JJNY : ธนาธรศึกษาฟาร์ม│‘ปดิพัทธ์’ ลั่นดูงานโปร่งใส│ไม่ไหว! ธุรกิจชี้หากขึ้นค่าแรง 400 บาท│ปารากวัยเรียกร้อง รับไต้หวัน

ธนาธร ศึกษาฟาร์ม 1,000 ไร่ที่เดนมาร์ก ใช้คนดูแลแค่ 10 คน ตัวอย่างเป็นเกษตรกรยังไงให้รวย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4189142
 
 
ธนาธร ศึกษาฟาร์มออร์แกนิค 1,000 ไร่ที่เดนมาร์ก ใช้คนดูแลแค่ 10 คน ตัวอย่างเป็นเกษตรกรยังไงให้รวย
 
เมื่อวันที่ 20 กันยายน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ขณะศึกษาการทำงานเกษตรของฟาร์มออร์แกนิคแห่งหนึ่งในเดนมาร์ก ที่มีเจ้าของเป็นสามีชาวเดนมาร์กและภรรยาชาวไทย ชื่อว่า “ฟาร์ม Birkemose Gaard” พื้นที่ 1,000 ไร่ ออร์แกนิค 100% ใช้คนงาน 10 คน โดยระบุว่า

กรัยบ้าน #2 ธนอนตะลุยทุ่งเดนมาร์ก เป็นเกษตรกรยังไงให้รวย แถมรักษ์โลกด้วยนะ ธนาธรพาชมฟาร์มออร์แกนิกขนาด 1,000 ไร่ คุณสามีชาวเดนมาร์กและภรรยาชาวไทย ดูแลฟาร์มที่มีทั้งข้าวสาลี มันฝรั่ง แอปเปิ้ล เบอรี่ กับวัวอีก 180 ตัว โดยใช้คนแค่ 10 คน มีรายได้ตลอดปี มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน พวกเขาทำได้ เกษตรกรไทยก็ต้องทำได้!
 
โดยเนื้อหาภายในคลิป ได้พูดถึงการบริหารฟาร์ม เพราะการทำเกษตรในประเทศเดนมาร์ก ทำยังไง ในประเทศที่คนมีค่าแรงแพงขนาดนี้ยังทำการเกษตรและแข่งขันได้ ซึ่งพบว่า มีรูปแบบการขายสินค้าหลายวิธี ทั้งเปิดหน้าร้าน อีกแบบคือนำผลิตภัณฑ์มาทำเป็นร้านอาหาร การค้าขายออนไลน์ด้วย ขายไปที่โรงงานแปรรูป รวมถึงขายไปให้ภัตตาคารที่ทำอาหารออร์แกนิคด้วย โดยพบว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดคือ เนื้อ
 
ขณะเดียวกันเมื่อถามเรื่องรายได้เทียบกับแต่ละอาชีพแล้ว เจ้าของฟาร์มเผยว่าแล้วแต่ปี หากปีไหนผลผลิตดี รายได้ของเขาก็จะดีกว่าอาชีพอย่างวิศวกร หรือนักบัญชี แต่หากผลผลิตไม่ดี ก็จะรายได้น้อยกว่า แต่อย่างน้อยในฟาร์มก็มีช่องทางการขายสินค้าในหลากหลายรูปแบบ ทำให้เขามีทางเลือกเยอะ
 
ซึ่งเจ้าของฟาร์มยังบอกด้วยว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ทำอย่างเดียว ไม่เลี้ยงหมูก็ปลูกพืช ทำให้โอกาสที่จะมีรายได้หลายทางก็น้อยลง อย่างเขาไม่ได้มีแค่พืช ยังมีผลไม้เช่น แอปเปิ้ล เบอร์รี่ และมีพืชด้วย
 
นอกจากนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจ เช่น ในฟาร์มยังปลูก “ต้นอัลฟาฟ่า” ไว้ด้วย เพราะเอาไว้ให้วัวกินตอนหน้าหนาว รากยังลงลึกไป 2 เมตร ไม่ว่าฝนจะดีไม่ดี หาน้ำเองได้ ยังไงก็ขึ้น และปลูกไว้ยังทิ้งไนโตรเจนไว้ให้ดิน เพื่อให้พืชรอบต่อไปได้กินด้วย
 
ส่วนประเด็นภาวะโลกร้อนนั้น จากประสบการณ์ทำฟาร์มมา 40 ปี เจ้าของฟาร์ม ยอมรับว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบหนักมาก เช่น ปี 2018 เจอภัยแล้งครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ ในรอบ 100 ปี ปีนี้ 3 เดือนแรกไม่มีฝนเลย มันกระทบมาก กระทั่งเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาฝนตกหนักที่สุด ซึ่งไม่ดีกับเกษตรกรเลย เป็นช่วงเก็บเกี่ยว ปีนี้จึงเป็นปีที่ท้าทายมากสำหรับเกษตรกร ผมคิดว่าเราต้องเปลี่ยนวิธีการปลูก เราจะดูแลดินยังไง เพราะว่ามันก็น่าจะเก็บเกี่ยวพืชผลอันเดิมได้ ถ้าคุณใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การขุดดินลึก (Deep Excavation) มันสำคัญมากเวลาที่ฝนตกหนัก น้ำจะได้ไหลลงไปในดินตามที่ต้องการ ไม่ใช่ไหลไปตามน้ำลำคลอง เป็นต้น
 
ฟาร์มของคุณแยสเปอร์ ทำให้ผมเข้าใจว่าเกษตรกรในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำอย่างไรถึงจะแข่งขันได้ พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนตัวเองตลอดเวลา ทั้งต่อเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น ทั้งต่อต่อภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแต่เดิมที่เกษตรกรโคนมในชุมชนมีมากกว่า 100 รายในอดีต เหลือเพียงแค่ 2 รายในปัจจุบัน แต่ 2 รายในปัจจุบันนั้น กลับสร้างผลผลิตได้มากกว่า 100 รายในอดีต เมื่อมองภาคการเกษตรของไทย ที่ยังเป็นภาคการผลิตอันสำคัญ คนไทยจำนวนมากยังพึ่งพิงรายได้จากผลผลิตการเกษตร อนาคตคือการใช้เทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพการผลิต ใช้วิทยาศาสตร์และงานวิจัยในการพัฒนาผลิตผล รัฐต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนาการเกษตรมากขึ้น และทำให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีได้ สนับสนุนการรวมตัวของเกษตรกร เพิ่มอำนาจการต่อรอง เพื่อให้เครื่องมือเหล่านี้ถูกลงและผลิตในประเทศไทย เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง” นายธนาธรกล่าว

https://twitter.com/Thanathorn_FWP/status/1704329671968804931



‘ปดิพัทธ์’ ลั่นดูงานสิงคโปร์ โปร่งใส แจงยิบค่าใช้จ่าย ปัดตอบปมโยกงบฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4189304

‘ปดิพัทธ์’ ลั่นดูงานสิงคโปร์ โปร่งใส พร้อมแจงค่าใช้จ่าย ปัดตอบปมโยกงบฯ ระบุขอดูรายละเอียดเอกสารก่อน
 
เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง แถลงถึงรายละเอียดของการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน ซึ่งใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1.3 ล้านบาท และพบว่าในคณะเดินทางมี ส.ส.ก้าวไกล ถึง 5 คนร่วมคณะด้วย ว่า การเตรียมโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนรัฐสภาโปร่งใสและสมรรถนะสูง ส่วนงบประมาณที่ตั้งไว้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเดินทางของรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าตั้งไว้สูงเกินไปนั้น เป็นเพียงการตั้งงบที่ยังไม่เกิดการใช้จ่ายจริง จึงตั้งไว้ตามสิทธิที่ระเบียบกำหนด ซึ่งขณะนี้มีค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นที่ตนเปิดเผยได้ คือ ค่าตั๋วเครื่องบิน จากที่ตั้งงบ ไว้ 52,000 บาท จ่ายจริง 28,000 บาท ค่าโรงแรมจากที่ตั้งไว้ 12,000 บาท จองได้ 9,000 บาท ซึ่งที่เหลือจะส่งคืนคลัง ส่วนการเลี้ยงรับรองนั้นต้องทำให้สมเกียรติกับประเทศไทย เพราะคณะที่เดินทางไปนั้นทำหน้าที่เป็นทูตของสภาฯ
 
การตั้งงบรับรองที่มองว่ามากเกินไป เพราะตั้งโดยไม่ทราบโปรแกรมละเอียด แต่เมื่อทราบรายละเอียด เช่น มื้อกลางวันสถานทูตจัดเลี้ยง จะจ่ายไม่เต็ม ส่วนงบรับรอง และการดูแล เช่น นักศึกษาไทยในสิงคโปร์ จะเป็นส่วนของอาหารว่างและมื้ออาหารที่ทานร่วมกัน หักลบกลบหนี้เท่าไหร่ อย่างไร ส่งกลับคืนคลังทั้งหมด ซึ่งผมพร้อมจะแสดงใบเสร็จ และนอกจากการดูงานในด้านสิ่งแวดล้อม ที่รวมถึงกฎหมายที่บังคับใช้เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม2.5 แล้วจะดูพิพิธภัณฑ์ด้วยเพื่อนำมาปรับใช้กับพิพิธภัณฑ์ของรัฐสภาเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย” นายปดิพัทธ์ กล่าว
 
นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า รายชื่อของคณะผู้ร่วมเดินทางที่พบว่าส่วนใหญ่เป็น ส.ส.ของพรรคก้าวไกล เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมและสนใจต่อการนำองค์ความรู้มาพัฒนาสภาฯ คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และนายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง 1 เดือนที่ผ่านมามีความแปรปรวน ทำให้ยังไม่มีกมธ.กิจการสภาฯ รวมถึงไม่มีฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลที่ชัดเจน ทำให้ในส่วนของพรรคก้าวไกลนั้น ได้พิจารณาจากบุคคลที่ลงชื่อซึ่งแสดงความต้องการเป็นกมธ.กิจการสภาฯ จำนวน 3 คน นอกจากนั้นได้เชิญไปยังพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งมีเพียงนายรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย
 
ระยะการเตรียมงานที่สั้นที่สุด คือ 1 เดือน เดือนที่แล้วนึกว่าจะได้กมธ. แต่พบการดีเลย์ ดังนั้น เมื่อตั้งโครงการไว้แล้วต้องเดินหน้า จะเลื่อนเพื่อให้สภาฯ พร้อมไม่ได้ เพราะมีการประสานไปยังประเทศสิงคโปร์และส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้จัดเตรียมการประชุมไว้แล้ว และหากเลื่อนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพื่อส่งคืนคลังเอง ทั้งนี้ผมยืนยันว่าการไปดูงานครั้งนี้ไม่ได้ไปเที่ยว เพราะสิงคโปร์ไม่ใช่ Tourist Destination แต่ได้คำนึงถึงผลลัพท์ของการไปดูงานที่มีผลสัมฤทธิ์ และหลังจากกลับมาแล้วจะนำรายงานเสนอไปยังรัฐบาล ภาคประชาชน และ สภาฯ” นายปดิพัทธ์ กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า งบประมาณที่นำมาใช้เพื่อเดินทาง ซึ่งพบว่ามีการโยกงบประมาณจากค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพกการประชุมระหว่างประเทศ โดยไม่ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงก่อน นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนขอดูรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ชี้แจงกับตนว่ามีงบประมาณในส่วนของการประสานงานพิธีการทูต 1.3 ล้านบาท จึงจัดโปรแกรมให้ต่ำกว่างบที่มีให้ได้ และสัมพันธ์กับจำนวนคณะที่จะเดินทาง
 
ทั้งนี้การโยกงบประมาณนั้นผมขอดูรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้การใช้งบรอบนี้ไม่ใช่การล้างท่อ เพราะยังมีงบที่ค้างจ่ายอีกมหาศาล” นายปดิพัทธ์ กล่าว

 เมื่อถามว่า ตามเอกสารโครงการดังกล่าวพบว่าอนุมัติให้มีผู้ติดตามคณะด้วย จะควบคุมไม่ให้ใช้งบประมาณบานปลายอย่างไร นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า คณะเดินทางมีเพียงนายไกลก้อง ไวทยการ อดีตกมธ.กิจการสภาฯ ซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาโดยตรงกับเรื่อง Smart Parliamment และออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งตนคาดว่าจะไม่มีใคร แต่หากจะมีทั้งนำคู่สมรส หรือ เพื่อนเดินทางไปด้วย ต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดและต้องไม่กกระทบแผนงานดูงาน
 


อั้นไม่ไหว! ธุรกิจชี้หากขึ้นค่าแรง 400 บาท ‘รับสร้างบ้าน’ จ่อปรับราคาเพิ่ม 3-8%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4189213

อั้นไม่ไหว! ขึ้นค่าแรง 400 บาท ‘รับสร้างบ้าน’ จ่อปรับราคา 3-8%
 
เมื่อวันที่ 20 กันยายน นายวรวุฒิ กาญจนกูล กรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านและประธานบริหารบริษัท ดับบลิวเฮ้าส์ จำกัด กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐาจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทในต้นปี 2567 ว่าค่าแรงงานขึ้นทุกๆ 10% มีผลต่อราคาก่อสร้างประมาณ 2.5-3% ซึ่งในช่วงที่มีปรับค่าแรงเป็น 331 บาท ทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้นไป20% มีผลต่อค่าก่อสร้าง 5-6% แต่ยังไม่รวมค่าวัสดุก่อสร้างที่จะปรับขึ้นตามค่าแรงการผลิตที่สูงขึ้น
 
หากขึ้นค่าแรง 400 บาท มีผลต่อต้นทุนเพิ่มขึ้น 20% และราคาบ้านประมาณ 5-6% แต่ถ้าวัสดุขึ้นด้วยเนื่องจากแรงงานการผลิตอาจทำให้ราคาบ้านสูงขึ้นโดยรวมถึง 8% เป็นอย่างน้อย” นายวรวุฒิกล่าว
 
นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจรับสร้างบ้านช่วงไตรมาสแรกต่อเนื่องถึงไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ยังเต็มไปด้วยความท้าทายในการทำธุรกิจ จากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นในกลุ่มเหล็กและคอนกรีต ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญมากถึง 30% ของมูลค่าสร้างบ้านทั้งหมด ยังไม่รวมถึงต้นทุนอื่น ๆ เช่น ค่าแรง ทำให้ผู้ประกอบการทยอยปรับขึ้นราคาบ้าน โดยเฉลี่ย 3-5% อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
 
นายโอฬารกล่าวว่า สำหรับในไตรมาสที่ 3 ถึงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ยังมีแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงยังปรับตัวขึ้นอยู่ ส่งผลให้ต้นทุนในการสร้างบ้านต่อหลังขยับสูงขึ้นไปด้วย
 
ซึ่งที่ผ่านมา สมาชิกสมาคมตรึงราคาเอาไว้ให้นานที่สุด แต่ด้วยปัจจัยกระทบจากราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงทำให้มีการปรับราคาเพิ่มไปแล้วหนึ่งครั้งในช่วงต้นปี และคาดจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 3-5% เป็นรอบที่สองในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
 
นายโอฬาร กล่าวว่า เพื่อลดภาระให้กับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน ที่ต้องรับภาระอัตราดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้น สมาคมจึงได้จัดงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2023 ขึ้น ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของคนที่อยากมีบ้าน สามารถจองและตัดสินใจสร้างบ้าน พร้อมกับสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นอีกมากภายในงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์  “ครบเครื่อง เรื่องสร้างบ้าน” มีแบบบ้านกว่า 1,000 แบบ ราคาตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาทให้เลือก พร้อมลุ้นรับทองคำแท่ง 15 บาท  มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท สำหรับการจองปลูกสร้างบ้านภายในงาน ยังมีบริการเกี่ยวกับบ้านทั้งหมดที่รวมไว้ครบในงานเดียว อาทิ 4 ธนาคาร ทั้งไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา กสิกรไทย กรุงไทย พร้อมปล่อยกู้สร้างบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ กู้ได้ 100% และพบกับทรัพย์พร้อมอยู่ ราคาสุดพิเศษ จาก JAM
 
สมาคมคาดตลอด 5 วันของการจัดงานจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านโดยรวมกลับมาคึกคักอีกครั้ง มีผู้เข้าร่วมงาน ประมาณ 12,000 คน พร้อมตั้งเป้ายอดสั่งสร้างบ้าน ภายในงาน อยู่ที่ประมาณ 4,000-6,000 ล้านบาท” นายโอฬาร กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่