวมา คู่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นคนที่ชื่นชอบคุณหญิง
พรทิพย์ แต่เกิดขึ้นจากระบบที่ไม่ตรงไปตรงมา และระบบทำให้เกิดความขัดแย้ง มาจากเสียงประชาชนที่มาจากเลือกตั้ง และเสียงในสภาที่มาจากการแต่งตั้ง เกิดความอึดอัดที่ต้องระบายออก
“
ผมเข้าใจพี่น้องประชาชนที่อดทนอดกลั้น และรู้สึกไม่สบายใจกับการเข้าสู่อำนาจของการเมืองไทย ถ้าระบบมันดีเรื่องลักษณะแบบนี้ก็จะน้อยลง เพราะมีรูระบายในระบบ แต่ในส่วนของบุคคล ความมืดไล่ความมืดไม่ได้ แต่ต้องเป็นความสว่าง จึงอยากให้ช่วยกันสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น และมีวุฒิภาวะ ระบบที่เสถียร ทำให้ความอึดอัดส่วนตัวน้อยลง” นาย
พิธากล่าว
พิธา ยันก.ก.ขับ ‘หมออ๋อง’ ตรงไปตรงมา ปัดกั๊ก 2 เก้าอี้ในสภาฯ ชี้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายชัด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4208071
‘พิธา’ ยันก้าวไกล ขับ ปดิพัทธ์ ตรงไปตรงมา ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง กั๊กรวบ 2 เก้าอี้ในสภา ชี้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายชัด
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ Racquet Club สุขุมวิท 49 นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วย นาย
ภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส.กทม. พรรค ก.ก. เข้าร่วมประชุมสมาชิกพรรค ก.ก.เขตวัฒนา เพื่อเลือกตัวแทนประจำเขตและพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะในพื้นที่
จากนั้นนายพิธาให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นาย
ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เตรียมยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบกรณีพรรคก้าวไกลมีมติขับ นาย
ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลกและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ออกจากพรรคเพื่อต้องการรักษาตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 อาจเข้าข่ายฉ้อฉล หรือนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ว่าเรื่องนี้ส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกับนาย
ปดิพัทธ์ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอะไร ความจำเป็นก็เป็นไปตามที่พรรคก้าวไกลได้มีแถลงการณ์ออกไปแล้ว เพราะต้องการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ และต้องการที่จะมีผู้นำฝ่ายค้าน แต่ขณะเดียวกันนาย
ปดิพัทธ์ก็มีความต้องการที่จะทำรัฐสภาให้โปร่งใส และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็คงต้องแยกกันเดินในช่วงนี้ เพื่อให้ต่างคนต่างบรรลุเป้าหมายให้ได้ แต่ในที่สุดก็คือการคิดถึงการทำงานของรัฐสภา รวมถึง ส.ส.ของพรรคการเมืองเป็นหลัก
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวมีการใช้คำว่า
“นิติกรรมอำพราง” ฉะนั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวถือว่ารุนแรงไปหรือไม่ ทั้งที่ผ่านมาบางพรรคก็ได้ทำเช่นกัน
นาย
พิธากล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าเป็นสิทธิที่จะวิจารณ์อะไรก็ได้ ก็น้อมรับไว้ แต่ขณะเดียวกันยืนยันตรงไปตรงมาพร้อมทั้งมีการอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนไปแล้วว่าพรรคก้าวไกลต้องการที่จะเป็นฝ่ายค้าน และรัฐธรรมนูญก็ไม่อนุญาตให้มีรองประธานสภาอยู่ในพรรคที่มีผู้นำฝ่ายค้าน ส่วนนาย
ปดิพัทธ์ตัดสินใจอยากจะทำภารกิจเรื่องรัฐสภาให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพต่อ ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องขับนายปดิพัทธ์ออก และนาย
ปดิพัทธ์ต้องหาพรรคการเมืองใหม่ มันก็ตรงไปตรงมา แค่นี้ไม่ได้มีอะไรอำพรางแม้แต่เล็กน้อย
เมื่อถามว่าหากมีหน่วยงานเรียกไปชี้แจงพรรค ก.ก.พร้อมหรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า แน่นอนและพรรคได้ชี้แจงไปแล้ว และเท่าที่ทราบนาย
ปดิพัทธ์ก็ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาไปแล้ว คิดว่าก็ชัดเจนทั้งสองฝ่าย
ส่วนประเด็นที่ว่าบางพรรคการเมืองวิจารณ์ว่าพรรคก้าวไกลกำลังถอยหลังลงคลอง เนื่องจากบอกว่าจะเล่นการเมืองใหม่แต่กลับไปเล่นการเมืองแบบเก่า นาย
พิธากล่าวว่า คิดว่ามันไม่ได้เป็นการเมืองเก่าหรือใหม่ แต่ว่าตั้งใจเดินหน้าตามเป้าหมายตามที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่าเป็นไปในลักษณะแบบไหน ต้องการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกอย่างที่เคยพูดไว้ ส่วนนายปดิพัทธ์มีความต้องการอยากจะเป็นรองประธานสภาที่ต้องการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรัฐสภา และให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
เมื่อถามต่อว่านาย
ปดิพัทธ์ได้แจ้งหรือไม่ว่ามีความประสงค์จะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองไหน หรืออาจจะเป็นพรรคสำรองของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ใช่เป็นการกั๊กทั้งตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 และตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไว้ใช่หรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า ยืนยันไม่ใช่เป็นการกั๊ก เพราะถ้าเป็นการกั๊กก็ต้องเป็นในลักษณะที่ว่า ทำให้มันพร้อมกัน แต่เรื่องนี้เป็นเหตุผลของพรรคก้าวไกลและส่วนตัวของนาย
ปดิพัทธ์ ซึ่งแยกออกจากกัน เรื่องขับออกจากพรรคไม่ใช่วิธีการที่ง่ายเกินไปเพราะเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อพรรคตัดสินใจเช่นนี้จึงไม่สามารถให้นาย
ปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นได้ แต่เมื่อนาย
ปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นก็ต้องออก เป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
เมื่อถามว่าในอนาคตหากนายปดิพัทธ์มีความประสงค์จะกลับพรรคก้าวไกลพร้อมที่จะรับหรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า ยังไม่เคยคิดถึงตรงนั้น แต่ตอนนี้ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เต็มที่ และส่วนตัวยังคงหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ จึงต้องทำหน้าที่นอกสภาอย่างเต็มที่
เอกชนพ้อ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยเร็วไป สงสารคนผ่อนบ้าน – เอสเอ็มอีหนี้พอก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4207917
‘อิศเรศ’ รองประธานส.อ.ท. พ้อ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยเร็วไป สงสารคนผ่อนบ้าน – เอสเอ็มอีหนี้พอก
นาย
อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.50% ว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าเร็วเกินไปในช่วงเวลานี้ที่ประชาชนยังมีปัญหารายรับไม่พอกับรายจ่าย กำลังซื้อลด ขณะที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ประสบปัญหาขายสินค้าได้ลดลง ยอดขายยังไม่กระเตื้องมากนัก แม้โควิดจะผ่านพ้นไปแล้ว ผลกระทบชัดเจนคือดอกเบี้ยบ้าน ประชาชนที่กำลังผ่อนบ้านเมื่อเจอดอกเบี้ยเข้าไป เงินผ่อนแต่ละเดือนแทบหมดกับดอกเบี้ย จึงน่าเห็นใจอย่างมาก ยังไม่นับรวมหนี้ส่วนอื่นๆ ที่ดอกเบี้ยขยับขึ้น กลายเป็นวงจรจ่ายดอกเบี้ยไม่รู้จบ ขณะที่เอสเอ็มอีก็เช่นกัน ได้รับเสียงสะท้อนเกี่ยวกับต้นทุนการเงิน เมื่อดอกเบี้ยขึ้น มูลหนี้ในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นจึงกระทบค่อนข้างมากทั้งประชาชนและเอสเอ็มอี น่าเห็นใจ
“
การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เปรียบเหมือนการบังคับให้คนป่วยที่ยังไม่หายดีออกไปวิ่ง ไม่ใช่แค่เดิน ซึ่งคนป่วยคือประชาชน เพิ่งได้รับยา การอัดฉีดจากรัฐบาลระยะเริ่มต้น คือ มาตรการลดค่าไฟ ลดดีเซล พักหนี้เกษตรกร เหล่านี้ยังไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นนัก อย่างค่าไฟกว่าจะเคาะก็เดือนตุลาคม ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงไปก่อน ขณะที่ดีเซลลดแค่ค่าขนส่ง ส่วนราคาสินค้าลงทันทีไม่ได้ เพราะผู้ผลิตยังมีสต็อกสินค้าที่ซื้อมาราคาแพง ดังนั้นจึงมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เร็วไป” นาย
อิศเรศกล่าว
นาย
อิศเรศ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลของการขึ้นดอกเบี้ยมาจากคาดการณ์เศรษฐกิจจะขยายตัวจากนโยบายรัฐ และปัญหาภัยแล้ง เหล่านี้อาจเร่งเงินเฟ้อ ตรงนี้ก็ต้องดูกันต่อไป ในส่วนของเอกชนอยากเห็นยาแรงล็อตต่อๆไปของรัฐบาลว่าจะช่วยคนป่วยอย่างไร โดยต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นแล้วก็อยากให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าลดค่าครองชีพประชาชนในส่วนอื่นที่ทำได้ รวมทั้งเดินหน้ามาตรการพักหนี้เอสเอ็มอีอย่างครอบคลุมและตรงจุดตรงปัญหา เพื่อให้กลุ่มนี้ที่มีการจ้างงานส่วนใหญ่ของประเทศมีสภาพคล่อง เดินหน้าต่อไปได้
JJNY : 5in1 ‘หมอพรทิพย์’ ดราม่าซ้ำ│พิธารับเห็นใจ│พิธายันก.ก.ขับ‘หมออ๋อง’│เอกชนพ้อกนง.ขึ้นดอกเบี้ย│มาเลเซียโวยอินโดนีเซีย
https://www.dailynews.co.th/news/2765318/
ดราม่าซ้ำสอง! โลกออนไลน์แห่แฉภาพ "หมอพรทิพย์" นอนทับหญ้าอนุรักษ์ "Lava moss" ไม่สนแม้มีป้ายเตือน จนต้องลบภาพทิ้งจากโซเชียล แต่ชาวเน็ตไวกว่า แคปเจอร์ทันเรียบร้อย!
ยังเป็นดราม่าร้อนในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศไอซ์แลนด์ ได้ไลฟ์สดขับไล่ “คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์” สมาชิกวุฒิสภา ที่มีคณะติดตามไปด้วยขณะเข้ามาที่ร้านอาหารของตัวเอง พร้อมกับชี้นิ้วให้นักการเมืองคนดังกล่าวออกไปทันที โดยอ้างว่าไม่พอใจที่ สว.คนดังกล่าวได้ทำไว้กับประเทศไทย จนเป็นที่วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้
แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย. ดูเหมือนดราม่าจะเกิดซ้ำกับ “หมอพรทิพย์” อีกครั้ง เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตถึงภาพทริปตามล่าแสงเหนือในทริปดังกล่าวที่ประเทศไอซ์แลนด์ โดย ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร” หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่าน X(เอ็กซ์) ระบุว่า
“ผลจากข่าว #หมอพรทิพย์ ทำให้มีสื่อแชร์รูปทริป Iceland แล้วเจอรูปที่นอนถ่ายรูปบนผืน lava moss เลย”
“Lava moss โตช้ามาก การเหยียบย่ำจะเกิดรอยทับแบบนั้นนานแสนนาน สถานที่ท่องเที่ยวจะติดป้ายให้เดินตามทางห้ามออกนอกเส้นทาง ไปทำแบบนั้นกลัวต่อไปคนไทยจะโดนแบน”
อย่างไรก็ตาม ได้มีชาวเน็ตเข้าไปสอบถามถึงความเหมาะสม พร้อมแจ้งถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ และทางเจ้าหน้าที่ได้มีการติดป้ายเตือนแล้ว แต่เหตุใด “หมอพรทิพย์” จึงยังเข้าไปนอนทับ Lava Moss เช่นนี้ โดยภายหลัง ทางด้าน “หมอพรทิพย์” ได้ลบภาพดังกล่าวออกไปจากโซเชียลมีเดียของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีชาวเน็ตที่สามารถแคปเจอร์ภาพดังกล่าวไว้ได้ทันอีกด้วย..
https://twitter.com/manopsi/status/1707969293789667555
พิธา รับเห็นใจหมอพรทิพย์-สร้างสังคมอดกลั้น ชี้ถ้าการเข้าสู่อำนาจมันดี เรื่องนี้จะน้อยลง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4208041
พิธา รับเห็นใจหมอพรทิพย์ ชี้ถ้าการเข้าสู่อำนาจมันดี เรื่องนี้จะน้อยลง ชวนสร้างสังคมอดกลั้น
เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ส.ว. เดินทางไปต่างประเทศและถูกเชฟคนไทยไล่ออกจากร้านอาหารว่า อยากเชิญชวนทุกคนมาสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น แสดงออกอย่างอดทนอดกลั้น มีวุฒิภาวะ เชิญชวนให้มาสร้างระบบพรรคการเมืองที่ตรงไปตรงมา และมีรูระบายในการกำจัดความขัดแย้ง
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ได้ช่วยอะไร ผมเป็นนักการเมือง เข้าใจเวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัด หรือไปกับครอบครัว ก็เจอการแสดงออกของประชาชนที่คล้ายๆ กัน เข้าใจว่าผมเป็นบุคคลสาธารณะ แต่การอนุญาตให้แสดงออกโดยไม่คำนึงถึงระบบก็น่าเสียดาย” นายพิธากล่าว
นายพิธากล่าวว่า จากที่ได้ตามข่าวมา คู่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นคนที่ชื่นชอบคุณหญิงพรทิพย์ แต่เกิดขึ้นจากระบบที่ไม่ตรงไปตรงมา และระบบทำให้เกิดความขัดแย้ง มาจากเสียงประชาชนที่มาจากเลือกตั้ง และเสียงในสภาที่มาจากการแต่งตั้ง เกิดความอึดอัดที่ต้องระบายออก
“ผมเข้าใจพี่น้องประชาชนที่อดทนอดกลั้น และรู้สึกไม่สบายใจกับการเข้าสู่อำนาจของการเมืองไทย ถ้าระบบมันดีเรื่องลักษณะแบบนี้ก็จะน้อยลง เพราะมีรูระบายในระบบ แต่ในส่วนของบุคคล ความมืดไล่ความมืดไม่ได้ แต่ต้องเป็นความสว่าง จึงอยากให้ช่วยกันสร้างสังคมที่อดทนอดกลั้น และมีวุฒิภาวะ ระบบที่เสถียร ทำให้ความอึดอัดส่วนตัวน้อยลง” นายพิธากล่าว
พิธา ยันก.ก.ขับ ‘หมออ๋อง’ ตรงไปตรงมา ปัดกั๊ก 2 เก้าอี้ในสภาฯ ชี้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายชัด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4208071
‘พิธา’ ยันก้าวไกล ขับ ปดิพัทธ์ ตรงไปตรงมา ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง กั๊กรวบ 2 เก้าอี้ในสภา ชี้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายชัด
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ Racquet Club สุขุมวิท 49 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วย นายภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส.กทม. พรรค ก.ก. เข้าร่วมประชุมสมาชิกพรรค ก.ก.เขตวัฒนา เพื่อเลือกตัวแทนประจำเขตและพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะในพื้นที่
จากนั้นนายพิธาให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เตรียมยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบกรณีพรรคก้าวไกลมีมติขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลกและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ออกจากพรรคเพื่อต้องการรักษาตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 อาจเข้าข่ายฉ้อฉล หรือนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ว่าเรื่องนี้ส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกับนายปดิพัทธ์ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอะไร ความจำเป็นก็เป็นไปตามที่พรรคก้าวไกลได้มีแถลงการณ์ออกไปแล้ว เพราะต้องการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ และต้องการที่จะมีผู้นำฝ่ายค้าน แต่ขณะเดียวกันนายปดิพัทธ์ก็มีความต้องการที่จะทำรัฐสภาให้โปร่งใส และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็คงต้องแยกกันเดินในช่วงนี้ เพื่อให้ต่างคนต่างบรรลุเป้าหมายให้ได้ แต่ในที่สุดก็คือการคิดถึงการทำงานของรัฐสภา รวมถึง ส.ส.ของพรรคการเมืองเป็นหลัก
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวมีการใช้คำว่า “นิติกรรมอำพราง” ฉะนั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวถือว่ารุนแรงไปหรือไม่ ทั้งที่ผ่านมาบางพรรคก็ได้ทำเช่นกัน
นายพิธากล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าเป็นสิทธิที่จะวิจารณ์อะไรก็ได้ ก็น้อมรับไว้ แต่ขณะเดียวกันยืนยันตรงไปตรงมาพร้อมทั้งมีการอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนไปแล้วว่าพรรคก้าวไกลต้องการที่จะเป็นฝ่ายค้าน และรัฐธรรมนูญก็ไม่อนุญาตให้มีรองประธานสภาอยู่ในพรรคที่มีผู้นำฝ่ายค้าน ส่วนนายปดิพัทธ์ตัดสินใจอยากจะทำภารกิจเรื่องรัฐสภาให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพต่อ ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องขับนายปดิพัทธ์ออก และนายปดิพัทธ์ต้องหาพรรคการเมืองใหม่ มันก็ตรงไปตรงมา แค่นี้ไม่ได้มีอะไรอำพรางแม้แต่เล็กน้อย
เมื่อถามว่าหากมีหน่วยงานเรียกไปชี้แจงพรรค ก.ก.พร้อมหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า แน่นอนและพรรคได้ชี้แจงไปแล้ว และเท่าที่ทราบนายปดิพัทธ์ก็ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาไปแล้ว คิดว่าก็ชัดเจนทั้งสองฝ่าย
ส่วนประเด็นที่ว่าบางพรรคการเมืองวิจารณ์ว่าพรรคก้าวไกลกำลังถอยหลังลงคลอง เนื่องจากบอกว่าจะเล่นการเมืองใหม่แต่กลับไปเล่นการเมืองแบบเก่า นายพิธากล่าวว่า คิดว่ามันไม่ได้เป็นการเมืองเก่าหรือใหม่ แต่ว่าตั้งใจเดินหน้าตามเป้าหมายตามที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่าเป็นไปในลักษณะแบบไหน ต้องการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกอย่างที่เคยพูดไว้ ส่วนนายปดิพัทธ์มีความต้องการอยากจะเป็นรองประธานสภาที่ต้องการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรัฐสภา และให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
เมื่อถามต่อว่านายปดิพัทธ์ได้แจ้งหรือไม่ว่ามีความประสงค์จะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองไหน หรืออาจจะเป็นพรรคสำรองของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ใช่เป็นการกั๊กทั้งตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 และตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไว้ใช่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยืนยันไม่ใช่เป็นการกั๊ก เพราะถ้าเป็นการกั๊กก็ต้องเป็นในลักษณะที่ว่า ทำให้มันพร้อมกัน แต่เรื่องนี้เป็นเหตุผลของพรรคก้าวไกลและส่วนตัวของนายปดิพัทธ์ ซึ่งแยกออกจากกัน เรื่องขับออกจากพรรคไม่ใช่วิธีการที่ง่ายเกินไปเพราะเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อพรรคตัดสินใจเช่นนี้จึงไม่สามารถให้นายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นได้ แต่เมื่อนายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นก็ต้องออก เป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
เมื่อถามว่าในอนาคตหากนายปดิพัทธ์มีความประสงค์จะกลับพรรคก้าวไกลพร้อมที่จะรับหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยังไม่เคยคิดถึงตรงนั้น แต่ตอนนี้ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เต็มที่ และส่วนตัวยังคงหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ จึงต้องทำหน้าที่นอกสภาอย่างเต็มที่
เอกชนพ้อ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยเร็วไป สงสารคนผ่อนบ้าน – เอสเอ็มอีหนี้พอก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4207917
‘อิศเรศ’ รองประธานส.อ.ท. พ้อ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยเร็วไป สงสารคนผ่อนบ้าน – เอสเอ็มอีหนี้พอก
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.50% ว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าเร็วเกินไปในช่วงเวลานี้ที่ประชาชนยังมีปัญหารายรับไม่พอกับรายจ่าย กำลังซื้อลด ขณะที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ประสบปัญหาขายสินค้าได้ลดลง ยอดขายยังไม่กระเตื้องมากนัก แม้โควิดจะผ่านพ้นไปแล้ว ผลกระทบชัดเจนคือดอกเบี้ยบ้าน ประชาชนที่กำลังผ่อนบ้านเมื่อเจอดอกเบี้ยเข้าไป เงินผ่อนแต่ละเดือนแทบหมดกับดอกเบี้ย จึงน่าเห็นใจอย่างมาก ยังไม่นับรวมหนี้ส่วนอื่นๆ ที่ดอกเบี้ยขยับขึ้น กลายเป็นวงจรจ่ายดอกเบี้ยไม่รู้จบ ขณะที่เอสเอ็มอีก็เช่นกัน ได้รับเสียงสะท้อนเกี่ยวกับต้นทุนการเงิน เมื่อดอกเบี้ยขึ้น มูลหนี้ในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นจึงกระทบค่อนข้างมากทั้งประชาชนและเอสเอ็มอี น่าเห็นใจ
“การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เปรียบเหมือนการบังคับให้คนป่วยที่ยังไม่หายดีออกไปวิ่ง ไม่ใช่แค่เดิน ซึ่งคนป่วยคือประชาชน เพิ่งได้รับยา การอัดฉีดจากรัฐบาลระยะเริ่มต้น คือ มาตรการลดค่าไฟ ลดดีเซล พักหนี้เกษตรกร เหล่านี้ยังไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นนัก อย่างค่าไฟกว่าจะเคาะก็เดือนตุลาคม ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงไปก่อน ขณะที่ดีเซลลดแค่ค่าขนส่ง ส่วนราคาสินค้าลงทันทีไม่ได้ เพราะผู้ผลิตยังมีสต็อกสินค้าที่ซื้อมาราคาแพง ดังนั้นจึงมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เร็วไป” นายอิศเรศกล่าว
นายอิศเรศ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลของการขึ้นดอกเบี้ยมาจากคาดการณ์เศรษฐกิจจะขยายตัวจากนโยบายรัฐ และปัญหาภัยแล้ง เหล่านี้อาจเร่งเงินเฟ้อ ตรงนี้ก็ต้องดูกันต่อไป ในส่วนของเอกชนอยากเห็นยาแรงล็อตต่อๆไปของรัฐบาลว่าจะช่วยคนป่วยอย่างไร โดยต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นแล้วก็อยากให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าลดค่าครองชีพประชาชนในส่วนอื่นที่ทำได้ รวมทั้งเดินหน้ามาตรการพักหนี้เอสเอ็มอีอย่างครอบคลุมและตรงจุดตรงปัญหา เพื่อให้กลุ่มนี้ที่มีการจ้างงานส่วนใหญ่ของประเทศมีสภาพคล่อง เดินหน้าต่อไปได้