JJNY : “ธนาธร”ให้กำลังใจ“พิธา”│พท.ขอโอกาสทำงานปลดเปลื้องความทุกข์│รับมือข้าวทะลัก 7ล้านตัน│“เซเลนสกี”จะเยือนทำเนียบขาว

“ธนาธร” ให้กำลังใจ “พิธา” เชื่อเจ้าตัวเข้มแข็ง มองไม่มีปัญหา ปมหัวหน้าพรรคคนใหม่
https://ch3plus.com/news/political/morning/366347

“ธนาธร” ให้กำลังใจ “พิธา” เชื่อเจ้าตัวเข้มแข็ง มองไม่มีปัญหา ปมหัวหน้าพรรคคนใหม่ ลั่นคนมีคุณภาพเยอะแยะเต็มไปหมด

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2566 เวลา 21.30 น. ที่ร้าน Sol Bar อาคารอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า เปิดเผยกับสื่อมวลชน ภายหลัง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อให้ที่ประชุมพรรคเลือกหัวพรรคคนใหม่เพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน

นายธนาธร ระบุว่า ตนเชื่อว่าคุณพิธาเข้มแข็ง ตนให้กำลังใจคุณพิธา

เมื่อถามว่ามองคุณสมบัติหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ต้องเป็นอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า ตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีบุคลากรที่มีคุณภาพเยอะแยะ ใครเป็นหัวหน้าพรรค ก็จะทำพรรคก้าวไกลทำตามแนวทางที่สืบสานกันมา ตั้งแต่อนาคตใหม่-ก้าวไกลอย่างมั่นคง

"ดังนั้นเรื่องบุคลากรที่จะดำรงตำแหน่ง ตนคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะพรรคก้าวไกลมีคนที่มีคุณภาพเยอะแยะไปหมดเลย" นายธนาธร กล่าว

เมื่อถามว่าผู้สนับสนุนหลายคนรู้สึกเสียขวัญ ที่นายพิธา ต้องลาออก นายธนาธร ตอบว่า อย่าเสียกำลังใจเดินหน้าด้วยกันต่อไป อนาคตใหม่-ก้าวไกล จะเป็นยังไงต่อ ไม่สำคัญ ขอให้เรายึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย แล้วร่วมผลักดัน สร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยต่อไป

"ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง เรื่องนี้ใหญ่กว่าเรื่องบุคคล เป็นเรื่องของอนาคตของประเทศไทย เรื่องนี้ใหญ่กว่าคน ใหญ่กว่าพรรคไปแล้ว เป็นเรื่องวาระที่จำเป็นของประเทศไทยที่จะต้องผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย" นายธนาธร กล่าวทิ้งท้าย


 
พท.ขอโอกาสทำงานปลดเปลื้องความทุกข์ ปชช. ยันยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยว เตรียมการเรื่องปลอดภัยไว้อย่างดี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4183155

พท. ขอโอกาส ‘รบ.ประชาชน’ ทำงาน น้อมรับคำวิจารณ์สร้างสรรค์ พร้อมปรับปรุงเพื่อวันที่ดีกว่าของ ปท.
 
เมื่อวันที่ 16 กันยายน น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการ และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลของประชาชน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคร่วมรัฐบาลรวม 11 พรรคการเมือง ได้ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประชาชนมาแล้ว นับตั้งแต่วันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ในวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ถือว่ารัฐบาลของประชาชน ทำงานมาแล้ว 6 วัน แต่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนในเบื้องแรก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในระยะเร่งด่วนและมีผลในทันที
 
ทั้งการประกาศลดราคาน้ำมันดีเซลและค่าไฟทันทีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา รวมถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาวิธีการบรรเทาผลกระทบของพี่น้องประชาชนในเรื่องของหนี้สิน หากมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ในระหว่างทางของการทำงาน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ รัฐบาลของประชาชนน้อมรับฟังทุกเสียงที่สร้างสรรค์เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะการเร่งหารายได้เข้าประเทศผ่านการท่องเที่ยวด้วยการยกเว้นวีซ่า 3 เดือนสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ที่มีข้อกังวลเรื่องของการดูความปลอดภัย เรื่องนี้พรรค พท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการเตรียมการในเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน

น.ส.ลิณธิภรณ์กล่าวว่า ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันส่งข้อเสนอแนะมายังพรรค พท. ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลได้ทุกเมื่อ และขอโอกาสให้ ส.ส.และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของประชาชนได้ทำงานให้สมกับที่เป็นความหวังของพี่น้องประชาชน เราเข้ามาเพื่อที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ยากที่เผชิญมาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ขอให้เชื่อในพรรค พท. เชื่อมั่นในเราว่าจะเข้ามายกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นอยู่แน่นอน ด้วยนโยบาย ด้วยความร่วมมือกันของรัฐบาล

ตั้งแต่ Day 1 ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯ ไม่มีสักวันที่จะหยุดทำงาน วันนี้ พรรคร่วมรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไปพร้อมกับนายกฯ นโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้ เรื่องเร่งด่วนเราเร่งทำ เรื่องระยะยาว จะทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้เห็นผลกับประเทศอย่างมั่นคง” น.ส.ลินธิภรณ์กล่าว


 
รับมือข้าวทะลัก 7 ล้านตัน โรงสีขอชดเชย-รัฐบาลไม่รับจำนำ
https://www.prachachat.net/economy/news-1394480

เตรียมรับมือข้าวเปลือกทะลัก 7 ล้านตัน สมาคมโรงสีข้าวไทยผนึกโรงสีอีสาน หารือ “ภูมิธรรม” เตรียมตั้ง นบข.ชุดใหม่ จัดใหญ่มาตรการ ชดเชยดอกเบี้ยโรงสี คู่ขนาน สินเชื่อชะลอการขายเก็บข้าวเข้ายุ้งฉางเกษตรกร คาดใช้งบฯ 8,500 ล้าน เร่งให้ทัน 1 ต.ค.66 พร้อมเสนอแผนระยะยาวลงทุนเพิ่ม 3.2 หมื่นล้าน 4 ปีให้สร้าง “ยุ้งฉางอัจฉริยะ” 400,000 ยุ้งช่วยชาวนา ดึงระบบบิ๊กดาต้าบริหารจัดการข้าว ด้านสมาคมชาวนา เตรียมขอพบ “ภูมิธรรม” ชง 6 ข้อเสนอหวังสกัดราคาข้าวร่วง
 
สถานการณ์การผลิตข้าวนาปี 2566/2567 ประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งคาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวในประเทศและประเทศคู่แข่งที่อยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรเดียวกันจะประสบความเสียหาย ส่งผลให้ภาพรวมตลาดส่งออกข้าวปีนี้คึกคัก เนื่องจากราคาข้าวจะปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการของตลาด

ขณะที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านนโยบายสินค้าเกษตรจากรัฐบาลชุดเดิมที่ใช้นโยบายประกันรายได้ข้าว มาเป็นเวลา 4 ปี นี่จึงกลายเป็น “โจทย์แรก” ของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ จะต้อง “ตกผลึก” ให้ได้ว่า จะใช้นโยบายเดิมหรือจะเปลี่ยนไปใช้นโยบายใหม่ที่จะเข้ามาบริหารจัดการข้าว โดยการตกผลึกนี้จะต้องกระทำภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อให้ทันรับฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปีที่กำลังจะมาถึง

ส.โรงสีขอชดเชย ดบ.เก็บสต๊อก

นายรังสรรค์ สบายเมือง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวหลังจากนำคณะผู้บริหารสมาคม พร้อมด้วย สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าพบ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงสถานการณ์ผลผลิตและราคาข้าว เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา โดยสมาคมเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ “ยังคง” มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการโรงสี โดยเฉพาะเรื่องของมาตรการชดเชยดอกเบี้ยสำหรับโรงสีที่เข้าไปช่วยซื้อข้าวเก็บสต๊อกต่อไป ทั้งยังเสนอให้เพิ่มอัตราชดเชยดอกเบี้ยจาก 3% เป็น 4% เพราะต้องยอมรับว่า สถานการณ์ต้นทุนเพิ่มขึ้นมีผลต่อการรับซื้อข้าวจากเกษตรกร ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณ 700 ล้านบาท ทั้งยังให้กระทรวงพาณิชย์ยังคงโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่ง เพื่อพยุงราคาในช่วงที่ผลผลิตข้าวที่เก็บเกี่ยวออกมาปริมาณมากในเวลาเดียวกัน
 
ส่วนมาตรการลดค่าไฟ-ค่าน้ำมันของรัฐบาลเศรษฐา นับว่าเป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระต้นทุนให้โรงสีเป็นอย่างมาก เนื่องจากค่าไฟถือเป็นต้นทุนหลักในการสีข้าว เป็นต้นทุนการผลิตประมาณ 40% นอกจากนั้นก็จะเป็นต้นทุนส่วนอื่น ๆ เช่น ค่าแรง เป็นต้น อย่างไรก็ดี แม้มาตรการที่ออกมาจะยังช่วยลดต้นทุนที่ขึ้นมาแล้ว 30% ไม่ได้ แต่ก็รับว่าเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการได้มากในขณะนี้” นายรังสรรค์กล่าว

โรงสีอีสานรับมือข้าวนาปี
 
ด้าน นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า สมาคมลงพื้นที่สำรวจผลผลิตข้าวนาปี 2566/2567 ประเมินว่า ผลกระทบจากภาวะฝนทิ้งช่วงในเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ทำให้ผลผลิตข้าวนาปี ปีนี้ลดลง 10% หรือประมาณ 7 ล้านตันข้าวเปลือก โดยคาดการณ์ว่าชาวนาจะทยอยเก็บเกี่ยวในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

จากการหารือร่วมกับสมาคมโรงสีข้าวไทย และกระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอขอให้รัฐบาลยังคงใช้นโยบายการชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้โรงสีอย่างเช่นในปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการเก็บข้าว คู่ขนานไปกับการให้สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เพื่อให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางอยางน้อย 5 เดือนแรกหลังเก็บเกี่ยว จะทำให้ราคาข้าวมีเสถียรภาพไม่อ่อนตัวลง
 
จากการหารือ รมว.พาณิชย์ ได้รับฟังข้อเสนอของทั้ง 2 สมาคม และแจ้งว่า ในปีนี้จะไม่มีการใช้นโยบายรับจำนำข้าว แต่จะใช้มาตรการอะไรนั้นขึ้นอยู่กับการหารือใน คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว หรือ นบข. ซึ่งท่านจะเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ในสัปดาห์หน้า และขอนำไปพิจารณาเพื่อหารือกับทางกระทรวงการคลัง ในเรื่องของการเตรียมงบประมาณในการดำเนินมาตรการ เพื่อกำหนดแนวทางการทำงานให้ทันข้าวนาปี” นายวิชัยกล่าว
 
สำหรับรายละเอียดโครงการบริหารจัดการข้าวที่ 2 สมาคมเสนอนั้น มีเป้าหมายเก็บข้าวเปลือกไว้ในปริมาณ 4 ล้านตันข้าวเปลือก จากปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับ 7 ล้านตันข้าวเปลือก โดยหากรัฐบาลคงอัตราราคารับประกันข้าวเปลือกไว้ที่ 15,000 บาท/ตัน สำหรับปริมาณข้าว 4 ล้านตันข้าวเปลือก หากมีการจ่ายสินเชื่อให้เกษตรกรตันละ 12,000 บาท จากราคาประกัน 15,000 บาท เท่ากับจะคิดเป็นวงเงินสินเชื่อเกษตรกรรวม 48,000-50,000 ล้านบาท และหากกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ 10% ก็จะคิดเป็นเม็ดเงินที่จะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท
 
ซึ่งรัฐบาลช่วยสนับสนุนชดเชยดอกเบี้ยให้ 5% คิดเป็นเงิน 2,500 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังขอให้รัฐบาลชดเชยค่ารถบรรทุกอีก 1 ตัน ราคาตันละ 1,500 บาท คิดเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท เมื่อรวมค่าใช้จ่ายแล้วเท่ากับจะต้องจ่ายอยู่ที่ประมาณ 8,500 ล้านบาท
 
ข้อสำคัญก็คือ มาตรการข้าวปีนี้จะต้องสรุปและประกาศให้ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เพื่อเป็นการใช้จิตวิทยาในการดึงตลาด เกษตรกรจะได้วางแผนเก็บสต๊อกเพื่อดูดซับข้าวไว้ในสต๊อกก่อน เหมือนเป็นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำไม่ให้ทะลักออกมา ซึ่งจะทำให้ดูเสถียรภาพราคาได้และปริมาณข้าวที่เก็บสต๊อกไว้นี้คาดว่า จะเข้าโครงการจริงน่าจะประมาณ 3 ล้านตัน ไม่ถึง 4 ล้านตัน ซึ่งข้าวลอตนี้ไม่เพียงช่วยเรื่องพยุงราคา แต่ยังใช้เป็นสต๊อกสำรองสำหรับเพื่อบริโภคในประเทศด้วย เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าข้าวในประเทศจะไม่ขาดแคลนแน่” นายวิชัยกล่าว
 
ทั้งนี้ โดยปกติแล้วเกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิ แต่ละปีจะเก็บไว้เพื่อบริโภคภายในประเทศประมาณ 50-60% ส่วนที่เหลืออีก 40-50% จะขายซึ่งจะถูกนำไปใช้เพื่อการส่งออก
 
โครงการยักษ์สร้างยุ้งอัจฉริยะ
 
สำหรับนโยบายระยะยาวในการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวสร้างเสถียรภาพราคาให้เกิดความยั่งยืนนั้น นายวิชัยได้เสนอให้ภาครัฐบาลใช้ “โมเดล” ของรัฐบาลไต้หวัน ซึ่งทางสมาคมได้ไปศึกษาดูงานมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่ามีการส่งเสริมให้เกษตรกรแต่ละครอบครัวมี “ยุ้งฉางอัจฉริยะ” เป็นของตัวเอง
โดยยุ้งฉางอัจฉริยะนั้นจะมีลักษณะคล้าย ระบบไซโล กล่าวคือมีการเก็บรักษาข้าว โดยมีระบบควบคุมความชื้นรักษาความชื้นและมีเซ็นเซอร์ในการตรวจสอบวัดปริมาณข้าวภายในยุ้งฉางเชื่อมโยงข้อมูลไปยังระบบ ซึ่งข้อมูล big data ที่ได้จะทำให้รู้ว่า สต๊อกข้าวมีปริมาณเท่าไรและสต๊อกส่วนไหนลดลง จะต้องเข้าไปช่วยเหลือในส่วนไหนบ้าง ซึ่งข้อมูลนี้จะใช้ในการบริหารจัดการข้าวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
โครงการสร้างยุ้งฉางนี้ ทางสมาคมคำนวณแผนการต้นทุนเบื้องต้น สำหรับการก่อสร้างยุ้งฉางเพื่อเก็บข้าวปริมาณ 4 ล้านตันทั่วประเทศจะต้องสร้างประมาณ 400,000 ยุ้ง เทียบเท่ากับปริมาณของการรับซื้อชดเชยดอกเบี้ย โดยรัฐบาลต้องช่วยลงทุนผลิตติดตั้งยุ้งฉางคอนกรีตคิดเป็นราคาประมาณเซตละ 80,000 บาท โดยรัฐบาลควรกำหนดแผนงาน เพื่อทยอยสร้างในช่วงเวลา 4 ปี จะใช้เงินงบประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมข้าวในระยะยาว” นายวิชัยกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่